เหรียญสมเด็จฟื้นวัดสามพระยาหลังยันต์เกราะเพรชพระนางตรา ๑๐๐ ปี พระพุทธนิมิตร พ่อท่านพลับ ๒๕๐๔

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    1713503283321.jpg
    หลวงพ่อบุญนำ ชิตมาโร" หรือ "พระครูนิเทศธรรมวิศิษฏ์" เป็นพระเถระแห่งเมืองปากน้ำโพ มีวิสัยทัศน์ อุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนา เคร่งครัดในธรรมวินัย มีจริยวัตรที่งดงาม มีความพยายามที่จะเห็นชุมชนมีการพัฒนาทุกด้าน

    นามเดิม บุญนำ ภู่มณี เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 13 ก.ย. 2472 ที่บ้านหนองโพ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์

    มีศักดิ์เป็นหลานและเป็นศิษย์ของพระครูนิวาสธรรมขันธ์ หรือหลวงพ่อเดิม พุทธสโร วัดหนองโพ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เทพเจ้าแห่งเมืองปากน้ำโพ ที่มีชื่อเสียงลือลั่นในเรื่องวัตถุมงคล ไม่ว่าจะเป็นรูปหล่อ เหรียญ มีดหมอ นางกวัก สิงห์งาแกะ เป็นต้น

    ในวัยเยาว์ ศึกษาที่โรงเรียนวัดหนองโพ จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากนั้นเดินทางเข้ามาศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาในตัวเมืองนครสวรรค์

    พ.ศ.2492 เข้าพิธีอุปสมบทที่วัด หนองโพ มีพระครูนิพัทธศีลคุณ หรือ หลวงพ่อทอง วัดหัวเขา อ.ตาคลี เป็นพระอุปัชฌาย์

    ช่วงระยะ 2-3 พรรษาแรก หลวงพ่อ บุญนำอยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อเดิม ศึกษาพระธรรมวินัย ฝึกจิต ศึกษาวิชาการทำเครื่องรางของขลังและศึกษาวิทยาคมควบคู่ไปด้วย ซึ่งเป็นช่วงที่หลวงพ่อเดิมอายุมากแล้ว

    ภายหลังจากหลวงพ่อเดิมมรณภาพ หลวงพ่อบุญนำย้ายเข้ามาอยู่จำพรรษาที่วัดนครสวรรค์ รวมทั้งได้รับการครอบครูเพื่อศึกษาวิชาจากหลวงพ่อโอด วัดจันเสน พระเกจิอาจารย์รูปหนึ่งของนครสวรรค์
    หลวงพ่อบุญนำ ชิตมาโร" หรือ "พระครูนิเทศธรรมวิศิษฏ์" เป็นพระเถระแห่งเมืองปากน้ำโพ มีวิสัยทัศน์ อุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนา เคร่งครัดในธรรมวินัย มีจริยวัตรที่งดงาม มีความพยายามที่จะเห็นชุมชนมีการพัฒนาทุกด้าน

    นามเดิม บุญนำ ภู่มณี เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 13 ก.ย. 2472 ที่บ้านหนองโพ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์

    มีศักดิ์เป็นหลานและเป็นศิษย์ของพระครูนิวาสธรรมขันธ์ หรือหลวงพ่อเดิม พุทธสโร วัดหนองโพ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เทพเจ้าแห่งเมืองปากน้ำโพ ที่มีชื่อเสียงลือลั่นในเรื่องวัตถุมงคล ไม่ว่าจะเป็นรูปหล่อ เหรียญ มีดหมอ นางกวัก สิงห์งาแกะ เป็นต้น

    ในวัยเยาว์ ศึกษาที่โรงเรียนวัดหนองโพ จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากนั้นเดินทางเข้ามาศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาในตัวเมืองนครสวรรค์

    พ.ศ.2492 เข้าพิธีอุปสมบทที่วัด หนองโพ มีพระครูนิพัทธศีลคุณ หรือ หลวงพ่อทอง วัดหัวเขา อ.ตาคลี เป็นพระอุปัชฌาย์

    ช่วงระยะ 2-3 พรรษาแรก หลวงพ่อ บุญนำอยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อเดิม ศึกษาพระธรรมวินัย ฝึกจิต ศึกษาวิชาการทำเครื่องรางของขลังและศึกษาวิทยาคมควบคู่ไปด้วย ซึ่งเป็นช่วงที่หลวงพ่อเดิมอายุมากแล้ว

    ภายหลังจากหลวงพ่อเดิมมรณภาพ หลวงพ่อบุญนำย้ายเข้ามาอยู่จำพรรษาที่วัดนครสวรรค์ รวมทั้งได้รับการครอบครูเพื่อศึกษาวิชาจากหลวงพ่อโอด วัดจันเสน พระเกจิอาจารย์รูปหนึ่งของนครสวรรค์ ซึ่งเป็นหลวงลุงและเป็นศิษย์หลวงพ่อเดิม

    หลวงพ่อบุญนำศึกษาวิชา รวมทั้งฝึกปฏิบัติบำเพ็ญจิต และศึกษาพระปริยัติธรรมควบคู่ไปด้วย สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ

    ด้านงานปกครองคณะสงฆ์ ในปีพ.ศ.2524 เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ.2533 เป็นผู้ช่วย เจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ และเป็นเจ้าคณะตำบลปากน้ำโพ

    ต่อมา สุขภาพร่างกายหลวงพ่อบุญนำ เริ่มเสื่อมลง เนื่องจากอายุมากขึ้น จำต้องหยุดรับกิจนิมนต์ภายนอก รวมทั้งยกเลิกตำแหน่งงานต่างๆ ทั้งหมด เพื่อให้ท่านได้พักรักษาตัว

    ด้านวัตถุมงคล หลวงพ่อบุญนำสร้างวัตถุมงคลครั้งแรก เป็นพระผงพิมพ์หยดน้ำใหญ่ ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อศรีสวรรค์ พระพุทธรูปประธานในอุโบสถวัดนครสวรรค์ มีส่วนผสมที่สำคัญ คือ ผงรักและทองจากองค์หลวงพ่อศรีสวรรค์ เป็นที่นิยมมาก ปัจจุบันหายากอย่างยิ่ง

    คณะศิษย์ยังจัดสร้างวัตถุมงคลหลาย รูปแบบ เพื่อให้หลวงพ่อแจกจ่ายให้บรรดา ผู้ที่เคารพนับถือ มีทั้งที่เป็นรูปหล่อรุ่นปลดหนี้ รูปหล่อรุ่นร้อยล้าน พระผงพิมพ์กลีบบัว เหรียญทองแดง เหรียญทองเหลือง รูปไข่ ฯลฯ

    ในเวลาต่อมา หลวงพ่อบุญนำมีอาการอาพาธ ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นประจำ ประกอบกับท่านลื่นล้มในกุฏิ ต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดที่ศีรษะ อาการทรุดหนักลง นอนไม่รู้สึกตัวเป็นเวลาหลายปี และมรณภาพที่ร.พ.สวรรค์ประชารักษ์ เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2557 สิริอายุ 85 พรรษา 65 "ประวัติหลวงพ่อบุญนำ เครดิตจากทีมงานหนังสือพิพ์ ข่าวสด"

    มาชมวัตถุมงคลกันบ้างครับ เริ่มจากเหรียญรูปเหมือนรุ่นแรก เนื้อทองแดง กับ เนื้อตะกั่วลองพิมพ์ รูปเหมือนปั๊มรุ่นหลุดหนี้ เนื้อทองเหลือง กับ เนื้ออัลปาก้า พระสมเด็จหลังเงารุ่นแรก ครับ
    เป็นหลวงลุงและเป็นศิษย์หลวงพ่อเดิม

    หลวงพ่อบุญนำศึกษาวิชา รวมทั้งฝึกปฏิบัติบำเพ็ญจิต และศึกษาพระปริยัติธรรมควบคู่ไปด้วย สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ

    ด้านงานปกครองคณะสงฆ์ ในปีพ.ศ.2524 เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ.2533 เป็นผู้ช่วย เจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ และเป็นเจ้าคณะตำบลปากน้ำโพ

    ต่อมา สุขภาพร่างกายหลวงพ่อบุญนำ เริ่มเสื่อมลง เนื่องจากอายุมากขึ้น จำต้องหยุดรับกิจนิมนต์ภายนอก รวมทั้งยกเลิกตำแหน่งงานต่างๆ ทั้งหมด เพื่อให้ท่านได้พักรักษาตัว

    ด้านวัตถุมงคล หลวงพ่อบุญนำสร้างวัตถุมงคลครั้งแรก เป็นพระผงพิมพ์หยดน้ำใหญ่ ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อศรีสวรรค์ พระพุทธรูปประธานในอุโบสถวัดนครสวรรค์ มีส่วนผสมที่สำคัญ คือ ผงรักและทองจากองค์หลวงพ่อศรีสวรรค์ เป็นที่นิยมมาก ปัจจุบันหายากอย่างยิ่ง

    คณะศิษย์ยังจัดสร้างวัตถุมงคลหลาย รูปแบบ เพื่อให้หลวงพ่อแจกจ่ายให้บรรดา ผู้ที่เคารพนับถือ มีทั้งที่เป็นรูปหล่อรุ่นปลดหนี้ รูปหล่อรุ่นร้อยล้าน พระผงพิมพ์กลีบบัว เหรียญทองแดง เหรียญทองเหลือง รูปไข่ ฯลฯ

    ในเวลาต่อมา หลวงพ่อบุญนำมีอาการอาพาธ ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นประจำ ประกอบกับท่านลื่นล้มในกุฏิ ต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดที่ศีรษะ อาการทรุดหนักลง นอนไม่รู้สึกตัวเป็นเวลาหลายปี และมรณภาพที่ร.พ.สวรรค์ประชารักษ์ เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2557 สิริอายุ 85 พรรษา 65 "ประวัติหลวงพ่อบุญนำ เครดิตจากทีมงานหนังสือพิพ์ ข่าวสด"

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จหลังเงาลายเซ็นต์รุ่นแรกหลวงพ่อบุญนำวัดนครสวรรค์ปี 2538 และ สติ๊กเกอร์ติดรถหลวงพ่อบุญนำ วัดนครสวรรค์ ให้บูชาชุดละ 230 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    มี ๒ ชุดครับ

    ชุดที่ ๑

    IMG_20240419_120648.jpg IMG_20240419_120712.jpg IMG_20240419_120729.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2024
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    FB_IMG_1713506933493.jpg
    ลองอ่านเรื่องหลวงพ่อเปลี้ยกับการสร้างลิงฮากันครับ หลวงพ่อเปลี้ย วัดชอนสารเดช เดิมชื่อผ่อง เกิดเมื่อ ๔ พ.ย. ๒๔๕๗ ที่บ้านดินเปล้า อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรของนายชุ่ม นางคำ โพธิ์นอก ด้วยขาท่านเสีย ลีบข้างหนึ่งจึงเรียก นามท่านว่าเปลี้ย พออายุได้ ๑๗ ปี ท่านได้บวชเป็นสามเณรที่วัดบ้านเหลื่อม ตำบลวัดโพธิ์ อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา เมื่อ ๖ พฤษภาคม ๒๔๗๔ โดยมีอาจารย์ช้างเป็นพระอุปัชฌาย์ พออายุครบ ๒๐ ปี ๒ พ.ค.๒๔๗๗ ท่านก็ได้บวชที่วัดบ้านค่าย มีพระครูวิจิตา เป๊นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการแบนเป็นพระกรรมวาจารย์ พระมหาบัวเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ฉายา "คุณสัมปันโน"
    หลวงพ่อท่านมาอยู่วัดชอนสารเดชตั้งแต่ปี ๒๔๙๒ มีหลวงปู่ทรัพย์ เป็นเจ้าอาวาส หลังจากท่านแจ้งความประสงค์ขอมาจำพรรษาที่วัดแห่งนี้ หลวงปู่ทรัพย์ก็ไม่ขัดข้อง นานไปก็ถ่ายทอดสรรพวิชาต่างๆให้ท่านจนหมดสิ้น หลวงพ่อเปลี้ยท่านมีเมตตาเป็นเลิศ ท่านจำวัดไม่กางมุ้ง ไม่จุดยากันยุง ท่านบอกว่า "ให้มันมากัด กินจนอิ่มแล้วมันก็ไปไม่มากัดอีก" !
    ลิงฮา ของหลวงพ่อเปลี้ย วัดชอนสารเดชนี้ ท่านตั้งใจสร้างเป็นหนุมาน ให้มีอิทธิฤทธิ์ตามแนวคิดความเชื่อให้มีพลกำลังแข็งแรง อยู่ยงคงประพัน แต่ท่านสร้างหนุมานของท่านให้มีอริยาบท ยิ้มแย้ม อย่างอารมณ์ดี ชาวบ้านเห็นต่างขนานนามให้เป็น "ลิงฮา"
    ลุงใจ อ่อนละมัย เล่าว่า ครั้งที่ไปหามวลสารเพื่อมาสร้างลิงฮา ที่ศาลพระกาฬ ลพบุรี ปรากฎว่ามีลิงในศาลติดตามมาด้วย ๔ ตัว ทั้ง ๔ ตัวเป็นลูกน้องหนุมาน ตามมาเป็นสักขีพยานในการสร้างลิงฮา หลวงพ่อเปลี้ยท่านปลุกเสกลิงฮานี้ด้วยฌาณอันกล้าแข็ง เรียกว่าเสกจนหนุมานกระโดดออกจากบาตรได้ เหตุที่ท่านทำได้เช่นนี้เพราะท่านมีพลังจิตกล้าแข็งสามารถเข้าออกฌากิดความณได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เห็นความอัศจรรย์ในการสร้างวัตถุมงคลของท่าน จนสามารถคุ้มครองป้องกันผู้พกพา เป็นเสน่ห์เมตตามหานิยมอย่างแรงกล้า ตามที่หลวงพ่อท่านเสกไว้
    แม่ค้าตลาดบ้านชอนคนหนึ่งเล่าว่า ตั้งแต่ได้ลิงฮาของวัดชอนมาอยู่ที่ร้าน ตอนเช้าก็จุดธูปอธิษฐานขอให้ขายดี เมื่อเปิดร้านแล้วก็เกิดความมั่นใจอารมณ์ดี เหมือนกับอารมณ์ลิงฮา อารมณืดีตลอดวัน ลูกค้าก็เหมือนต้องจังงันของเรา เข้ามาซื้อของที่ร้าน ขายดีทั้งวัน ทุกวันนี้ยังพกติดตัวอยู่เสมอ มีคนมาขอเช่ามากมายแต่ก็หวงแหนยิ่งมิยอมปล่อยให้ใครเด็ดขาด
    ชายคนหนึ่งได้ลิงฮามาเลี่ยมแขวนคอ ขี่มอเตอร์ไซค์ไปธุระ ขากลับมาก็มีคนมาถามว่าไปเอาลิงที่ไหนมานั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ !! ทุกคนจึงสรุปว่าเป็นปาฏิหารย์ของลิงฮาที่แขวนคอมานั้นมากกว่า
    วัตถุมงคลทุกชนิดของหลวงพ่อมีประสบการณ์
    ขอบพระคุณบทความของคุณ อำพล เจน
    สมเด็จฝังเกศารุ่น1 ปี2538 (พร้อมเหรียญรุ่นแรก) ประสพการณ์ยืนยันว่ามีเส้นเกศาครับ เพราะผู้สร้างได้ขอเส้นเกศาหลวงพ่อเปลี้ย คุณสัมปันโน จากอาจารย์สำรวย (สมัยนั้นมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดชอนสารเดช) เมื่อสร้างเสร็จได้นำวัตถุมงคล รุ่นทวีทรัพย์ มาถวายและให้หลวงพ่อเปลี้ยฯ ปลุกเสก และนำออกมา
    แจกงานประจำปี หลังวันตรุษสงกรานต์ จะมีการทอดผ้าป่าฯที่ศาลาหลวงพ่อใหญ่ โดยมีหลวงพ่อเปลี้ยฯ เป็นประธานรับมอบ และจะแจกวัตถุมงคล รุ่นทวีทรัพย์ แก่ญาติโยมที่นำผ้าป่ามา
    ทอด (ถวาย) ที่วัดชอนสารเดช
    วัดถุมงคลรุ่นนี้น่าเก็บมากๆครับ 1.แจกฟรี 2.สวยและมีเส้นเกศาฯ 3.หลวงพ่อเปลี้ยฯ ชอบใจ และได้กล่าวว่า "มันต้องสวยแบบนี้ซิ ถึงมีศักดิ์ศรีหน่อย" 4.ราคาย่อมเยาว์
    พระสมเด็จทวีทรัพย์ผสมเกษา หลวงปู่เปลี้ย วัดชอนสารเดช
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จหลวงพ่อเปลี้ยวัดชอนสารเดชรุ่นทวีทรัพย์ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240419_125109.jpg IMG_20240419_125131.jpg IMG_20240419_125028.jpg
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    วันนี้ จัดส่ง
    1713528253780.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    1346068-316a3.jpg

    ตวาดฟ้าป่าหิมพานต์ ปราบกบฎผีบุญ หลวงพ่อเลียบ วัดเลา
    ตวาดฟ้าป่าหิมพานต์ ครั้งหนึ่งกบฎผีบุญที่ภาคอีสานก่อการ กำเริบ ซ่องสุม ผู้คน เป็นปฏิปักษ์ ต่อทางการ และยุยงพระสงฆ์ให้กระด้างกระเดื่องต่อบ้านเมือง ถึงกับเขียนจดหมาย ท้าสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ 10 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ว่า..
    “ถ้าเก่งจริง ให้ลงไปจับด้วย ตนเอง และให้เตรียมหม้อ ไปใส่กระดูกกลับลงมาด้วย”
    หลวงพ่อเลียบ ท่านจึงได้รับอาสา ไปจัดการแทน สมเด็จพระสังฆราชฯ ด้วยความเต็มใจ
    เมื่อเดินทางไปถึงหลวงพ่อเลียบท่านก็ได้ไปจำวัดในแพริมแม่น้ำ พวกกบฎผีบุญได้ยกพวกกันมาจะทำร้ายท่าน โดยมีผีบุญนั่งเสลี่ยงคานหามมาอย่างยโสโอหัง มาถึงก็หยุดอยู่บนตลิ่ง แล้วประกาศให้หลวงพ่อเลียบออกไปทำความเคารพ
    หลวงพ่อเลียบท่านสำรวมจิต ร่ายพระเวทย์ “ตวาดฟ้าป่าหิมพานต์” แล้วพุ่งตัวออกไปร้องตวาดพวกผีบุญ พลันก็เกิดฟ้าผ่าและเกิดลมพายุพัด พวกหาบคานหามผีบุญตกตะลึงตัวสั่น ทิ้งคานหาม ผีบุญถึงกับหัวทิ่มลงมา ที่เหลือพากันทิ้งอาวุธหนีเอาตัวรอดไปจนหมด
    เช้าวันรุ่งขึ้นหลวงพ่อเลียบ ได้สอบสวนพฤติกรรมของผีบุญแล้วก็เดินทางกลับมาถวายรายงานต่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ในที่สุดทางบ้านเมืองได้ยกกองทัพไปปราบ และผีบุญก็ได้ตายในที่สุด
    กล่าวกันว่าที่อาคมของผีบุญเสื่อมก็เพราะหลวงพ่อเลียบท่านได้ “ตวาดฟ้าป่าหิมพานต์” สยบไว้นั่นเอง
    เหรียญหลวงพ่อเลียบ วัดเลา บางขุนเทียน กทม. ปี 2545 เนื้อปรอท สร้างน้อยหายากยิ่ง มากประสบการณ์ ของท่านดีจริงขลังจริง
    ปรอท เป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่ง ที่มีจิตดูแลอยู่ มีฤทธิ์ในตัวเองอยู่ในรูปของเหลว ที่สามารถเคลื่อนตัวกลิ้งไปมาได้มีอานุภาพดังเช่นกายสิทธิ์ คือ การคุ้มครองป้องกัน การเตือนภัยการป้องกันภูตผีปีศาจ คุณไสย มนต์ดำและที่สำคัญ ปรอทสามารถรักษาโรคได้ผู้ที่พกปรอทติดตัวจะได้รับการคุ้มครอง ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งหลาย อานุภาพของพระเนื้อปรอทเป็นที่เชื่อถือกันมาแต่โบราณ
    ผู้ที่พก ปรอท ติดตัวจะได้รับการคุ้มครอง ให้แคล้วคลาดปลอดภัย จากภัยอันตรายทั้งหลาย ครับ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงพ่อเลียบวัดเลา เนื้อปรอท
    ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20240419_211914.jpg IMG_20240419_211852.jpg IMG_20240419_211805.jpg
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    1713590361645.jpg
    ท่านพระอาจารย์บุญฤทธิ์ ท่านสละชีวิตราชการตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น นำตัวเข้าบวช ณ วัดศรีเมือง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย เมื่อบวชแล้วท่านก็แสวงหาครูอาจารย์ผู้สอนกรรมฐาน
    “อาตมาเคยเห็นพระธุดงค์แบกกลดบริขาร เดินไปอย่างสงบ มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ ทั้งสายตาและกิริยาที่เดินจึงทำให้เห็นภาพประทับใจ
    ต่อมาเมื่อได้บวชแล้วได้ ๓ พรรษา อาตมาก็เดินทางขึ้นภาคเหนือ ไปอยู่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นปี พ.ศ. ๒๔๙๓ หลังจากถวายเพลิงศพหลวงปู่มั่น ภูริฑฺตโต แล้ว
    ตอนไปภาคเหนือนั้น อาตมาอยากจะออกป่าเดินธุดงค์เหลือเกิน ได้ยินพระรุ่นพี่ท่านเล่าอย่างนั้น เล่าอย่างนี้ พูดคุยในเรื่องจิตเรื่องธรรม ก็ทำให้จิตใจฮึกเหิมใหญ่ แต่ก็ยังไม่ได้ออกธุดงค์สักครั้งเดียว
    ก็บังเอิญได้มาพบครูอาจารย์เข้าอีก วันนั้นเป็นวันวิสาขบูชาได้ยินเพื่อนพระด้วยกันบอกว่า
    “คุณอยากจะเดินธุดงค์ คุณควรไปเห็นปฏิปทาของครูบาอาจารย์เสียก่อน วันนี้ท่านจะมาชุมนุมกันที่วัดเจดีย์หลวง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่”
    พอได้ยินแค่นี้ ก็ดีใจมาก ไม่รอช้า รีบเร่งไปเลยทีเดียว เวลานั้นจิตใจมันมีความเลื่อมใสศรัทธามาก
    เมื่อเดินทางไปถึงก็มองเห็นภาพประทับใจเข้าอีก โอ ! น้ำตาคลอเลยทีเดียว
    พระป่าครูอาจารย์ ท่านมาประชุมกันมากมาย ไม่ได้นัดหมายกันหรอก ท่านมาของท่านเองถึง ๙๗ องค์ นั่งเรียงรายกันเต็มลานวัดนั้น มองแล้วมันชื่นตาชื่นใจ นับเป็นมงคลแก่ตนเองมาก
    อาตมาเป็นพระเด็ก ก็เที่ยวซอกแซกไปเรื่อย ถามเพื่อนพระที่บวชก่อน และเคยรู้กิตติศัพท์ของครูบาอาจารย์แต่ละองค์ ท่านก็ตอบให้ฟัง - องค์นั้นชื่อนั้น องค์นี้ชื่อนี้...องค์นั้นจิตท่านว่องไว รู้วาระจิตของผู้อื่นได้หมด คิดอะไรนึกอะไรรู้หมด...
    องค์นั้นท่านก็เก่ง จิตท่านกำหนดรู้ว่องไวมาก...องค์นั้นท่านจะนั่งในป่าเขาลำเนาไพรที่ไหนก็ตาม พวกวิญญาณ เทวดาทั้งหลาย มักจะไปฟังธรรมะจากท่าน องค์นี้ท่านมีกระแสจิตเยือกเย็น ถ้าแม้ท่านไปอยู่แห่งใดกระแสจิตเมตตาของท่านนี้แผ่ไปกว้างไกล ใครมาพบเห็นก็ไม่อยากหนีไปไหน...ฯลฯ
    อาตมาก็ถามดะไปเลย เพราะไม่รู้จักท่านจริงๆ นั่น หลวงปู่แหวน นั่น หลวงปู่ตื้อ
    หลวงปู่ที่ตัวเล็กๆ ผอมดำ นั่นเป็นใคร? พระเพื่อนก็ไม่รู้จัก เพียงแต่บอกว่า องค์นี้ชอบอยู่แต่ในป่า ไม่ค่อยจะได้พบท่านหรอก ท่านชอบอยู่บนดอยสูงๆ กับพวกกะเหรี่ยง พวกยาง”
    “วันนั้นได้ทำวัตรสวดมนต์กัน เสร็จแล้วก็มีการนิมนต์พระขึ้นเทศน์ นิมนต์หลวงปู่องค์นั้น...นิมนต์พระอาจารย์องค์นี้...
    ที่สุดก็ประกาศนิมนต์หลวงปู่ชอบ ฐานสโม เรียกกี่ครั้งๆ ก็เงียบ ไม่มีพระจะเดินไปที่ธรรมาสน์
    อาตมาก็ถามพระป่าองค์หนึ่งว่า พระคุณท่าน พระอาจารย์ชอบน่ะ คือใครกันครับ กระผมเห็นเรียกอยู่นานแล้ว ?
    พระองค์ที่อาตมาถาม ก็พูดว่า “อ้าว ! ก็พระตัวเล็กดำๆ นั่งอยู่แถวต้นๆ นั่นแหละ ท่านหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะเข้าป่าแล้วมั้งนี่...”
    อาตมาก็มิได้ติดใจอะไรตอนนั้น จะพูดคุยกับครูบาอาจารย์ก็ไม่กล้า ปล่อยเวลาไปทั้งคืนนั้น
    รุ่งเช้า อ้าว ! ท่านเข้าป่ากันหมดแล้ว !
    ในปี ๒๔๙๓ หลวงปู่บุญฤทธิ์ไปจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ชอบสององค์ ที่วัดบ้านยางผาแด่น จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีโอกาสถวายอุปัฏฐากท่านอย่างใกล้ชิด เมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ชอบได้ให้ธรรมะเตือนสติก่อนที่จะจากไปว่า “ที่ภาวนามาแล้วนั่น มันไม่ถูกนะ ไม่คิดอะไรเลยได้อย่างไร” จากนั้นมา หลวงปู่บุญฤทธิ์ก็ปรับหลักในการภาวนาใหม่ โดยเน้นฝึกอานาปานสติมากยิ่งขึ้น หลวงปู่บุญฤทธิ์ตั้งอธิษฐานจิตอยู่ที่วัดยางผาแด่นทั้งหมดรวม ๔ พรรษา ส่วนใหญ่ท่านจะอาจหาญอยู่ตามป่าเขาสูงนี้รูปเดียว บางช่วงก็มีครูบาอาจารย์คือหลวงปู่ชอบ และหลวงปู่บุญจันทร์ จนฺทวโร แวะเวียนมาเยี่ยมและให้คติธรรม
    จากนั้นก็จาริกวิเวกไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อบำเพ็ญสมณธรรมเรื่อยมาอีกกว่า ๒๐ ปี ทั้งในภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้ของประเทศไทย ท่านใช้ชีวิตส่วนใหญ่ธุดงค์อยู่ในป่าในเขาอย่างสมถะ และปรารภความเพียรอย่างอุกฤษฏ์อยู่เสมอ ในช่วงพรรษา ๒๘-๕๘ ท่านเป็นกำลังสำคัญในการนำพระพุทธศาสนาออกไปเผยแผ่ในหลายประเทศทั่วโลก อาทิ ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี เม็กซิโก ออสเตรีย เบลเยียม สวีเดน สหรัฐอเมริกา และจีน นอกจากท่านจะสื่อสารได้หลายภาษาอย่างคล่องแคล่วแล้ว ยังสามารถเชื่อมโยงความรู้และประสบการณ์ทางธรรมเข้ากับคำอธิบายทางหลักวิทยาศาสตร์ นับว่าเป็นการเผยแผ่ธรรมะให้กับปัญญาชนในต่างประเทศในรูปแบบที่ไม่เคยมีใครทำได้อีกด้วย
    ในช่วงบั้นปลายชีวิต หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต พำนักอยู่ที่ที่พักสงฆ์สวนทิพย์ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ได้เทศนาสั่งสอนญาติโยมด้วยความเอาใจใส่และเมตตาธรรมตลอดมา จนกระทั่งมรณภาพในปี ๒๕๖๑ รวมสิริอายุ ๑๐๔ ปี ๗๓ พรรษา นับว่าเป็นพระวิปัสสนาจารย์สองฝั่งโลก คือได้สร้างรากฐานเพื่อความเจริญมั่นคงและยั่งยืนของพระพุทธศาสนาทั้งในโลกฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก ควรได้รับการยกย่องเชิดชูสืบไป
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    สร้อยรูปถ่ายลป.บุญฤทธิ์หลังจีวร ให้บูชา 120 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240420_114905.jpg IMG_20240420_114925.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2024
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    วันนี้ จัดส่ง
    1713605198775.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    1713719278000.jpg
    หลวงพ่อพระสมุห์ชาลี ปภัสสโร (โดยสังเขป)

    .......... พื้นเพเดิมท่านเป็นคนลาดหลุมแก้ว ปทุมธานี ก่อนที่โยมบิดาท่านจะย้ายถิ่นฐาน มาตั้งรกราก อยู่ที่ปราณบุรีหลวงพ่อท่านบวชกับหลวงพ่อนิ่ม วัดเขาน้อยตั้งแต่เป็นเณรจนเป็นพระภิกษุ จำพรรษาอยู่ที่วัดเขาน้อย
    ประมาณปี 2512 ได้ย้ายไปอยู่ที่ วัดบางบัว บางเขน กรุงเทพ.ซึ่งเป็นบ้านเกิดของโยมมารดา จำพรรษาที่นั่นประมาณ 4 พรรษา ได้ทำการย้ายกลับมาปราณบุรี ในปลายปี พ.ศ. 2516 จำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์พูนบุญญาวาส(ปัจจุบันคือวัดวังยาว) ตามวัตถุประสงค์ของโยมบิดา ด้วยขณะนั้นโยมบิดาท่าน พร้อมด้วยโยมพูนและโยมทิม ตระกลูสาลี ได้เห็นพ้องที่จะสร้างวัดขึ้น จึงได้นิมนต์ท่านและพระภิกษุเรือง มาอยู่จำพรรษาร่วมสร้างวัด
    หลวงพ่อท่านอยู่จำพรรษา เรื่อยมาจนกระทั้ง พ.ศ.2520 หลวงพ่อป่วยหนัก ฉันอาหารไม่ได้ จึงได้ลาสิกขาออกมารักษาตัว และใช้ชีวิตฆราวาส อยู่ 5 ปี ในปี พ.ศ.2525 ท่านได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสอีกครั้ง ณ อุโบสถวัดเขาน้อยล่าง โดยมีหลวงพ่อนิ่ม วัดเขาน้อย เป็นอุปัชฌาย์ และกลับมาจำพรรษาอยู่ปฏิบัติ ที่สำนักสงฆ์ตามเดิม จนได้พัฒนาสำนักสงฆ์จนเป็นวัดวังยาวในปัจจุบัน สมกับความตั้งใจของโยมบิดาท่าน และผู้บริจาคที่ดิน
    หลวงพ่อเป็นพระภิกษุที่เคร่งครัดมาก ไม่ปรารถนาทางโลก มุ่งทางธรรม ในวัดท่านใครมาบวช ท่านไม่ให้มีวิทยุ ทีวี หรือเครื่องเล่นดูหนังฟังเพลง ที่เป็นสิ่งเร้า ท่านว่าเป็นพระ หากดูมากๆ ฟังมากๆ เข้าจะพากันตกนรก ตัวหลวงพ่อเอง กุฏิที่ท่านจำวัดก็มีแค่เสื่อผืนหนึ่ง มุ้งหลังหนึ่งเท่านั้น
    หลวงพ่อเป็นผู้ศึกษาสรรพวิชาเก่าๆภูมิปัญญาเก่าๆตามคตินิยมความเชื่อของบรรพบุรุษไว้มาก ดังนี้
    -สายวิชา วัดสะพานสูง ท่านเรียนมาจากโยมบิดาท่าน ซึ่งเป็นสายวิชาที่ผูกพันมาในตระกูล โดยคุณปู่ทัน โยมบิดาท่าน สืบมาจาก หลวงปู่กลิ่น ปู่เอม ปู่เพ็ง และปู่คอน ซึ่งเป็นศิษย์ในองค์ หลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม แห่งวัดสะพานสูง วิชาหลักในสายนี้ คือ พระยันต์มหาโสฬสมงคล และ ผงถอน
    -สายวิชา วัดบางนมโคและวัดปากคลองมะขามเฒ่า โยมบิดาท่านเรียนมาจาก หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง ซึ่งหลวงพ่อแฉ่งนี้ ท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อปาน และหลวงปู่ศุข วิชาที่เป็นหลักคือ ยันต์เกราะเพชร ซึ่งหลวงพ่อท่านก็สืบมาจากโยมบิดาท่าน
    -สายวิชา วัดราชโยธา ท่านเรียนการสัก ลงยันต์ครู ลง น ปัดตลอด และอื่นๆ มาจาก พ่อเขียน ไกรทองสุข ซึ่งพ่อเขียนท่านนี้เป็นลูกศิษย์ ปู่แถว กรเดช ศิษย์หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา และ พ่อเขียน ยังเป็นศิษย์ อ.อยู่ เรือลอย สาย วัดปากคลอง อีกด้วย
    -สายวิชา เขาอ้อ ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนจาก ปรมาจารย์ไสยศาสตร์แห่งยุครัตนโกสินทร์ อ.ชุม ไชยคีรี แห่งสำนักกุญแจไสยศาสตร์
    -สายวิชา วัดโตนดหลวง ท่านสืบมาจาก หลวงพ่อนิ่ม วัดเขาน้อย ซึ่งเป็นทั้งอุปัชฌาย์และบิดาบุญธรรมของท่าน และอีกท่านคือหลวงพ่อยิด วัดหนองจอก ซึ่งมีความคุ้นเคยกับท่านดี เนื่องด้วยเวลาที่หลวงพ่อยิด ท่านต้องการพักผ่อนจากผู้คน ท่านจะหลบมาอยู่ที่วัดวังยาวแห่งนี้
    -สายวิชา วัดสมรโกฏิ นนทบุรี ท่านเรียนจาก อาจารย์ใบ ทับทอง บ้านห้วยโป่ง จ.ระยอง ทั้งยันต์หมู ยันต์พญาเต่าเลือน และยันต์ในสายตามตำรา หลวงปู่บุญมา ปู่บก วัดสมรโกฏิ
    -เรียนวิชาการเขียน-ลบ ผงวิเศษห้าประการ จากโยมบิดา ซึ่งโยมบิดาท่านสืบมาจาก อ.สำรวย วงเลิศ ศิษย์สายสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
    -เรียนวิชาการกระทำคงกระพัน การอาพัด จากอาจารย์ประสงค์ ค่ายธนะรัชต์ ปราณบุรี เจ้าตำรับเหนียวยันองคชาต
    และสรรพวิชาอื่นๆอีกมากมายที่ยังมิได้กล่าวไว้ อาธิ เช่น อาจารย์ทองดี วัดท่าเกวียน, อาจารย์คง ราชบุรี, ปู่โฉม หลังค่าย, โยมเสือแฉ่ง, การลงยันต์และชักยันต์หนุมาน จากพระธุดงค์ พร้อมทั้งศึกษาเล่าเรียนพุทธมนต์โอสถแขนงต่างๆเพื่อสงเคราะห์ญาติโยมที่เดือดร้อน
    นับว่าหลวงพ่อท่านเป็น ภิกษุผู้เพียบพร้อมด้วยสรรพวิชาและถึงพร้อมด้วยสมาธิ-วิปัสสนา ที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน
    หลวงพ่อดำรงตนให้เป็นแบบอย่างแก่ลูกศิษย์ โดยเป็นผู้อยู่ง่าย กินง่าย สมถะ และปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด สมความภาคภูมิที่เป็นสงฆ์สาวกแห่งองค์พระศาสดาโดยแท้จริง จวบจนมรณะกาลมาถึง
    หลวงพ่อ มรณภาพ อย่างสงบ ในรุ่งเช้าเวลาประมาณ 5 นาฬิกา ของวันเสาร์ ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ที่โรงพยาบาลหัวหิน
    จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ สิริอายุรวม 72 ปี
    ทางวัด และครอบครัว พร้อมทั้งคณะศิษยานุศิษย์ ตลอดจนชาวบ้าน ผู้มีความนับถือในองค์หลวงพ่อ พร้อมใจกันจัดพิธี บําเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรม สรีระสังขารหลวงพ่อ จนครบ 100 วัน และร่วมใจกันหล่อรูปเหมือนขนาดเท่าองค์จริงหลวงพ่อ เพื่อประดิษฐานให้เป็นที่สักการะ เคารพบูชา และระลึกถึงคุณงามความดีที่ท่านกระทำมา สมกับเป็น
    *****ปฐมสมภาร*****
    แห่งวัดวังยาว สืบไป................
    /////
    *****
    " คุณความดี คุณความจริง ที่เป็นคุณประโยชน์ที่ให้ความสุขความเจริญแก่เรา คุณอันเป็นนามธรรม เป็นทิพย์สภาวะที่ตาเนื้อไม่อาจเห็นได้คอยช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้ที่เข้าถึงเคารพบูชาจริง.....
    ผู้ไหว้ย่อมได้รับการไหว้ตอบ
    ผู้ให้ย่อมได้รับการให้ตอบ "
    ( ปภัสสโร โอวาท )
    #ศิษย์ขอนอบน้อมระลึกสำนึกรู้
    #ด้วยอาลัย

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงพ่อปานหลังยันต์เกราะเพชร หลวงพ่อชาลีปลุกเสกอธิฐานจิต
    ให้บูชา
    220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20240421_235253.jpg IMG_20240421_235332.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2024
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    fb_img_1708599317449-jpg.jpg
    1708599067151-jpg.jpg
    หลวงพ่อหมอ สุดยอดพระเกจิ เพื่อนรักของหลวงพ่อคูณ พระเกจิองค์เดียวที่หลวงพ่อคูณ มวนและจุดยาสูบให้
    พระสงฆ์ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำยกย่องว่าเป็น
    “…เจ้าของธนาคาร…”
    ขออนุญาตยกบทความของคุณพยุงศักดิ์ เศรษฐมาตย์
    ที่ได้รวบรวมเรื่องราวของท่านไว้
    มาเผยแพร่บารมีองค์หลวงพ่อนะครับ
    : #เจ้าของธนาคาร :
    ครั้งหนึ่ง ราวปี พ.ศ 2532
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
    มาร่วมงานเททองหล่อพระที่วัด
    แห่งหนึ่งใน อ.ท่าเรืองานนั้น
    หลวงพ่อหมอ ก็ไปร่วมงานด้วย
    ผู้คนที่มาในงานต่างมาห้อมล้อม
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    กันมากมายเพื่อกราบขอเมตตา
    ขอบารมีจากท่าน
    ระหว่างที่ผู้คนห้อมล้อมท่านอยู่นั้น
    หลวงพ่อฤษีลิงดำ ก็ได้ชี้ไปที่
    หลวงพ่อหมอที่นั่งอยู่คนละฝั่งกัน
    กับท่านแล้วพูดว่า
    " ผู้ใดมีบารมี ผู้ใดจะโชคดีโน้น...
    ไปขอหลวงพ่อหมอโน้น นี้แหล่ะ
    เจ้าของธนาคารตัวจริง
    ไปกราบขอท่านไป "
    เป็นคำกล่าวของครูบาอาจารย์ผู้รู้ซึ้ง ซึ่งภูมิธรรมของกันและกัน
    " ปราชญ์ย่อมรู้ในปราชญ์ ".
    หลวงพ่อประเสริฐ(หมอ) โอภาโส
    วัดโคกกระต่ายทอง ท่าเรือ อยุธยา
    พระเกจิอาจารย์ผู้ทรงฤทธิ์อภิญญา
    วาจาสิทธิ์หูทิพย์ ตาทิพย์
    วัตรปฏิบัติแปลกๆ ทำตัวแปลกๆ
    จนชาวบ้านหาว่าท่านเป็น " พระบ้า "
    คน อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร นับถือท่านมาก
    เรื่องโชคลาภนั้นเป็นเลิศนัก
    ผู้สร้างตำนานโรงทานอันลือลั่น
    ฝ่ามือมหาลาภ วัตถุมงคลท่านศักดิ์สิทธิ์นัก
    เรื่องหวยเรื่องเบอร์นั้นท่านโดงดังมาก
    แนวทางปฏิบัติ กิน เดิน นั่ง นอน ท่านจะภาวนาตลอดเวลา กิจสำคัญของท่านที่ขาดไม่ได้เลยคือการ ออกบิณฑบาต
    โปรดญาติโยม เรื่องราวพิสดาร
    ปาฏิหาริย์ ความศักดิ์สิทธิ์
    อัศจรรย์พันลึก วัตรปฏิบัติแปลกๆ
    จนชาวบ้านเรียก " พระบ้า "
    ปริศนาธรรมคำคมหลวงพ่อหมอ
    * ศรัทธาตัวเดียว
    ผู้ปฏิบัติต้องมีศรัทธาอย่างแรงกล้า
    ถึงจะได้พบธรรมะเบื่องสูง ที่ไม่มีตัวตน *
    * ธรรมะต้องเกิดในดวงจิต
    ดวงใจถึงจะเป็นของจริง *
    * สมาธิเปรียบเหมือนต้นไม้ ศีลเหมือนพื้นดินสมาธิอาศัยศีล เหมือนต้นไม้อาศัยดิน *
    * เรากางร่มก่อน ร่มถึงจะมากางเรา
    ถ้าเรามีศีลมีธรรมแล้ว ศีลธรรมก็มารักษาเราเป็นเรื่อง ปัจจัตตัง อัตตะโน นาโถ
    (ทำเอง รู้เอง เห็นเอง) *
    เรื่องราวทั้งหลายทั้งปวง ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้คือเรื่องราวพิสดาร ปาฏิหาริย์ ประสบการณ์ต่างๆ คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง
    จากบันทึกของศิษย์และคำบอกเล่าจาก ลพ.ทอง เจ้าอาวาสวัดโคกกระต่ายทอง รูปปัจจุบัน
    เรื่องราวปาฏหาริย์ พิสดารลึกลับ
    ของหลวงพ่อหมอ ยังมีอีกมากเล่ากันเจ็ดวันเจ็ดคือก็ไม่หมด เอาพอหอมปากหอมคอ
    ให้รู้ว่า พระดีๆ เก่งๆ ที่ทรงฤทธิ์อภิญญา แบบนี้ยังมีให้เราได้ค้นหากันอยู่
    " โยมไม่ทันท่าน แต่ได้พระท่านไปบูชา ก็เหมือนได้แก้ววิเศษของท่านแล้ว "
    ( หลวงพ่อทอง เจ้าอาวาสวัดโคกกระต่ายทอง เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันได้กล่าวไว้ )
    ชาติภูมิ
    หลวงพ่อหมอ โอภาโส
    ถือกำเนิดในสกุล จันทรส ณ บ้านบักเขียบ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ
    เกิดเดือน ๑๒ ปีมะโรง พ.ศ.๒๔๕๘
    เดิมท่านชื่อว่า เพชร แล้วเปลี่ยนมาเป็น ประเสริฐส่วนชื่อ หมอ นั้นชาวบ้านพร้อมใจกันตั้งให้ท่านเพราะกิตติศักดิ์ของท่านนั้นเอง
    หลวงพ่อหมอ ท่านเป็นพระอริยะสงฆ์อีกรูปหนึ่งผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัตชอบ ท่านใช้ชีวิตในสมณเพศอย่างเป็นประโยชน์ยิ่ง ไม่เคยสะสมเงินทองมาเป็นของส่วนตัวมีเท่าไหร่ท่านนำไป บริจาก สร้าง แจก เพื่อก่อประโยชน์ต่อบวรพุทธศาสนา เลี้ยงเด็กกำพร้าและเด็กยากจนที่อยู่ในความอุปการะคุณของท่านทั้งหมด
    สงเคราะห์ญาติโยมผู้ตกทุกข์ได้ยาก
    จากวัตรปฎิบัติแบบแปลกๆ ของท่าน เเม้ยางคนที่ไม่เข้าใจ มองท่านอย่างผิวเผินว่าท่าน ออกจะแปลกๆ พิกลไม่เหมือนพระสงฆ์ทั่วไป
    การออกธุดงค์ของทาานก็แปลก ไม่เคยมีกลดหรือมุ้งติดตัวเลย จะมีเพียงแค่จีวรห่มกาย และบาตรใบเดียวเท่านั้น
    แต่เมื่อได้สัมผัสได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับ
    วัตรปฏิบัติ อุบายธรรม หลักคำสอนต่างๆ ของท่านแล้ว ความสงสัยในตัวท่านนั้น ก็จะคลายสิ้น.
    ______________________________
    : #นวโกวาทเป็นครู :
    หลวงพ่อหมอ ท่านว่าท่านเอาตำราเป็นครู
    เอานวโกวาทเป็นครู ภูมิธรรมที่เกิดขึ้นนั้นได้จากตำรา
    หลวงพ่อหมอ เคยปรึกษาหารือสนทนาธรรมกันกับ หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง ถึงนวโกวาท
    ซึ่งในนวโกวาทนี้เขาบอกไว้ทุกเรื่อง ทุกเหลี่ยมทุกมุม
    แต่ไม่ปฏิบัติกัน
    ท่านว่าคนที่จะบรรลุธรรมะ คือ ศรัทธาตัวเดียว ไม่ได้เรียนมามากท่านเอ่ยตามพระวินัยสนใจให้มากรักษาตามนวโกวาทให้ดีๆ
    ศรัทธาตัวเดียว ผู้ปฏิบัติต้องมีศรัทธาอย่างแรงกล้า ถึงจะได้พบธรรมะเบื่องสูง ที่ไม่มีตัวตน.
    ___________________________
    : #หมอ :
    ที่มาของคำว่า หมอ
    ที่ อ.ตะพานหินคือมีญาติโยมผู้หญิงที่ตั้งท้องมากราบ หลวงพ่อหมอ แล้วถามว่าเด็กในท้องเป็นยังไง ปรากฏว่าหลวงพ่อหมอ ท่านบอกเพศ วัน เดือน ปี ที่เด็กจะเกิดไว้ ชึ่งพอถึงเวลาก็คลอดตามที่หลวงพ่อพูดตรงทั้งหมด ทำให้เป็นเรื่องที่แปลกมาก คนท้องในสมัยนั้นแห่กันมาถามหลวงพ่อจนวุ่นวาย
    เท่านั้นยังไม่พอบางคนมาขอให้ท่านแผ่บารมีรักษาอาการเจ็บป่วยให้หาย ท่านก็รักษาตามนิมิตของท่านบางท่าน หลวงพ่อหมอ ให้ไปกินก๋วยเตี๋ยวสามชามก็หาย
    บางคนโดนท่านถีบ ท่านพลักก็หายหรือบางท่านโดนตบก็มีส่วนใหญ่ ญาติโยมไปหาหลวงพ่อแล้วท่านทำให้หายหมด คนตะพานหินจึงเรียกท่าน หลวงพ่อหมอ ตั้งแต่นั้นมา
    สมัยที่หลวงพ่อหมอ ท่านออกธุดงค์ ปฏิบัติตัวแปลกๆ เป็นคนสติไม่ดี ดำเนินจิตตามนิมิตรบอก
    การธุดงค์หลวงพ่อหมอ มีอัฏฐบริขารติดตัวเพียงจีวรห่มกาย และบาตรเท่านั้น กลดมุ้งไม่เคยมีแต่แปลกผิวหลวงพ่อหมอ ไม่มีรอยยุงกัดเลย.
    ______________________________
    : #พระบ้า :
    ลูกศิษย์ท่านหนึ่งชาวตะพานหิน เล่าว่ามีชาวบ้านแถวบ้านตนเอง ไปดูหลวงพ่อหมอ อยากรู้ว่าพระบ้าเป็นอย่างไร ก็ได้พบหลวงพ่อหมอ เมื่อได้สัมผัสหลวงพ่อหมอ อย่างจริงจังแล้วขนลุกรู้สึกได้ทันทีว่า
    พระองค์นี้ไม่เพียงมิใช่พระบ้า แต่เป็นพระที่ไม่ธรรมดาและเป็นพระที่เก่งมากๆ เสียด้วย นึกคิดอะไรในใจท่านรู้หมด ก่อนหวยออกไม่กี่นาที
    หลวงพ่อหมอ ท่านได้เขียนเลขเล่นๆ ไว้ 6 ตัว พอหวยออกมา รางวัลที่ 1 ออกตรงแป๊ะไม่มีคลาดเคลื่อนเลยทั้ง 6 ตัว
    แบบนี้จะเป็นพระบ้าได้อย่างไร.
    ______________________________
    : #ยาสีฟันรักษาโรคประหลาด :
    คนนครสวรรค์ผู้หนึ่ง ได้ดูถูกปรามาสว่า
    หลวงพ่อหมอ เป็นพระผีบ้า
    จู่ๆได้เกิดเป็นโรคประหลาด เป็นก้อนเนื้อขึ้นตามผิวหนังของแขนทั้งสองข้าง ไปหาหมอรักษาโรงบาลไหนก็ไม่หาย รู้สึกปวดทรมานมาก
    ก็เลยนึกได้ว่าก่อนเป็นนั้น ตนเองนั้นได้ดูถูกปรามาสหลวงพ่อหมอ ว่าเป็นพระผีบ้า
    ก็เลยจะมาขมาหลวงพ่อหมอ
    เมื่อเจอหน้ากัน ยังไม่ทันได้พูดอะไร
    หลวงพ่อหมอ ถามขึ้นก่อนโดยทันทีว่า
    " เป็นบ้ามั๊ย โยมคนนี้จึงตอบท่านไปว่า ไม่บ้าครับ หลวงพ่อหมอ ก็พูดขึ้นว่า เอ้อ..แก่ก็ยอมรับแล้วว่า ข้าไม่บ้า แล้วหลวงพ่อหมอ ก็บอกให้ไปซื้อยาสีฟันจากร้านที่ท่านบอก ให้เอามาทาแล้วจะหายภายใน 7 วัน "
    เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งที่ยาสีฟันที่หลวงพ่อหมอ
    บอก ให้ไปซื้อมาทา สามารถรักษาอาการทุกข์ทรมานจากโรคประหลาดที่เป็นอยู่นั้น หายอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งที่ไปรักษาจากโรงพยาบาลมาหลายแห่งแล้วไม่หาย.
    _____________________________
    : #จากตะพานหินสู่วัดโคกกระต่ายทอง :
    หลังจากที่หลวงพ่อหมอได้อยู่สร้างความเจริญทางวัตถุที่วัดพฤษะวันโชติการาม
    ควบคู่กับปลูกฝังรากแห่งความศรัทธาต่อบวรพุทธศาสนาให้เกิดขึ้นและฝังลึกในจิตใจชาวตะพานหินและละแวกใกล้เคียงเป็นเวลาหลายปี
    ร้านค้าชาวจีนหรือเหล่าศิษย์ในอ.ตะพานหิน
    จะมีรูปท่านบนหิ้งพระทุกร้าน
    พระอาจารย์ทองอยู่ แห่งวัดสุทัศน์ กรุงเทพฯ
    ได้ยินกิตติศัพท์ชื่อเสียงความศักดิ์สิทธิ์ของท่านได้ไปพบท่าน
    จึงขอให้ท่านนำกฐินมาทอดที่
    วัดบัวงาม ต.จำปา อ.ท่าเรือ จ.อยุธยา เมื่อท่านนำกฐินมาทอดแล้ว
    ชาวบ้านท่าเรือเลื่อมใสศรัทธาท่านมากต่างปรึกษากันว่าจะหาวัดให้ท่านมาอยู่ จึงนิมนต์ให้ท่านมาอยู่ที่ วัดโคกกระต่ายทอง ซึ่งวัดนี้เป็นวัดโบราณเก่าแก่มาก เป็นวัดร้างมานานแล้ว อยู่ที่ ต.จำปา อ.ท่าเรือ จ.อยุธยา.
    ______________________________
    : #เดินข้ามแม่น้ำป่าสัก :
    ครั้งหลวงพ่อหมอ มาอยู่ วัดโคกกระต่ายทอง ท่านได้นั่งรถไฟมาลงที่ท่าเรือ แล้วเดินเท้ามายังวัดชุมแสง เพื่อที่จะข้ามท่าเรือ มายังวัดโคกกระต่ายทอง
    ซึ่งอยู่ตรงข้ามคนละฝั่งแม่น้ำกัน
    ขณะที่หลวงพ่อหมอ มาถึงท่าวัดชุมแสงนั้น เป็นเวลาค่ำแล้วจึงไม่มีเรือข้ามฝากไปยังท่าวัดโคกกระต่ายทอง
    ทันใดนั้นหลวงพ่อหมอ ได้เดินลงเหยียบบนผิวน้ำอัศจรรย์ยิ่งตัวท่านยืนอยู่เหนือผิวน้ำแล้วเดินข้ามแม่น้ำไปยังท่าวัดโคกกระต่ายทอง
    โดยที่มีชาวบ้านเห็นเหตุการณ์ว่าเห็นพระเดินข้ามแม่น้ำ บ้างก็ว่าท่านเหยียบยืนบนฝาบาตรลอยข้ามแม่น้ำในครั้งนั้น
    จนเป็นที่กล่าวขานล่ำลือไปทั่วในเขต อ.ท่าเรือ ในสมัยนั้น
    (เรื่องราวจาก ลพ.ทอง เจ้าอาวาสวัดโคกกระต่ายทอง รูปปัจจุบัน).
    ______________________________
    : #สหมิกธรรม :
    หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่
    ให้ความเคารพนับถือ ยอมรับในคุณธรรมของ
    หลวงพ่อหมอ เป็นพระองค์เดียวที่หลวงพ่อคูณ มวนและจุดยาให้สูบ เรียกว่าท่านเป็นเพื่อนชี้กันเลยทีเดียว ท่านทั้งสองต่างรู้ภูมิกัน
    อันที่จริงหลวงพ่อคูณ ท่านเคารพนับถือในองค์หลวงพ่อหมอ มาก หลวงพ่อหมอ ท่านจะอายุมากกว่า หลวงพ่อคูณ 8 ปี
    หลวงพ่อคูณ ท่านกล่าวว่า
    " หลวงพ่อหมอ เก่งกว่ากูเยอะ ".
    ____________________________
    : #เขาดีกว่ากูอีก :
    หลวงพ่อพรหม ถาวโร วัดช่องแค นครสวรรค์
    บอกแก่ชาวบ้านช่องแค
    สมัยที่หลวงพ่อหมอ ท่านออกธุดงค์ ปฏิบัติตัวแปลกๆ ทำตัวเป็นคนสติไม่ดี ดำเนินจิตตามนิมิตรบอก
    ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อหมอ ได้ธุดงค์ผ่านไปแถวช่องแค อ.ตาคลี ชาวบ้านที่พบเห็นต่างโจษขานกัน กับความแปลกประหลาดในวัตรปฏิบัติแปลกๆของท่านที่ไม่เหมือนพระทั่วไป จนชาวบ้านบางส่วนมองท่านว่าเป็นพระบ้า
    ด้วยความสงสัยจึงนำเรื่องราวไปถาม
    หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ว่ามีพระสติไม่ดีนุ่งจีวรเก่าๆ มาธุดงค์ปักกรด แถวช่องแค ชาวบ้านเอาภัตตาหารไปถวายบางวันไม่ฉันนั่งนิ่งทั้งวัน บางทีชาวบ้านมาพบเจอฉันภัตตาหารกลางคืน
    บางวันมีญาติโยมที่ศรัทธา มานั่งห้อมล้อมเยอะเพราะไปถามอะไรท่าน ในเรื่องที่ตนเองทุกร้อนใจ ท่านรู้ตอบถูกหมด รู้ทุกอย่างที่ชาวบ้านถาม บ้างก็มาให้ท่านทำน้ำมนต์ ให้ดูดวง บ้างก็มารักษาให้ท่านพ่นเป่า บ้างก็มาขอหวย มีทั้งคนที่นับถือ มีทั้งคนที่มาก่อกวนท่าน เพราะหาว่าท่านเป็นพระบ้า
    ชาวบ้านจึงนำเรื่องนี้ไปถามหลวงพ่อพรหม
    ว่าเป็นพระบ้า หรือ อย่างไรกันแน่
    หลวงพ่อพรหม นั่งนิ่งสักพักแล้วท่านบอกกับโยม
    ที่สงสัยในตัวหลวงพ่อหมอว่า
    " เขาดีกว่ากูอีก "
    จึงไม่มีใครกล้าไปตอแยก่อกวนหลวงพ่อหมออีกเลย.
    ______________________________
    : #ฝ่ามือมหาลาภ :
    เรื่องมหาลาภ ของหลวงพ่อหมอนั้นว่ากันว่าขลังเป็นยิ่งนัก
    ฝ่ามือมหาลาภของท่าน นับว่าเป็นของวิเศษนัก
    หลวงพ่อหมอ ท่านจะเน้นไปทางด้าน
    โชคลาภ โภคทรัพย์ เงินไม่ขาดมือ
    ในวัตถุมงคลของท่านมักจะมีรูปฝ่ามือมหาลาภของท่าน วางประทับอยู่ด้านหลังวัตถุมงคลนั้นๆ
    ไม่ว่าจะเป็นเหรียญ หรือพระสมเด็จ
    จะมีรูปฝ่ามือมหาลาภ ของท่านประทับอยู่ข้างหลังขององค์พระเกือบทุกรุ่น
    ฝ่ามือมหาลาภที่ประทับไว้ด้านหลังวัตถุมงคลของท่านนั้นยังแฝงไว้ด้วยซึ่งปริศนาธรรรม
    ว่าฝ่ามือของท่านนั้นค่อย ช่วยเหลือ ผลักดัน
    ส่งเสริม อุปถัมภ์ค้ำชู มิให้ตกต่ำ
    วัตถุมงคลของท่านนั้นจะดีไปในทาง
    โชคลาภ โภคทรัพย์ เมตตา ค้าขาย เจริญก้าวหน้า ทำมาหากินคล่องตัว ทั้งยังคุ้มครองป้องกัน
    นักเสียงโชคและคนค้าขาย ควรหามาบูชายิ่งนัก
    วัตถุมงคลของท่านนั้นราคาไม่แพง เพราะคนไม่ค่อยรู้จักท่าน
    แต่ที่น่าแปลกคือหาไม่ค่อยได้ไม่ค่อยพบเจอ.
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    รูปหล่อวัดโคกกระต่ายทองหลวงพ่อหมอให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)



    IMG_20240421_235455.jpg IMG_20240421_235359.jpg
    IMG_20240422_001932.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2024
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    ประวัติ
    พระครูพิพิธกิจจานุรักษ์ หลวงพ่อฝุ่น อตตทโม
    ( เตี้ย ) มีนามเดิมว่า " ฝุ่น" นามสกุล " จูงาม " เกิดเมื่อวัน ที่ 10 กุมภาพันธ์ พศ.2477
    ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 3 ปีจอ ณ. หมู่6 ต.โพงาม อ.สรรคบุรี
    จ.ชัยนาท โยมบิดาชื่อ พ่อมะลิ จูงาม โยมมารดาชื่อ คุณแม่แกละ จูงาม
    โดยมีพี่น้องร่วมมารดา เดียวกันทั้งหมด 12 คน เป็นบุตรชาย 2 คน บุตรหญิง
    10 คน ตามลำดับดังนี้
    1. นายเล็ก จูงาม(ถึงแก่กรรม)
    2. นางแจ๋ว จูงาม(ถึงแก่กรรม)
    3. นางกวา สร้อยระย้า(ถึงแก่กรรรม)
    4. นางแป้ง น้ำทิพย์
    5. นาย ฝุ่น จูงาม ( หลวงพ่อเตี้ย ) (มรณะภาพ)
    6. นางฝอย จูงาม (โดย หลวงพ่อเตี้ย และนางฝอยนั้นเป็นฝาแฝดกัน)
    7. นางใฝ เนียมทอง
    8. นางวิลัย จูงาม
    9. นางแถ นุชสะริ
    10. นางสังวาลย์ จูงาม(ถึงแก่กรรม)
    11. นางแสวง น้ำทิพย์
    12. นางช้วน จูงาม(ถึงแก่กรรม)
    ช่วงปฐมวัยและการศึกษาเบื้องตัน
    สมัยเด็ก นั้นหลวงพ่อมีรูปร่างเด็ก จึงได้ชื่อว่าฝุ่น แต่จะเรียกติดปากกัน
    ว่า " เตี้ย" (ลูกศิษย์ใกล้ชิดได้เล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อบอกว่า "เตี้ย" คือไม่สูง
    ไม่ต่ำ อยู่กลางๆ) ท่านได้รับการศึกษาจนจบชั้น ป.4 จาก โรงเรียนวัดคังคาว
    เมื่ออายุประมาณ 10 ขวบ จึงไต้ออกจากโรงเรียนโดยขออนุญาตจากโยม บิดา
    และมารดา มาบรรพชาเป็นสามณร ณ วัดพระแก้ว อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท โดยมี
    พระอาจารย์โปร่ง เจ้าอาวาสวัดพระแก้ว ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลวงอาของท่าน เป็นผู้
    บรรพชาเป็นสามเณรให้ ในช่วงที่เป็นสามเณร อยู่นั้นก็ได้ศึกษาพระปริยัติธรรม
    แถะวิชาการต่างๆ อยู่พอสมควรโดยท่านนั้นชอบศึกษาและแสวงหาความรู้เกี่ยวกับ
    วิชา และคาถาอาคม ต่างๆ มีเรื่องเล่ากันว่าท่านท่อง อิติปิโส ถอยหลังจนสามารถ
    สะเดาะกุญแจได้ หลังจากอยู่วัดพระแก้วระยะหนึ่งก็ได้ย้าย มาจำพรรษาอยู่ที่
    วัดคังคาว หรือวัดธรรมมิกาวาส ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านของท่าน ในอดีตนั้นมีหลวงพ่อเฒ่า
    (ปั้น) เป็นเจ้าอาวาส รูปแรก และเป็นที่นับถือ และศรัทธาของชาวบ้านมาก (ว่ากันว่าท่านเป็นอดีตทหารพระเจ้าตากสิน หลังสิ้นสงครามจึงออกบวชและออกธุดงค์เรื่อยมาถึงชัยนาทและสร้างวัด)
    ในระยะที่จำพรรษาอยู่ วัดคังคาวนี้ก็ได้ ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ
    วิทยาคมต่างๆ จากตำราของหลวงพ่อเฒ่าซึ่งบันทึกไว้ในสมุดช่อย โบราณ จน
    ชำนาญ เช่น วิชาผ้ายันต์แดง อะปะจะคะ วิชาผ้ายันต์พระอิศวร มนต์พระกาฬ วิชาคงกระพัน ชาตรี หนังเหนียว ยันต์พิชัยสงคราม คาถาปราบอาวุธ เป็นต้น โดยมีปูโฉมแถะหลวงพ่อสอน(อุปชาสอน)ที่มีศักดิ์เป็นถุงของท่าน และเป็นเจ้าอาวาสวัดคังคาวในสมัยนั้นเป็นครูอาจารย์ อบรมสั่งสอน จนรอบรู้สรรพวิชาต่างๆ สำเร็จตั้งแต่สมัยยังเป็นสามเณร ด้วยนิสัยส่วนตัวที่ท่าน เป็นผู้ใฝ่รู้ และสนใจ ในวิชาอาคมต่างๆ ซึ่งท่านสามารถใบ้หวยได้ตั้งแต่สมัยเป็น
    เณร ในวัยเยาว์นั้นหลวงพ่อสอน อดีตเจ้าอาวาส วัดคังคาว ซึ่งมีศักดิ์ เป็นหลวงถุง
    ของท่าน นั้นเคยไกวเปล เลี้ยงท่านมาตั้งแต่เด็ก ๆ ด้วยเช่นกัน
    ในช่วงที่เป็นสามเณรนี้ท่านได้เคยเดินทางไปศึกษาวิชากับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ จ.นครสวรรค์ และหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ จ.สิงห์บุรีและหลวงพ่อแช่มวัดตาก้อง จ.นครปฐม (เรียนทำน้ำมนต์) ด้วยเช่นกัน
    อุปสมบท
    เมื่อครั้งอายุของท่านได้ 21 ปี บริบูรณ์ จึงได้ญัตติ จากสามเณร แล้วอุปสมบทเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2498 เวลา 13.15 น. ณ วัดโบสถ์ ต.โพงาม อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท โดยมี พระครูวิฑูรชัยกิจ (หลวงพ่อเทียน)
    วัดโบสถ์ ต.โพงาม อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท เป็นพระอุปัชฌาย์และ มีพระครูวิชัย
    วรคุณ (หลวงพ่อป่วน) วัตโพธิ์งาม ต.โพงาม อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท เป็นพระกรรม
    วาจาจารย์
    ได้รับฉายาว่า "พระฝุ่น อตุตทโม" และได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดพระแก้ว
    ลูกศิษย์ท่านนึงเล่าให้ฟังว่า แต่พรรษาที่ 2 ท่านก็ได้ร่วมในพิธีพุทธาภิเษก แล้ว
    แสดงถึงความแก่กล้าในวิชาอาคมที่ท่านร่ำเรียนมา หลังจากจำพรรษาที่วัด
    พระแก้วได้ระยะหนึ่ง นั้นท่านก็ได้ออกธุดงค์ไปอยู่ตามป่าในถ้ำ หลายแห่งด้วยกัน
    ทั้งภาคเหนือและอีสานไปจนถึงพม่า ลาวและเชมร ได้พบพระธุดงค์ในป่าสอนวิชา
    ให้ ที่ไหนที่ว่ามีครูบาอาจารย์ ดี มีวิชา หรือแม้กระทั่งฆราวาส ท่านจะไปเรียนทุกที่
    ด้วยที่ท่านเป็นพระที่คงแก่เรียน ท่านจึงเชี่ยวชาญ ชำนาญ ในวิชาอาคม และ
    ศาสตร์หลายแขนงจนแตกฉาน สามารถทดสอบความขลังและ ศักดิ์สิทธิ์จนได้
    ผลจริง ทั้งตำรายารักษาโรค ยาไทยแผนโบราณ การเทศน์การแหล่ก็ไม่เป็นรองใคร
    ทั้งวิชากระบี่กระบอง มวยไทย หยั่งรู้จิตใจ สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ วาจาศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก โดยเฉพาะเรื่องเลขเบอร์นั้น ไม่ว่าจะเลข 2 ตัว3 ตัว หรือเลข 6 หลัก 7 หลักท่านให้ตรงๆ
    หลังจากนั้นจึงย้ายจากวัด
    โพธิ์งามข้ามฟากแม่น้ำ มาอยู่ที่วัดตึก ต.โพงาม อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท ในเวลา
    ต่อมาและได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส แต่ท่านไม่ยอมรับตำแหน่ง ท่านได้ทำนุ
    บำรุง ช่อมแซม ศาสนสถานต่างๆ ภายในวัด ในช่วงที่จำพรรษาอยู่วัตตึกนี้เอง
    ท่านก็ยังไปมาหาสู่กับศิษย์พี่ ,ศิษย์น้อง และครูบาอาจารย์ต่างๆ อาทิเช่น หลวงพ่อกวย วัดบ้านแค หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ ,หลวงพ่อถิร วัตป่าเลไลย์ ,หลวงพ่อเทียน วัดโบสถ์ ,
    หลวงพ่อปวน วัดโพธิ์งาม ,หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม ,หลวงพ่อแพ วัตพิกุลทอง ,
    หลวงพ่อสืบ วัดกุฎทอง, หลวงพ่อเปรื่อง วัดบางคลาน จ.พิจิตร ฯถฯ และยังได้
    แลกเปลี่ยนและลองวิชากัน บ่อย ๆ กับหลวงพ่อเปรื่องนี้ท่านเคยบอกกับถูกศิษย์
    ว่าท่านไปเรียนวิชาคู่กันมากับศิษย์เอกหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน แต่ไม่ได้บอกว่า
    ชื่ออะไร สมัยอยู่ที่วัดตึกนี้ ท่านก็ได้สร้างวัตถุมงคลไว้ในโอกาสที่จำเป็นเท่านั้น
    อาทิเช่น พระพิมพ์สมเด็จ , ผ้ายันต์หงษ์คู่ ตะกรุดและถูกประคำ ซึ่งแต่ละ
    อย่างนั้นสร้างไว้จำนวนไม่มากนัก พระพิมพ์สมเด็จนั้นทำและกดกันเองภายใน
    วัดลักษณะจึงไม่สวยงามนักและจะเปราะแตกชำรุดเป็นส่วนใหญ่ในช่วงนี้เองโยมบิดาของหลวงพ่อก็ได้มาบวกอยู่ด้วยกันที่วัดศึกประมาณ 3 พรรษาเนื่องจากสุขภาพไม่แข็งแรงและ ป่วยบ่อยๆโยมบิดา จึงได้ลาสิขาบทไปอยู่กับโยมมารดา
    เช่นเดิม และใน พศ.2522 หลังจากงานพิธีพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อเทียน
    อุปัชฌาย์ของท่าน ณ วัดโบสถ์ ก็ได้มีญาติโยมนำโดย โยมถิน โยมอาจและโยมแจ
    มานิมนต์ให้ท่าน จำพรรษาอยู่ที่วัดสามเอก ต.โคกช้าง อ.เติมบางนางบวช
    จ.สุพรรณบุรี เมื่อ 1 เมษายน พ.ศ.2522 โดยพระครูพิทักษ์ธรรมโชติเจ้าคณะ
    อำเภอเดิมบางนางบวชในขณะนั้นได้เซ็นรับรองเช้าสังกัด วัดสามเอก เมื่อ วันที่
    พฤษภาคม พศ.2523
    ในช่วงปีพ.ศ. 2525 ท่านกี่มีดำริให้สร้างเหรียญพระพุทธ
    (ลพ.โต)หลังเป็นรูปแท็งค์น้ำ รุ่น 1 ฉลอง 200 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ขึ้นแต่ใน
    ชื่อเหรียญจะไม่ใด้ใช้ชื่อของท่านเองโดยใช้ชื่อพระครูหมุน ธมุมทตฺโต ซึ่งเป็น
    อดีดเจ้าอาวาสวัดบ้านเพชรที่ติดตามท่านมาอยู่ที่วัดสามเอก ด้วยขณะนั้น แต่ที่
    เหรียญจะตอกชื่อย่อของท่านไว้ที่ด้านหลังของทุกเหยญคือ " พผ. " ย่อมาจาก
    "พระฝุ่น"เพื่อ หาปัจจัยสร้างแท็งค์น้ำ เพื่อให้เป็นสาธารณะประโยชน์ ของวัตสามเอก
    ใต้ฐานของแท็งค์น้ำนี้ เล่ากันว่าท่านได้เท ตะกรุดใส่ลงไปด้วยจำนวนหนึ่ง...
    ในปีพศ 2528 ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดสามเอก รับพัดยศ
    เป็น พระครูปลัดฝุ่น อตุตทโม
    และในปี พ.ศ.2533 ที่ใด้สร้างเหรียญรูปเหมือนรุ่นแรก ของท่านขึ้น
    เพื่อหาปัจจัยสร้างโบสถ์ เมรุเผาศพและกุฏิ ที่พักอาศัยของพระ เณร เหรียญรุ่นแรก
    ปลอดภัย หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า "เหรียญปิดตา" (พระควัมบดี)
    สร้างไว้หลายแบบด้วยกัน มีทั้งเนื้อทองคำ เนื้อเงิน(ต้องสั่งจอง) เนื้อทองแตงธรรมดา รมดำ กะไหล่นาก และกะไหล่ทองสำหรับแจกกรรมการ แถะยังมีรูปเหมือนบูชาขนาด หน้าตัก 5 นิ้ว รุ่นแรก อีกด้วย ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2537
    ท่านที่ได้รับแต่งตั้ง สมณศักดิ์พัศยศ เป็นพระครูพิพิธกิจจานุรักษ์
    ตลอดเวลานั้นท่านได้ทำนุบำรุง และพัฒนาวัดสามเอก เรื่อยมา
    ทั้งหล่อพระประธาน สร้างกุฎิ วิหาร ห้องน้ำ ศาลา ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ
    และถมดินในบริเวณวัดจากที่เป็นพื้นที่ต่ำมีน้ำท่วมประจำ จากศาลาที่
    สูงท่วมหัว จนตินเสมอพื้นศาลาอย่างที่เห็นในปัจจุบัน.
    ปัจฉิมวาร
    นับตั้งแต่ พ.ศ. 2546 เป็นต้นมาตั้งแต่ สังขารและสุขภาพ
    ของหลวงพ่อก็ได้ร่วงโรยไปตามกาลเวลา โรคภัยไข้เจ็บ ก็รบกวนบ่อยครั้ง ตาม
    วิสัยของทางโลก ในช่วงนี้เอง หลวงพ่อจึงย้ายออกจากวัดสามเอก ไปพักรักษา
    ตัวยังวัดท่านางเริง จ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี และได้ไปรักษาตัว ที่รพ.
    หมอประเจิด จ.สิงห์บุรีบ่อย ๆ เมื่อได้รักษาตัวจนอาการ ดีขึ้นแล้ว ไปพักรักษา
    ตัวที่วัดใหม่ศรัทธาธรรม ระยะหนึ่ง อ.วสันต์ หลานของท่านก็มารับท่านไปดูแล
    ยังวัดไทรม้าใต้ จ.นนทบุรีจนสุขภาพดีขึ้นตามลำดับหลวงพ่อท่านก็ได้ย้าย
    กลับไปจำพรรษา ณ วัดใหม่ศรัทธาธรรม (วัตใหม่ไฟไหม้) 1 พรรษา เหนือวัด
    บ้านแค จากนั้นก็ย้ายมาที่วัดหนองกรด และวัดเขาน้อย ตามลำตับจากนั้น
    ก็ได้มีญาติโยม จากวัดหนองแขม มานิมนต์ท่านให้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดหนองแขม
    ต.คงคอน ย.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท หลังจากอาการดีขึ้นท่านที่กลับมายังที่วัด
    สามเอกอีกครั้งในช่วงปี พศ.2547 ท่านเอ่ยข้าหมดเวรหมดกรรมแล้ว (ที่ท่านต้องย้ายไปหลาย ๆวัด นี้เพื่อใช้หนี้กรรมในอตีต) จนอาการอาพารกำเริบ จึงมีกลุ่มถูกศิษย์พาไปรักษาตัวยัง รพ.หลวงพ่อแพ จ.สิงห์บุรี
    และในโอกาสที่วัดคังคาวจัดพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลเนื่องในงานผูกพัทธสีมา
    เมื่อปลายปี 2547 อาจารย์ จี๊ ก็ได้มานิมนต์ให้หลวงพ่อท่านไปร่วมงานครั้งนี้ด้วย
    โดยนำรถมารับและช่วยกันพยุงตัวท่านขึ้นรถเชื่นไปนั่งปลุกเสกด้วย ถือเป็น
    ความเมตตาต่อศิษย์อย่างยิ่ง ท่านบอกกับอาจารย์จิ๊ ว่าจะมาปลุกเสกให้ หลวงพ่อ
    เฒ่า วัดคังคาวเป็นครั้งสุดท้าย (เพราะที่ผ่านมาทางวัดคังคาวต้องนิมนต์ท่าน
    มาปลุกเสกด้วยเสมอ)
    กาลมรณะ
    หลวงพ่อเตี้ย ท่านป่วยด้วยโรคความดัน เบาหวาน ฯลฯ และ
    ได้มีคณะศิษย์ยานุศิษย์พาท่านไปรักษาตัวยัง รพ.มิชชั่น กรุงเทพฯ และได้
    มรณะภาพลงตัวยอาการสงบ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2548 สิริรวมอายุได้ 71 ปี
    9 วัน 50 พรรษา(หลังจากวันเกิด 9 วัน) โดยได้มีการจัดงานศพเป็นเวลา 7 วัน
    7 คืน แถะได้บรรจุศพท่านไว้ในโรงแก้วโดยที่สังขารท่านไม่เน่าเปื่อยจนถึงปัจจุบัน.
    ทางวัดโดย พระอธิการอำนาจ และคณะกรรมการวัตได้จัดสร้างศาลา บรรจุ
    สรีระของท่านไว้เพื่อให้สาธุชน ได้กราบไหวั สักการบูชากันจนถึงทุกวันนี้
    เรื่องราว ประสบการณ์ ต่าง ๆ
    1.การลองยิงเหรียญปิดตา
    การลองในครั้งนี้มีขึ้นเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2534 โดยมี พ.ต.ท.พอพล
    เพิ่มชัยสุข เป็นผู้ทำการยิงทดสอบ โดยใช้ปืนสั้นขนาด.38 และลูกปืนใหม่เอี่ยมที่ซื้อ
    มาจากร้านขายอาวุธปืน ประภาศรีในตลาดเดิมบางนางบวชจ.สุพรรณบุรี ซึ่ง
    ก่อนทดสอบก็ได้ลองยิงหลายนัดปรากฏว่ากระสุนมีประสิทธิภาพดีทุกนัด เหรียญ
    ไห้ถูกนำไปแขวนบนกิ่งไม้ ตรงศาลาชายน้ำ ห่างจากผู้ยิงประมาณ 3 วา ต่อหน้า
    ผู้ที่เป็นสักชีพยานในเหตุการณ์หลายร้อยคน โดย 2 นัดแรกนั้นยิงไม่ติด นัดที่ 3
    ยิงออกเป็นประกายไฟพุ่งออกจากลำกล้องแต่ไปได้ไม่ไกล นัดที่ 4 และ 5 ยิงออก
    คังปังแต่ถูกปืนคาลำกล้องต้องใช้เวลากระทุ้งออกอยู่นาน และได้นำกระสุน 2
    นัดแรกที่ยิงไม่ติดใส่ปืนกระบอกเดี่ยวกันเล็งไปอีกทางนึง ปรากฏว่ายิงออกทั้ง
    2 นัด
    หลังจากทดสอบเหรียญครั้งนี้ หลวงพ่อได้เขียนไปปิดประกาศ
    ให้ประชาชนได้ทราบว่าไม่มีเจตนาอวดอ้างวิชาของท่าน แต่เนื่องจากมีญาติโยม
    หลายคนมาขอร้องวิงวอนอยากจะเห็นวิชาอุดปืนว่ามีจริงหรือไม่ หลวงพ่อเลยต้อง
    ขออนุญาตครูบาอาจารย์ที่เรียนมาในสมัยที่ธุดงค์อยู่ในป่าอาศัยอยู่ตามถ้ำ ทดสอบ
    เหรียญรุ่นแรกของท่าน โดยหลวงพ่อท่านให้สัจจะว่าจะไม่ลองให้ใครดูอีกเด็ดขาด
    เพราะการลองครั้งนี้ถือว่ามีพยานรู้เห็นเพียงพอแล้ว หลวงพ่อได้เตือนไว้ว่าเมื่อ
    ได้เหรียญของท่านไปแล้วอย่าได้ไปลองอีกจะทำให้ใช้ของขลังไม่ได้ผลเพราะขาด
    ความศรัทธาและความเชื่อมั่น เหรียญของท่านก็จะไม่ศักดิ์สิทธิ์เต็มที่.
    1.1 ลองยิงเหรียญปิดตา (ประสบการณ์ตรงจากคุณธนกิจ ส่งมาให้)
    คือลุงผมได้มาบอกพ่อว่า มีเกจิเก่ง ชวนไปกราบ พ่อก็ไปกับลุง
    ไปครั้งแรกไม่เจอหลวงพ่อ แต่ทำบุญเช่าเหรียญรุ่นแรกกลับมา 1 เหรียญ ลุงก็
    ชวนพ่อไปลอง ไปที่บ่อนไก่ของเพื่อนถลุง ให้ลุงที่นั่น ยิ่งเหรียญ ใช้ปืนยาวถูกกรด
    ยิงระยะห่าง 2 เมตรได้ครับ คนที่บ่อนมุงดูกันเต็มเลย ยิงที่แรก เหรียญกระเด็น
    คนในบ่อนเฮกันลั่น แต่พอหยิบเหรียญมาดู กลับไม่มีแม้แต่รอยข่วน ตาลุงก็
    ไม่ยอม ขออีกรอบ ตอกตะปูยึดเหรียญกับต้นไม้เลย แล้วจ่อยิง หลายนัด จนเหรียญ
    พลิก แต่เอามาดูเหรียญก็ยังไม่เป็นอะไรอิก พ่อผมจึงบอกให้เลิกลองได้แล้ว แล้ว
    จึงได้กลับไปหาหลวงพ่ออีกรอบ ช่วงนั้น หลวงพ่อเริ่มจะมีชื่อเสี่ยงบ้างแล้ว เพราะมี
    คนทดลองหลายคน พ่อเล่าว่า ตอนไปรอบสอง พวกคนในวัดยุ หลวงพ่อให้ขึ้น
    ราคาเหรียญแพงๆ แต่ท่านไม่ทำ บอกตั้งใจสร้างแค่นี้ เพื่อนำเงินมาทำนุบำรุงวัด
    พ่อผมจึงได้ทำบุญเช่ามาประมาณ 300 เหรียญได้ครับ ยังอยู่ดีไม่เคยให้ใครเลย
    รู้สึกมีเหรียญทองคำด้วย ตอนคุณพ่อผมไปเช่านี่ องค์ละ 100 บาท เอามาเกือบ
    หมดวัดเลย 300 องค์ ทั้งแบบเนื้อผงด้วย เนื้อผง 50 องค์ คุณพ่อได้มาแบบ
    ทองแดง อย่างเดียวเลยครับ พ่อว่า ตอนที่ไปเช่า เหลืออยู่ เนื้อทองแดงผิวไฟครับ
    หลังจากนั้นยังได้ไปที่วัดอีกรอบ หลวงพ่อท่านได้บอกว่า ทำลายบล็อคไปแล้ว
    เพื่อป้องกันการปลอม แต่พ่อว่า น่าจะมีปลอมออกมา เพราะสมัยนั้น ชื่อเสียง
    หลวงพ่อดังพอสมควร เนื่องจากคนนำพระท่านไปทดลอง พวกสุพรรณ บุกมา
    ถึงบ้านผมเลย จะมาขอแบ่ง เพราะเห็นชื่อคุณพ่ออยู่บนกระดานในวัด แต่พ่อไม่แบ่ง
    ให้พ่อว่า เหรียญที่มี(ที่คุณพ่อเช่ามา) มีสองแบบครับ ตรงมีเส้นกับไม่เส้น (เส้น
    แตกตรงริมฝีปาก) ส่วนต้านหลัง ใต้คำว่า วัม จะมี จุดกลมๆ ทุกเหรียญ.
    (บ่อนตีไก่ คนที่ยิงลองเหรียญ ชื่อ ตาลิต ครับ วันก่อนถามคุณพ่อ) ส่วนอีกครั้ง
    ไปลองที่วัดพระปฐมเจดีย์ ที่กุฏิหลวงตาสุธี พอดีหลายชายท่านเป็นทหาร
    มาเยี่ยมแล้วเจอกับพวกพ่อ พอได้ยินเรื่องก็ไม่เชื่อ อยากทดสอบ เลยชักปืน
    เค้ามาลองยิง แต่ยิงไม่ออก แชะๆไปสามรอบ ครับ.ขอเล่าซะยาวเลยครับ ข้อมูล
    ของจริงไม่มีใส่ไข่ เพราะบ้านผมไม่ได้ซื้อขายพระ.
    2. หลวงพ่อใบ้หวย
    หลวงพ่อเตี้ยท่านเก่งวิชาหวย สมัยโบราณ พระเกจิที่ใบ้หวยก็มีหลายองค์ อาทิ สมเด็จโต ,หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน, หลวงพ่อจง ,ท่านเจ้าคุณนร สมัยโบราณเก่งจริงนะ รู้จริง บ้างก็ใบ้เป็น กขคง เป็นเลข หรือ เป็นนัยเชาว์ เปรียบเปรยเป็นต้อน ท่านถูกเรียกไปสอบ และต้องเตรียมกางเสื้อผ้าไปด้วย ถ้าไม่ได้สึกเดี๋ยวนั้น ช่วงปีประมาณ พ.ศ.2500กว่าๆ สมัยนั้นหวยยังเป็น 7 หลัก
    ถ้าเอ่ยชื่อหลวงพ่อเตี้ย วัดสามเอกนั้น บรรดาคอหวยต่างรู้จัก
    กิตติศัพท์ของท่านเป็นอย่างดี เป็นที่เกรงของเจ้ามือหวย อย่างยิ่ง ถึงขนาดกรม
    ศาสนาเคยเรียกตัวท่านไปสอบถ้าให้หวยไม่ถูกต้องโดนจับสึก แต่ท่านก็สามารถ
    พิสูจน์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์และยอมรับโดยก่อนวันหวยออกนั้นท่านได้เชียน
    รางวัลที่ 1 ใส่กระดาษเสียบธงปักไว้ โดยห้ามแกะดูก่อนออกรางวัล จนกระทั่ง
    หวยออกจึงได้นำกระดาษที่ท่านเขียนมาเปิดดู โดยตัวเลขนั้นออกตรง ๆ ทั้ง 7 หลักที่ประจักษ์มาแล้ว
    เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากถูกศิษย์ของท่านหลายต่อหลายท่าน จึงถูกนิมนต์
    อยู่กรุงเทพฯ นานนับเดือน ท่านเคยเข้าวังไปช่วยแก้คุณไสย หุ่นฝังอยู่ดอยสุเทพ ท่านก็ทราบได้ หลวงน้าปิ่น หลานแท้ๆของหถวงพ่อกวย วัดบ้านแค
    ได้เล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนนี้ หลวงพ่อเติ้ย จะไปหาหลวงพ่อกวยและพักค้างคืน
    อยู่ด้วยเสมอๆ ครั้งหนึ่งหลวงน้าปิ่นขณะนั้นเป็นฆราวาส ยังรุ่น ๆ จะไปขอหวย
    กับหลวงพ่อกวย หลวงพ่อกวยก็บอกให้ไปหาท่านเตี้ยโน่น...หลวงน้าปิ่นจะเรียกหลวงพ่อเตี้ยว่าพี่ บอกหลวงพี่ ๆ อยากได้หวยสักงวด หลวงพ่อเตี้ยท่านก็เลยบอกว่าเมื่อคืนฝันว่า มีผู้ชายไปจับมือผู้หญิงเลยโดนปรับไป 500 บาท
    หลวงน้าปิ่นก็ไม่เอะใจว่าหลวงพ่อใบ้หวยเลขไม่ได้ซื้อ พอหวยออกปรากฏว่าออก 500 สามตัวตรงๆ
    บางท่านหลวงพ่อเคยเขียนเลขรางวัลที่ 1 ให้ไป เลขท้าย 29 ตัว 3ตรงๆ ไปตระเวนหาล็อตเตอรี่ยังไงก็หาไม่ใด้ บางท่านก็ลืม จนหวยออก ก็ออกเลขที่ท่านเขียนตรง ๆ ทุกตัว
    บางครั้งท่านก็จะพูดบอกใบ้ พูด 2 แง่ 2 ง่าม ใครที่มีโชคก็เขาไปตี
    เป็นเลขไปซื้อหวยถูก หลวงพ่อเคยเปรยว่า....สุดแท้แต่ดวง ไม่ได้ทำบุญมาจะ
    ไปเอาที่ใหน.... เปรียบเสมือนท่านได้แฝงการสอนธรรม ให้หมั่นทำบุญ ทำทานสร้าง
    แต่กรรมดี บางคนบอกถ้าถูกจะทำบุญเท่านั้นเท่านี้ พอถูกจริงก็หายเงียบ รู้อีกทีก็ฉิบหาย ตายโหงตายห่าหมดแล้ว เพราะหรอกพระ ผิดวาจา ใครที่ถูกและนำเงินมาทำบุญก็ถูกเกือบทุกงวด เงินท่านก็นำมาสร้างวัดวาอารามหลายวัดด้วยกัน
    3. ไปประชุม
    มีอยู่ครั้งนึงตาพรลูกศิษย์ท่านได้ขับรถพาหลวงพ่อไปประชุมสงมัที่
    วัดเดิมบางนางบวชเป็นเวลา3 วันระหว่างทางที่ขับผ่านไปยังลานปูน วัดยางนอน
    ท่านก็บอกกับคนตาพรว่าเดี๋ยวขับไปให้ระวังจะมีรถวิ่ง ตัดหน้า. ศิษย์ท่านก็คิด
    ในใจว่าลางปูนแบบนี้จะมีรถมาวิ่งตัดหน้าได้ยังไง ...??? แต่ก็พยายามขับช้า ๆ
    อย่างระมัดระวัง ขับรถไปได้ซักพักนึงก็มีรถมอเตอร์ไซด์ขับมาล้มขวางหน้ารถ
    จริง ๆ อย่างที่หลวงพ่อเตี้ย ท่านได้บอกไว้ .
    ในระหว่างนั่งรถไปท่านก็กำชับ ตาพรว่าถ้าท่านไปห้ามทักและพูด
    ถึงชื่อท่าน ให้ไปนั่งเฉย ๆไปประชุมอยู่ 3 วันจนวันสุดท้าย ตาพรก็สงสัยว่า
    ทำไม่มีใครมาทักหลวงพ่อเลย พอซักพักมีพระที่มาประชุมรู้จักกับตาพรคนขับรถ
    เดินมาถามว่าตาพรแกมากับใคร ด้วยความซื่อตาพรเลยชี้มือไปทางหลวงพ่อ
    และบอกว่ามากับหลวงพ่อเตี้ย หลวงพ่อท่านก็ดุตาพรว่าจะฆ่าข้าหรือยังไง....!
    เพราะท่านสั่งไว้ห้ามบอกใคร พระที่มาประชุมอยู่ในเหตุการณ์ต่างก็มากราบ
    หลวงพ่อเตี้ย เป็นการใหญ่.
    4. จำวัตรแค่ยามเดียว
    ลูกศิษย์หลายๆท่านได้เล่าให้ฟังว่าปกติ หลวงพ่อเตี้ย ท่านจะจำวัตรแค่
    ยามเดียว (ชั่วโมงครึ่ง) ท่านบอกว่าเพื่อไม่ให้เกิดกิเลส ท่านก็จะใช้เวลานั่ง
    สมาธิภาวนาของท่านไปไม่ว่าจะเป็นร้อย ๆพัน ๆเที่ยว ทำอยู่อย่างนั้นทั้งวันถ้าไม่ได้
    รับแขก หรือติดกิจนิมนต์หรือ อาพาธ ใด ๆ มีอยู่ครั้งนึงตาเลียง ตาถินและ
    ตาเปลี้อง ได้ไปนอนเฝ้า หลวงพ่อท่านที่กุฏิ หลวงพ่อท่านก็นั่งสมาธิอยู่ทั้งตลอดคืน
    ขณะนั้นตาเลียง กำลังลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ พลันเหลียวไปเห็นหลวงพ่อเตี้ย
    ท่านนั่งสมาธิ สูงลอยขึ้นไม่ติดพื้น ก็เลยหันไปสะกิดตาเปลื้องจะให้ดูแต่พอ
    หันมาดูหลวงพ่อกลับหายไปแล้ว พอตาเลียงกลับมาจากห้องน้ำก็เห็นหลวงพ่อเตี้ย
    ท่านนั่งสมาธิอยู่เหมือนเดิม
    5. ย่นระยะทาง (พี่เชียร หลานหลวงพ่อเล่าให้ฟัง)
    ครั้งนึงมี คนวัดใหม่ มานิมนต์ ไปฉันเพลที่บ้านงาน โดยขี้จักรยาน
    มารับท่าน ท่านก็บอกไปเถอะเดี๋ยวตามไป พอคนที่มานิมนต์ขี่รถจักรยานไปถึง
    บ้านงานก็มีคนบอกว่าหลวงพ่อเตี้ยท่านมาถึงอยู่บนบ้านแล้ว...
    เรื่องลักษณะนี้หลานแท้ๆของท่านที่อยู่จังหวัดระยองเคยเล่าให้ฟัง
    เหมือนกันว่า สมัยก่อนที่ท่านไปเยี่ยม พี่สาวของท่านที่ระยอง ท่านเดินเท้า
    จากวัดกระแสบน ไปตลาดสามย่าน ระยะทางประมาณ 5-6 กม.ไป
    ถึงก่อน พวกที่ขับรถตามไปชะอีก
    6. น้ำมันหมด
    ยายชั๊ว คนแสวงหา ขับรถมาหาหลวงพ่อที่วัด พอดีน้ำมันหมดกลับ
    ไม่ได้ หลวงพ่อเลยใช้กระบวยตักน้ำในคลยงหน้าวัดใส่เติมแทนน้ำมันให้ขับกลับไป
    เรื่องที่หลวงพ่อใช้น้ำเติมแทนน้ำมันนี้ เป็นที่กล่าวขานกันในหมู่ลูกศิษย์มา
    นานแล้ว
    7. หยั่งรู้จิตใจ
    ศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อท่านหนึ่งที่นับถือหลวงพ่อเตี้ยมาก ได้เล่าเรื่องที่
    ประสบกับตัวเองให้ฟังเรื่อง ว่าครั้งนึงได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับอาจารย์ฝั้น ว่าท่าน
    ออกบิณฑบาตมีลูกวัดเดินตามหลังมาด้วย ชักพักท่านก็บอกให้หยุด และท่านก็
    แบมือออกมา นกก็บินลงมาอยู่บนมือ ของท่านอาจารย์ฝั้น
    พอมาวันหนึ่งมีโอกาสมาหาหลวงพ่อเตี้ยที่วัดสามเอก ก็มาพบท่าน
    อยู่หน้ากรงนกโพราดกที่เลี้ยงไว้ในวัด ท่านก็เปิดกรงเอามือแหย่ เข้าไป นกก็บิน
    มาเกาะบนฝ่ามือท่านและก็จิก จิ๊ก ๆๆในมือของท่าน ซักพักนกก็หลับผลอย
    อยู่ในมือ หลวงพ่อเตี้ยท่านก็ยื่นมือมาให้ลูกศิษย์ ท่านดู แล้วก็หัวเราะฮึ ๆ
    พอยื่นมือกลับเข้าไปในกรงนกก็รู้สึกตัว..... เหมือนท่านจะรู้วาระจิตของถูกศิษย์
    ที่คิดและได้อ่านหนังสือของท่านอาจารย์ขึ้นมา
    อีกครั้งหนึ่งขณะที่หลวงพ่อท่านเดินตรวจตราบริเวณวัดอยู่ ลูกศิษย์
    ท่านนี้ได้พาเด็กหนุ่มรุ่นๆมาหาหลวงพ่อ ที่วัดสามเอก พอเด็กหนุ่มนั้นเห็น
    หลวงพ่อเดินอยู่ ก็ยืนจ้องมองในใจก็คิดว่าพระอะไรมาใส่มาห้อยเครื่องราง
    เต็มตัวไปหมด ทำตัวแปถกๆ พอท่านเดินขึ้นไปที่ศาลาพอล้างเท้าเสร็จนั่งปุ๊บ
    ท่านก็บอกว่า กูไม่ใช่ พ่อใช่แม่มึง ใครจะนับถือก็นับถือ ไม่นับถือก็อย่านับถือ
    ไอ้มึงทำตัวเป็นทรง ห่มผ้า.......ฯลฯ พอกราบลา หลวงพ่อลงมาจากศาลาเสร็จ
    เด็กหนุ่มก็บอกว่าที่ท่านบอกนี่ผมคนเดียวเลย ....
    8. ฝืนดวง
    ผมได้พบอาจารย์ท่านหนึ่งในอ.สรรค์บุรี (ขอสงวนนาม) ที่นับถือ
    หลวงพ่อเตี้ยได้เล่าเรื่องของท่านให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งท่าน มีความจำเป็นต้องใช้
    เงินก้อนใหญ่เคยไปให้หลวงพ่อท่านช่วย เรื่องที่ธนาคาร ให้ไปวางเงินจำนวน 4
    หมื่นบาท พรุ่งนี้ก่อน 4 โมงเย็น อาจารย์จึงตัดสินใจไปหาหลวงพ่อในวันคืน
    นั้นโดยถือหนังสือมวยไปด้วยเล่มนึง คืนนั้นหลวงพ่อจึงทำพิธีให้โดยอาจารย์
    ท่านบอกว่าท่านนั่งทำพิธีอยู่ในกุฏินาน 3-4 ชม. เลยที่เดียว อาจารย์ท่านบอก
    นั่งรอหลับแล้วหลับอีก ปกติถ้าไปขอให้ท่านช่วยท่านหลับตาแป็ปเดียว คืนนั้น
    หลวงพ่อบอกมวยให้อาจารย์ท่าน 4 คูโดยไปที่สนามมวยลุมพินี่ ท่านยังกำชับ
    อีกว่าคู่ก่อนเวลาอย่าไปเล่นมันเลยบอกว่าคู่นี้ ๆ เป่า(ปี)ไม่เกิน 3- 4 รู...
    ก็เป็นจริงตามนั้นพอกรรมการตีระฆัง เป๊ง...ยกที่ 1 อีกฝ่ายก็โดนต่อยน็อคทันที
    และมวย 4 คู่ ที่หลวงพ่อบอกไปนั้น ไม่ผิดเลยซักคู่ได้เงินมา 5 หมื่นกว่าบาท
    เซียนมวยนั้นวิ่งมาหากันทั้งสนาม ว่าเป็นเชียนมวยมาจากไหน รู้ได้อย่างไร...
    อาจารย์บอกว่าถ้าผิดคู่เดียวนี่กลับตัวเปล่าเลย
    9. อิรัก
    อาจารย์ท่านเล่าให้ฟังอีกเรื่องหนึ่งว่า ตาเสริฐ คนสรรค์บุรี ไปถามหลวงพ่อ
    ว่าข่าวตอนนี้ที่ประเทศอีรักรบกันจัง ( สงครามอีรักปี 2534 ) มันรบกันรุนแรง
    ขนาดไหน หลวงพ่อท่านเลยบอกว่าอยากรู้หรือไง ให้ตาเสริฐมาก้มดูที่กระโถนนี่
    พอก้มไปดู ก็มีไฟลุกขึ้นมาจากกระโถน ตาเสริฐถึงกับผงะ ร้องเสียงหลง.......
    10. เจิมรถ
    อีกครั้งนึง ท่านอาจารย์ได้ซื้อรถมาใหม่ เลยนำมาให้หลวงพ่อเจิม
    ให้ที่วัดสามเอก พอเจิมเสร็จหลวงพ่อท่าน ก็ขอขับรถ วนหนึ่งรอบ ไม่มีใคร
    เห็นหรือทราบมาก่อนว่าหลวงพ่อท่านขับรถได้.....อาจารย์ท่านบอกว่าพอหลวงพ่อ
    ขับวนมาจอด นี่ใจหายแว็บ เพราะจอดห่างเสา เพียงนิดเดียว และรถคันนี้ตลอด
    เวลาที่ใช้ก็ไม่เคยมีอุบัติเหตุเลยชักครั้งเดียว
    11. คลอดง่าย
    ป้าติ๊ด คนสามเอกได้แต่งงานและไปอยู่กับสามี ต.บ่อกรุ เมื่อครั้ง
    ที่ตั้งท้องจะออกถูกคน ที่ 2 เมื่อใกล้คลอดนั้นอยากให้คลอดง่าย ก็เลยไปกับ
    สามีชีรถจักรยานยนตร์ เอากล้วยน้ำว้าไปให้หลวงพ่อพยุง วัดบัลลังค์ , อ.สามซุก
    (ลูกศิษย์หลวงพ่อมุ่ย) เสกให้ พอไปถึงที่วัดปรากฏว่าหลวงพ่อพยุง ท่านไม่
    อยู่ออกไปฉันเพลบ่ายๆกลับนั่งรอได้สักพักใหญ่ ๆรอไม่ไหวก็เลยตัดสินใจ ไปหา
    หลวงพ่อเตี้ย ที่วัดสามเอก อ.โคกช้าง พอขี่รถลัดจากสามซุกไปถึงวัดสามเอก
    ก็เห็นหลวงพ่อเตี้ยท่านนั่งอยู่บนศาลาจึงตรงขึ้นไปกราบ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร
    หลวงพ่อเตี้ยท่านก็พูดขึ้นว่า...ไปหาอ้ายยุง (หลวงพ่อพยุง) มาแล้วมาหากูทำไม
    ป้าติ๊ดกับสามีบอกว่าอึ้งไปพักนึง ว่าท่านรู้ได้อย่างไร แล้วจึงบอกไปว่าไปหา
    หลวงพ่อพยุง ที่วัดบัลลังค์มาแล้วจริง ๆ แต่ไม่เจอก็เลยมาหาหลวงพ่อที่นี่
    เพื่อให้หลวงพ่อช่วยใกล้คลอดแล้วอยากให้คลอดง่าย หลวงพ่อเตี้ยท่านเลย
    บอกให้เอาตังค์มาบาทนึง(ค่าครู)และน้ำมากะแป๋งนึงพอแฟนป้าติ๊ดไปเอาใน
    ก็อกหลวงพ่อท่านบอกไม่ได้ต้องไปเอาที่กลางวัง (กลางแม่น้ำ หน้าวัด) เพื่อมา
    ทำน้ำมนตํ หลวงพ่อถามว่าเอาปวดไหม ปัาติตบอกว่าไม่เอาปวดขอคลอดง่ายๆ
    .เออกูจะทำให้มึง ป้าติ๊ดถามว่าลูกจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย.....เอมันเหมือน
    แม่ของมัน พอคลอดลูกมาปัาติ๊ตก็ได้ลูกผู้หญิง จริง ๆ ตังที่หลวงพ่อเตี้ยท่านได้
    บอกไว้ แต่เมื่อโตขึ้นค่อนข้างดื้อ ปัาติ๊ตได้มาขอให้เป็นลูกหลวงพ่อเตี้ย ท่านเคยบอกว่า
    เป็นลูกข้าห้ามตีไม่ว่าจะอย่างไร มันจะเอาตัวรอดได้.
    12. รักษาโรค
    อีกเรื่องนึงที่ป้าติ๊ตได้เล่าให้ฟังคือเมื่อครั้งที่คุณแม่ท่านล้มเป็น
    อัมพาต และพี่สะใภ้เป็นบาดทะยักต้องนอนห้อง ไอชียู นานเป็นเดือนๆ
    พวกญาติพี่น้อง ก็เลยมาให้หลวงพ่อเตี้ยท่านช่วยว่าจะทำอย่างไร หลวงพ่อ
    ท่านก็บอกตัวยามาให้หลายอย่าง มาปั้นเป็นถูกกลอน และบอกให้กินให้
    หมดภายใน 15 วันหลังจากคุณแม่ปัาติ๊ดที่ป่วยเป็นอัมพาต กินยาหมดกี่หายเดิน
    ได้เป็นปกติ ส่วนพี่สะใภ้ นั้นหลวงพ่อท่านบอกว่าให้มันกลับบ้านได้ อยู่มาไม่นาน
    กี่ออกจากรพ.มารักษาตัวที่บ้านจนอาการหายวันหายคืนเป็นปกติจนถึงทุกวันนี้.
    13. กำบังกาย
    อีกเรื่องหนึ่งที่หลวงน้าปิ่นท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนที่หวลงพ่อเตี้ย
    ไปจำวัดอยู่ที่วัดหนองแขม อ.สรรดบุรี จ.ชัยนาท หลวงน้าปิ่นได้ไปหาหลวงพ่อ
    ที่กุฏิ พอไปถึงหน้ากุฏิก็ร้องเรียกว่าหลวงพ่ออยู่ไหม หลวงพ่อก็ตอบรับว่า " เออ"
    แต่พอเดินขึ้นไปหาบนกุฏิ เปิดห้องเข้าไปหายังไง ก็ไม่พบ เลยเดินลงมาดูรอบ ๆ
    กุฏิอีกครั้งพร้อมกับร้องเรียกหลวงพ่อ ก็ได้ยินเสียงตอบรับอีก คราวนี้จึงเดินขึ้น
    ไปบนกุฏิอิกครั้งก็เห็นหลวงพ่อท่านนั่งอยู่แล้ว.
    อีกเหตุการณ์หนึ่งที่คล้ายกัน ย้อนไปเมื่อปี พศ.2544 สมัยศิษย์ท่านนี้
    เป็นเด็กวัดและยังเรียนอยู่ขณะที่กลับจากโรงเรียน วันนั้นเห็นหลวงพ่อยืนอยู่ข้าง
    กุฏิ เพียงองค์เดียวกำลังกดน้ำดื่มใส่แก้ว ขณะที่ก้มกำลังถอดรองเท้าถุงเท้า
    จะเข้าไปกราบท่าน พอเงยหน้าขึ้นมาอิกที่ก็ไม่เห็นหลวงพ่อแล้ว จึงเดินเอา
    ของเข้าไปเก็บไว้ในห้อง พอเตินออกมาจากห้องก็เห็นหลวงพ่อยืนอยู่ตรงที่เติมและ
    ท่านก็ได้พูดขึ้นว่า มึงมองหากูอยู่ชิ มึงมันตาไม่ดีกูยืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่มึงกลับมา
    จากโรงเรียนแล้ว ไม่ได้เดินไปไหน พูดพลางๆท่านก็ยิ้ม ๆ
    ศิษย์ท่านนี้ยังงง... อยู่เลยไม่ทันได้พูดเหมือนท่านจะรู้ว่าคิดอะไร ท่านเลย
    บอกว่าที่เห็นน่ะไม่ใด้ตาฝาด ท่านจงใจทำให้เห็น ....!! ท่านยังบอกอีกว่ามีบุญ
    แค่ไหนที่ได้เห็นการกำบังกายของท่าน บางคนอยากเห็นยังไม่ได้เห็นเลย.
    14. เกศาหลวงพ่อ
    ป้าส่ง คนสามเอก ปัจจุบันอายุ 70 กว่าปี นับถือหลวงพ่อเตี้ยมาก
    สมัยก่อนที่หลวงพ่อจะมาจำพรรษาที่วัดสามเอก ท่านแวะมาเที่ยวบ้านญาติ
    และกำลังปลงผมอยู่ที่วัดสามเอก ป้าส่งบอกว่าไม่เคยรู้จักหลวงพ่อมาก่อนไม่รู้
    อะไรดลใจเดินผ่านไป เลยขอเกศาหลวงพ่อเตี้ยท่านไว้เลี่ยมติดตัว บอกให้ช่วย
    คุ้มครอง และเลี่ยมคล้องคอติดตัวมากว่า 50 ปีแล้ว ไม่ค่อยได้ห้อยพระ
    ครั้งหนึ่งตอนไปทำงานก่อสร้างอยู่แถวพระโขนงขณะไฟแดงเดินข้ามถนน
    กำลังก้าวขาจะขึ้นฟุตบาทก็มีรถจากไหนไม่รู้วิ่งมาชน กระเด็นขึ้นฟุตบาทไปเลย
    ไปไกลพอสมควร ตำรวจที่อยู่หน้าร้านขายทองฝั่งตรงข้ามก็วิ่งมาดู นึกว่าตาย
    พอมาดูถามว่าเป็นอะไรบ้างแขนขาหัก หัวแตกไหมปรากฏว่ามีรอยถลอกแค่
    ตรงแขนและหัวเข่าเท่านั้น พวกอู่รถยนต์ที่อยู่ใกล้เหตุการณ์ก็ช่วยกันจับตัว
    คนขับไว้บอกว่ามายังไงเขากำลังเดินขึ้นฟุตบาทดันวิ่งมาชน
    อีกครั้งนึงหลวงพ่อได้นำเหรียญลพ.ฉาย วัดพระแก้ว มาแจกจึง
    ห่อผ้าติดตัวเอาเข็มกลัดติดไว้กับเสื้อใน ขณะที่ไปทำงานก่อสร้างที่กรุงเทพ-ฯ
    เกิดไปทำห่อผ้าหาย หาอย่างไรก็ไม่เจอนั่งร้องไห้เสียใจ พอกลับมาบ้านที่
    สามเอก หลวงพ่อเตี้ยท่านก็มาทักว่าเป็นยังไงเหรียญลพ.ฉาย หายแล้วซิท่า
    แหม..ห่อผ้าไว้อย่างดี นั่งร้องไห้เลย ข้าให้แล้วแกไปทำหาย แกทำไม่ดีข้าไม่
    ให้แล้วอยู่ที่ข้านี่..!! แล้วป้าส่งบอกว่าหลวงพ่อเตี้ยท่านก็หยิบห่อผ้าขึ้นมาให้ดู
    ป้าส่งบอกว่าก็ใช่ห่อผ้าของแกจริง ๆ.
    15. ย้ายไปยังไง
    พี่ไหม คนสามเอกเล่าให้ฟังว่า ขณะนั้นที่วัดจะจัดงานมี โอ่งแดง
    ใบใหญ่ ๆอยู่ 2 โอ่ง น้ำเต็มปริบ หลวงพ่อบอกให้ช่วยกันย้ายไปหน่อยมันเกะกะ
    พี่ไหมก็บอกหลวงพ่อจะย้ายกันได้ยังไงไหวมีผู้หญิงอยู่ 3-4 คน หลวงพ่อ
    ก็บวกว่าแกไม่มีน้ำยา หลังจากไปช่วยจัดของและตามคนมาช่วยจะย้ายโอ่ง
    ปรากฏว่าหลวงพ่อย้ายโองไปให้เรียบร้อยแล้ว โดยไม่มีใครเห็นเลยว่า
    ไปได้อย่างไรน้ำก็ยังเต็มโอ่งอยู่เหมือนเดิม.
    อีกครั้งเครื่องปั่นไฟขนาด 10 คนหามเห็นจะได้ หลวงพ่อบอกเมื่อไหร่
    จะย้ายกันซักที ขณะนั้นหลวงพ่อกำลังฉันเพลอยู่ ตอนนั้นมีคนอยู่ 5-6 คน
    พยายามยกกันยังไงก็ไม่เขยื้อน พอหลวงพ่อฉันเพลเสร็จ พวกนั้นเลยขอตัว
    ไปหาข้าวกลางวันกินเอาแรง แล้วจะกลับมายก พอกลับมาอีกครั้งเครื่องปั่นไฟ
    ก็ย้ายไปแล้ว ซึ่งตอนย้ายนั้นก็ไม่มีผู้ใดเห็นเช่นกัน.
    16. เหรียญพระพุทธชินราช ( ลพ.โต)
    เคยตกเป็นข่าวใหญ่หน้า 1 ของนสพ.หลายฉบับ ที่เมาแล้วขับซิ่ง
    ชนทัายรถบรรทุกอ้อย เสียชีวิต 4 ศพ สภาพรถยุบ เสียหายทั้งคัน แต่ว่ามีรอดชีวิต
    อยู่ 1 คน ชื่อ นาย สายชล ศรีสุข อยู่บ้านเลขที่ 54 ม.1 ต.โคกช้าง อ.เดิมบางนางบวช
    จ.สุพรรณบุรี ได้เล่าให้ฟังว่าหลังจากไปนั่งดื่มสุรากลับจากร้านคาราโอเกะ ทุกคน
    มีอาการมึนเมาตนนั่งอยู่เบาะหลัง อยู่ในอาการมึนเมา หลับมาตลอดทาง กระทั่ง
    ตกใจตื่นตอนได้ยินเสียงดังโครม ตื่นมาด้วยอาการมึนงง พยายามเรียกเพื่อนทั้ง
    4 คนที่นั่งมาด้วยกัน เห็นว่ามีเลือดไหล คิดว่าคงเสียชีวิตกันหมด ด้วยความตกใจ
    จึงออกจากรถไปนั่งในป่าด้วยความมึนงงและตกใจคิดอะไรไม่ออก จนเจ้าหน้าที่
    มูลนิธิมาช่วยนำตัวส่งรพ.ห้วยคต ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ในตัวห้อยเพียง
    เหรียญพระพุทธชินราช ( ลพ.โต) วัดสามเอก เพียงเหรียญเดียว.
    17. ประสบการณ์ตอนบวชเณร
    ศิษย์ใกล้ชิดท่านนี้สมัยก่อนเคยบวชเป็นเณรอยู่ที่วัดสามเอก
    นับถือหลวงพ่อเตี้ย มากมีประสบการณ์เกี่ยวกับวัตถุมงคลช่วยให้รอดชีวิต
    และได้พบเห็นอภินิหารต่าง ๆ หลายครั้ง ครั้งนึงสมัยบวชเป็นเณร กับเพื่อน ๆ
    หลวงพ่อได้ถามว่าอยากเห็นจระเข้ไหม จึงตอบไปว่าอยากเห็นครับ หลวงพ่อ
    บอกว่าถ้าอยากเห็นให้เดินไปดูที่ท่าน้ำชิ พอเดิน ไปดูก็พบจระเข้ 5-6 ตัว
    ลอยอยู่กลางวังน้ำ ผุตขึ้นผุดลง ถึงกับขนลุกซู่ หลังจากนั้นอีกประมาณ 1-2 อาทิตย์
    ท่านได้พูดขึ้นมาอิกว่า ท่านสามารถเรียกจระเข้ขึ้นมาได้ มึงเชื่อกูไหม แล้วท่าน
    ก็พาไปที่ท่าน้ำ คราวนี้มีจระเข้ตัวใหญ่มากๆ ขนาดถัง 200 ลิตร ตามลำตัว
    ออกสีน้ำตาดแดง ท่านบอกว่านี่แหละเจ้าของวังเขาอยู่มาประมาณ 200 ปี แล้ว
    จระเข้ตนนี้สามารถแปลงกายเป็นคนได้แต่ท่านเคยพบเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
    ตอนมานั่งสมาธิที่กุฏิชายน้ำ ท่านบอกว่าเป็นคนนุ่งขาวห่มขาวหนวดเคราสีขาว
    ดวงตาสีแดงแต่ไม่สามารถพูดได้ดูผิวเผินเหมือนคนทุกประการ แต่ถ้าใครได้
    พบเห็นแถะเข้าไป ใกล้จะเสียชีวิตเพระถูกดูดวิญญาณไป.
    อีกครั้งนึงช่วงสงกรานต์ เตือนเมษายน ปี 2540 เป็นวันที่ลูกศิษย์
    ทุกสารทิศจะมาสรงน้ำหลวงพ่อเป็นประจำทุกปี ขณะนั้นมีสามเณรบวช
    ภาคฤดูร้อนอยู่ราว 13-15 องค์ พอลูกศิษย์ลูกหาสรงน้ำเสร็จขณะท่านจะเดิน
    ขึ้นบนศาลาหอสวดมนต์ สามเณร องค์นึงได้มาสะกิดให้ดูและพูดขึ้นว่า
    เณรดูหลวงพ่อซิ เดินขึ้นมาทำไมไม่มีรอยเท้าที่เปียกน้ำเลย ด้วยความสงสัยสามเณร
    ก็นั่งดูว่าหลวงพ่อเช็ดเท้าหรือเปล่าก็ไม่เห็น พอท่านเดินไป 3-4 ก้าวก็ได้
    ก้มลงนอนราบกับพื้น ดู จึงได้เห็นว่าเท้าหลวงพ่อไม่ติดพื้น สามเณรที่เห็นต่าง
    ร้องพร้อมกันว่าอู้ ฮู้ ๆ
    18. ความเมตตาต่อศิษย์
    ด้วยชื่อเสียงของหลวงพ่อเตี้ยในด้านต่างๆ จึงทำให้มีบรรดาศิษย์
    ยานุศิษย์ สาธุชนจากที่ต่าง ๆมาหาท่านอยู่สม่ำเสมอ ท่านต้องนั่งต้อนรับแขก
    ช่วยเหลือในเรื่องเดือดร้อนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดดึกตื่น เที่ยงคืน ท่านก็
    ออกมาต้อนรับอย่างไม่เคยบ่น จนสุขภาพท่านทรุดโทรม บางคนมาหาท่าน
    ไม่มีเงินกลับบ้าน ท่านก็ให้เงินกลับไป ใครเอาของมาขายอะไรท่านก็ช่วยซื้อไว้
    คนมาขอหวยท่านยังให้เงินไปซื้อก็ยังมี ใครถวายปัจจัยท่านไม่เคยสนใจ บางครั้ง
    ลูกศิษย์จะแกะซองมานับท่านก็บอกได้หมดว่าในซองมีปัจจัยเท่าไหร่ ไม่ต้องไปแกะ
    แล้วท่านก็ลุกไปวางปัจจัยไว้ตามพรม ตามพื้นอย่างนั้น.
    19. รู้ได้ยังไง
    พี่แว่น เมื่อก่อนเคยเปิดแผงพระอยู่แถวสะพานควาย เป็นผู้แนะนำ
    ให้ผมได้รู้จัก กับหลวงพ่อเตี้ยได้เล่าว่าเมื่อก่อนเป็นคนที่สนใจด้านวัตถุมงคล
    รู้ว่าที่ไหนมีของตีก็จะไปหาไว้บูชาเคยเดินทางไปหาลพ.เตี้ย ที่วัดสามเอก
    โดยครั้งแรกนั้นเหมารถมอเตอร์ไซต์รับจ้างจาก อ.เดิมบางฯ นั่งฝุ่นตลบไปที่วัด
    สามเอกแต่ไม่พบหลวงพ่อ จึงได้กลับและได้มาหาหลวงพ่ออีกครั้งนึง คราวนี้
    ไห้พบกับหลวงพ่อเตี้ยท่าน แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร หลวงพ่อท่านก็เปรยว่า ครั้งที่
    แล้วมา เราไม่ได้พบกันน่ะ....พี่เขาถึงกับอึ้งไปเลย.
    เรื่องรู้เหตุการณ์ล่วงหน้านี้ คนที่รู้จักและใกลัชิดหลวงพ่อ
    หลายๆ ท่านเล่าให้ฟังเสมอๆ ไม่ว่าใครจะไปจะมา นั่งรถสีอะไร มากี่คน
    ผู้หญิงหรือผู้ชายมาหาท่านด้วยเรื่องอะไร ท่านสามารถบอกล่วงหน้าได้อย่าง
    แม่นยำ.
    20. ปาฏิหารย์ รูปหล่อวัดกุฏิ์ทอง
    เป็นประสบการณ์ ของลูกศิษย์ท่านหนึ่งที่หลวงพ่อท่านส่งเสียให้
    เรียนหนังสือมาตั้งแต่เต็กๆ อยู่ใกล้ชิดกับหลวงพ่อท่านมาตั้งแต่อายุ 10 ชวบ
    จนปัจจุบันนี้อายุ 25 ปีแล้ว เคยพบเห็นและมีประสบการณ์ช่วยให้รอดชีวิต
    มาหลายต่อหลายครั้ง ครอบครัวนับถือหลวงพ่อเตี้ยมาก ได้เล่าเหตุการณ์
    ครั้งหนึ่งที่รอดตายอย่างปาฏิหารย์ ว่าเมื่อวันที่ 3 ธค.52 ประมาณ 21.00 น.
    ขณะกำลังขับรถจักยานยนต์กลับจากเรียนหนังสือกับกลุ่มเพื่อน ๆ ด้วยความเร็ว
    80-100 กม./ชม.ช่วงทางโค้งหักศอก ลงสะพานวัดเดิมบาง ซึ่งไม่มีไฟทางและ
    มืดมาก ได้ขับประสานงากับรถกระบะ ที่กำลังเลี้ยวโค้งมาอย่างจัง บอกว่า
    เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก รู้ตัวเองว่าลอยกระเด็นข้ามรถกระบะ ตกลงกระแทก
    พื้นแขนด้านซ้ายไปฟาดกับพื้นถนนอย่างแรงจนสายนาฬิกาขาดกระเด็น
    เจ็บและจุกไปหมดไม่สามารถขยับตัวได้เลย ตอนนั้นก็ไม่ได้ใส่หมวกกันน็อคเลย
    สภาพรถจักยานยนต์ขาดครึ่งล้อพับ สภาพยับเยินจนไม่สามารถซ่อมได้อีก
    ใครมาเห็นสภาพของรถก็ต้องบอกไม่รอด....!!
    ในตัวตอนนั้นหัอยรูปหล่อหลวงพ่อเตี้ย วัดกุฎีทอง เนื้อเงิน เพียง
    องค์เดียว เพื่อนๆ ที่ขับรถตามมาช่วยกันอุ้มไปส่งโรงพยาบาลเดิมบางนางบวช
    ในตัวไม่มีแผลแม้แต่นิดเดียว ต้องนอนอยู่โรงพยาบาล 3 คืน จากการเอ็กชเรย์
    ถึง 3 ครั้งพบเพียงกระดูกที่ขัดมือซ้ายแตก (ไปฟาดกับพื้นถนน) พักฟื้นเพียง
    ไม่นานก็หายเป็นปกติมาจนทุกวันนี้.
    แหลงอ้างอิง
    1.หนังสืออนุสรณ์มรณภาพ ครบรอบ 5ปี
    2.“จากคำบอกเล่าหลวงพ่อสมศักดิ์ และ ชาวบ้านวัดสามเอก”
    21.หลังจากที่ท่านได้กลับธุดงค์ ประมาณปี พศ. 2515 ท่านที่ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดหนองแขม และวัดโพธิ์งาม ในสมัยที่จำพรรษาที่วัดโพธิ์งามนี้ ลุงวิเชียรคนบ้านโพงามสมัยก่อนเคยบวชอยู่
    ด้วยกันเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อเตี้ยนี้เป็นพระที่ชอบเรื่องวิชาคาถา อาคม มีครั้งหนึ่ง
    เคยลองให้ท่านดูเห็นมากับตาว่าหลวงพ่อเตี้ยท่านดึงเนื้อบริเวณท้องแขนออกมา
    ใช้ตะปูตอกจนติตกับพื้นกระตานพอถอนตะปูออกมาปรากฏว่าไม่มีเลือดชักหยด
    เพียงรอยแดง ๆเท่านั้น เคยมีคนเห็นท่านเอามีดโกนปาดค แต่ไม่มีบาดแผลเลยแม่แต่นิดเดียว
    มีอยู่ช่วงหนึ่งเรื่องราวของวัตถุมงคลที่เป็นกระแส โดยให้ถ่ายคลิป
    และใช้ปืนยิงหากไม่ออก จะได้เงินจำนวนหนึ่ง ไอ้ลูกศิษย์ ก็มาเอาตะกรุดหลวงพ่อเตี้ย ไปลอง เเถมยังเอาปืนหลวงพ่อ ไปยิง ปรากฏว่าตะกรุดขาดกระจุย เงินก็ไม่ได้ แถมโดนสมนํ้าหน้าอีกด้วย
    ลูกศิษย์ใกล้ชิดท่านเล่าให้ฟังว่า...หลวงพ่อเตี้ยท่านมีฉายา ว่าเตี้ยปืนคู่ บางวันท่านก็หยิบปืนขึ้นมายิงขมับท่าน เสียงดังแกร็กๆ สมัยนั้นมีเสือเยอะทางสุพรรณบุรี,สิงห์บุรี,ชัยนาท มีเยอะมาก ออกปล้นกันเป็นว่าเล่น หลวงพ่อเตี้ยท่านเคยท้ามายิงกะท่านแต่ไม่มีใครกล้ายิงกะท่านเลยสักคน
    "มีอยู่วันหนึ่งมีเสือ มาขโมยมาลักของในวัด ทันใดนั้นเสียงใบมะขามหล่นเป็นระนาว เอาอีกแล้ว ท่านอาจารย์เสกพึ่ง ต่อ แตน ไล่ต่อยโจรอีกแล้ว"เสียงฝูงพึ่ง ต่อแตนบินดัง หึ่งๆ พร้อมกับเสียงโจรวิ่งร้องแหกกระเจิง ...
    ปูเม่า แย้มทับ เคยเล่าว่าหลวงพ่อเตี้ยเก่งมาก เคยลองวิชากับหลวงพ่อเตี้ยหลายครั้ง ปู่เม่าหยิบก้อนหินมาบริกรรมคาถา ส่วนหลวงพ่อเตี้ยหยิบก้อนหิน ก้อนใหญ่โยนลงน้ำเสียงดังตูม ก้อนหินก้อนใหญ่ลอยอยู่บนผิวน้า ไม่ได้บริกรรมคาถาเลย ส่วนปูเม่าเมื่อบริกรรมคาถาเสร็จโยนลงก็ลอยเช่นกันแต่ก้อนเล็กกว่าหลวงพ่อเตี้ย
    22.เคยมีคนมาถามหลวงพ่อ(ศิษย์ลพ.เตี้ย) เพราะสงสัยว่าทำไมรูปปั้นหลวงพ่อเฒ่าจึงเหมือนหลวงพ่อเตี้ยมากนัก ที้งๆที่รูปปั้นสร้างขึ้นจากลักษณะตามคำบอกเล่าของคนโบราณ เพราะไม่เคยมีใครเคยเห็นรูปร่างหลวงพ่อเฒ่า(ปั้น)เลย หลวงพ่อจึงบอก หลวงพ่อเตี้ยเคยบอกไว้ แต่มีคนรู้ไม่กี่คน หลวงพ่อ(ศิษย์ลพ.เตี้ย) จึงอธิบายว่า พระที่สำเร็จ ขั้นโสดาบัน จะต้องกลับมาเกิดอีกไม่กี่ชาติหรอก ๓ ชาติ ๕ชาติ หรือ๗ชาติ ตามแต่ว่าตนอยู่ชั้นไหน เช่นโสดาบัน,สกทาคามี,อนาคามี,อรหันต์ เมื่อสำเร็จขั้นสูงจึงจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว การเกิดเป็นเรื่องธรรมดาของการใช้เวรใช้กรรมที่ได้ทำมา และเป็นการสั่งสมบุญบารมี เพราะวิชา คาถาอาคมถึงจะเก่งเพียงใด เหาะเหินเดินอากาศ เสกเป็นนั่นเป็นนี่ได้ ถ้ายึดติดก็ยังไม่หลุดพ้น พวกวิชาคาถาอยู่ในขั้นฌานโลกี คำที่ว่า ฌานหยาบ,ญาณระเอียด ฌานกดอารมณ์ แต่ญาณปล่อยอารมณ์ไปตามวาระ แม้แต่เทพเทวดา ชั้นอินทร์ ชั้นพรหม เมื่อหมดบุญก็ต้องกลับมาเกิดอยู่ดี เพราะยังไม่ดับสูญ เป็นเรื่องอย่างหนึ่ง

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    รูปถ่ายหลวงพ่อเตี้ยวัดสามเอกหลังเกษา ไม่ทันท่านนะครับ แต่ มีเกษาท่าน
    ให้บูชา
    120 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20240422_143403.jpg IMG_20240422_143423.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2024
  10. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,965
    ค่าพลัง:
    +6,875
    ขอจองครับ
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    1713774512119.jpg 1713774494945.jpg
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลรูปภาพที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงพ่อราหุล ออกวัดราหุล พระอาจารย์จรูญสหายธรรมพระอาจารย์ตั้วนำเข้าพิธีสมปรารถนา ปี 2543 หลวงปู่หมุน ปลุกเสก และ ตอก โค๊ต กำกับ ไว้
    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240422_145432.jpg IMG_20240422_145459.jpg
     
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    showimage (1).jpeg
    ชีวประวัติพระครูมงคลนวการ (หลวงพ่อฉาบ มงฺคโล)
    ชาติภูมิ หลวงพ่อฉาบ มงฺคโล มีนามเดิมว่า ฉาบ ด้วงดารา ถือกำเนิดวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2471 เป็นบุตรคนโต ในจำนวนพี่น้อง 7 คนด้วยกันคือ 1. หลวงพ่อฉาบ 2. นายเอิบ 3. นายสังวาล 4. นายประสงค์ 5. นายถวิล 6. นายปุ่น 7. นางสมนึก ของโยมพ่อเน่า และนางสมบุญ ณ บ้านเลขที่ 27 ต.ต้นโพธิ์ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี จบการศึกษาชั้นป.4 ที่โรงเรียนวัดศรีสาคร อาชีพทำนา
    ประวัติเยาว์วัย หลวงพ่อฉาบ มงฺคโล ในวัยเด็กตอนยังเป็นฆาราวาส เป็นคนถือสัจจะเป็นใหญ่มีความตั้งใจพูดจริงทำจริง และสนใจในเวทย์มนต์คาถา มักชอบไปกราบนมัสการหาพระอยู่เสมอ ในปีพ.ศ.2485 หลวงพ่อแช่ม อินทโชโต แห่งวัดตาก้อง อ.เมือง จ.นครปฐม ท่านได้สร้างเหรียญรุ่นแรกของท่านขึ้น ได้แจกให้คณะศิษยานุศิษย์ ทายกทายิกาที่ร่วมทำบุญมาทำการทองกฐินยังวัดศรีสาคร และได้มาพำนักอยู่ที่วัดศรีสาครเป็นเวลาถึง 6 เดือน เพราะท่านชอบพอสนิทกับหลวงพ่อดี เจ้าอาวาสวัดศรีสาครในสมัยนั้น หลวงพ่อฉาบ ในวัยเด็กขณะนั้นอายุได้ 14 ปี มีความศรัทธาเลื่อมใสหลวงพ่อแช่มมาก ได้มากราบนมัสการหลวงพ่อแช่มบ่อยครั้ง และได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์ขอเล่าเรียนวิชาคาถาอาคมต่าง ๆ ในลำดับแรกหลวงพ่อแช่มได้สอนให้เรียนรู้ทางด้านการปฏิบัติจิต สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ให้จิตนิ่งเป็นสมาธิก่อน และหลังจากทำกรรมฐานและวิปัสสนาอยู่ 3 เดือน หลวงพ่อแช่ม ก็ได้สอนวิชาคาถาอาคมต่าง ๆ ให้ ในปีพ.ศ.2486 หลวงพ่อแช่ม ก็ได้กลับไปวัดตาก้อง หลังจากนั้นในปีพ.ศ.2488 หลวงพ่อแช่มได้มาพำนักที่วัดศรีสาครอีกครั้งหนึ่ง เป็นเวลา 25 วัน หลวงพ่อฉาบ ตอนนั้นอายุได้ 17 ปี ได้เข้าพบรับใช้และเล่าเรียนสอบถามวิชาไสยเวทย์พร้อมให้หลวงพ่อแช่มช่วยทบทวนวิชาคาถาที่เล่าเรียนจนสามารถปฏิบัติได้ตามคำสอนอย่างดี แล้วหลวงพ่อแช่มก็เดินทางกลับวัดตาก้อง ต่อมาในปีพ.ศ.2490 หลวงพ่อแช่ม ท่านก็ได้ละสังขารมรณภาพลงในปีนั้น
    อุปสมบท ครั้นเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดศรีสาคร เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2491 โดยมีพระครูเกศิวิกรม (หลวงพ่อทรัพย์ ฐิตปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดสังฆราชาวาส เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ประทุม เจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการฉ่ำ เจ้าอาวาสวัดตึกราชาวาสเป็นพระอนุสาวนาจารย์ อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้วได้รับฉายาว่า มงฺคโล เมื่อได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้วได้ตั้งจิตมั่นได้กล่าวคำสัจจะวาจาบอกกล่าวต่อโยมบิดามารดาของท่านว่า เมื่อฉันได้บวชเรียนเป็นภิกษุแล้วจะขอรับใช้พระพุทธศาสนาตลอดชีวิต โยมพ่อและโยมแม่ก็ไม่ได้ทักทวงแต่ประการใด เมื่ออุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดศรีสาคร 2 พรรษา ได้เรียนพระธรรมวินัยไปศึกษาวิปัสสนากรรมฐานและพุทธาคมจากหลวงพ่อทรัพย์ ฐิตปญฺโญ ซึ่งองค์นี้เป็นศิษย์ของหลวงพ่อพูล (เจ้าอาวาสองค์ก่อน) วัดสังฆราชาวาส ซึ่งเป็นสหายธรรมของหลวงพ่อเชย วัดท่าควาย และหลวงพ่อเภา วัดถ้ำตะโก เหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อพูล วัดสังฆราชาวาสเป็นเหรียญยอดนิยมของชาวเมืองสิงห์บุรีมีค่านิยมหลักหมื่น ถือว่าเป็นสุดยอดเหรียญที่ศักดิ์สิทธิ์และคงกระพัน หลังจากหลวงพ่อฉาบได้ศึกษาวิชาจากหลวงพ่อทรัพย์แล้ว ก็ได้ปรึกษาหลวงพ่อทรัพย์ในการปฏิบัติกิจแห่งธุดงค์วัตร ก็ได้รับการแนะนำสั่งสอนอย่างดีโดยคุณ ekamulet99 (379)สมาชิกที่ผ่านการรับรองบุคคลแล้ว 180.180.94.189 [ส. 07 ก.ย. 2556 - 16:45 น.] #2988414 (2/29)
    (N)
    ธุดงค์วัตร ในปีพ.ศ.2493 โดยมุ่งสู่จังหวัดลพบุรีดินแดนซึ่งเคยเป็นอาณาจักร ลวปุระ (ละโว) อันรุ่งเรืองเกรียงไกรมาแล้ว หลวงพ่อฉาบได้เดินธุดงค์ไปยังถ้ำตะโก เพื่อจะไปหาความสงบวิเวก เมื่อถึงถ้ำตะโกมาทราบว่าหลวงพ่อเภา วัดถ้ำตะโกพุทธโสภา ท่านได้ละสังขารมรณภาพไปแล้ว ก็ได้พบกับหลวงพ่อคง คงคปัญโญ เจ้าอาวาสวัดถ้ำตะโก ศิษย์เอกหลวงพ่อเภา ซึ่งได้รับสืบทอดวิชาวิปัสสนากรรมฐานและไสยเวทย์ต่าง ๆจากหลวงพ่อเภาทั้งหมด หลวงพ่อฉาบจึงได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิชาต่าง ๆ ของหลวงพ่อเภา วัดถ้ำตะโก จากหลวงพ่อคง คงฺคปัญโญ เจ้าอาวาสวัดถ้ำตะโกพุทธโสภา จากนั้นหลวงพ่อฉาบก็เดินทางมุ่งไปสู่วัดเขาสาริกา เพื่อจะไปศึกษาธรรมกรรมฐานจากหลวงพ่อกบ ก็ปรากฏว่าได้มรณภาพไปแล้วเช่นกัน จึงได้มาปฏิบัติธรรมที่วัดเขาวงกฎ วัดเขาวงกฎอยู่ติดกับวัดเขาสาริกาอยู่คนละฝางเขาที่วัดเขาวงกฎแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่เขาสนามแจง ต.สนามแจง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี เป็นวัดที่ตั้งอยู่ในวงล้อมของเขา เป็นลักษณะหุบเขาเปิด มีทางเข้าออกทางเดียว เมื่อปี พ.ศ.2465 หลวงพ่อเภา พุทธสโร วัดถ้ำตะโกธุดงค์มาพบสถานที่แห่งนี้เข้าเห็นว่าเหมาะแก่การอบรมสมถกรรมฐานและเจริญวิปัสสนากรรมฐานมาก จึงได้ทำการก่อสร้างให้เป็นวัดโดยสมบูรณ์แบบ มีถ้ำคูหาสวรรค์อยู่ที่เชิงเขาด้านทิศเหนือ ซึ่งหลวงพ่อเภาจะจำพรรษาและทำความเพียรในถ้ำคูหาสวรรค์แห่งนี้ ต่อมากรมพระนครสวรรค์ พระองค์เจ้าบริพัตร สุขุมพันธ์เสด็จมาที่เขาวงกฎได้พบหลวงพ่อเภา ทรงเลื่อมใสในปฏิปทาและแนวทางในการปฏิบัติของหลวงพ่อ จึงได้ถวายปัจจัยให้ก่อสร้างวัด หลวงพ่อเภาได้สร้างกุฏิขึ้นหน้าถ้ำคูหาสวรรค์ให้ชื่อว่า ตึกบริพัตร ตามนามของผู้บริจาค และหลวงพ่อเภาได้มาจำพรรษาที่กุฏินี้ตลอดมา หลังจากหลวงพ่อเภาได้มรณภาพในปีพ.ศ.2474 ที่วัดแห่งนี้ในปีหนึ่งจะมีพระสงฆ์มาจากวัดต่าง ๆ ทุกภูมิภาคมาปฏิบัติธรรมที่วัดเขาวงกฎแห่งนี้ หลวงพ่อฉาบได้มาปฏิบัติธรรมได้พบกับ พระมหาชวน มลิพันธ์ (หลวงพ่อโอภาสี) หลวงพ่อฉาบ ได้พบหลวงพ่อโอภาสี เล่าเรื่องมีความศรัทธาหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา แต่มารู้ภายหลังว่าท่านได้มรณภาพไปแล้วด้วยความตั้งใจมุ่งหวังจะศึกษาวิชาต่าง ๆ จากท่าน ก็ได้รับคำแนะนำจากหลวงพ่อโอภาสี ซึ่งเป็นศิษย์ที่รับการถ่ายทอดวิชามาจากหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา หลวงพ่อฉาบจึงขอฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อโอภาสี ขอศึกษาวิชากสิณต่าง ๆ และไสยเวทย์ หลวงพ่อโอภาสี ได้ฝึกสอนวิชาต่าง ๆ ให้เช่นกสิณไฟ และคาถาอาคมต่าง ๆ ให้หลวงพ่อฉาบจำนวนมากและยังได้ชักชวนนิมนต์ให้หลวงพ่อฉาบเดินทางไปพบท่านที่อาศมบางมดกรุงเทพ ในครั้งนั้นที่วัดเขาวงกฎหลวงพ่อฉาบยังได้พบปะรู้จักเป็นสหายธรรมกับหลวงพ่อชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี ก็ได้เดินทางมาปฏิบัติธรรมที่วัดเขาวงกฎแห่งนี้ด้วย ได้ปฏิบัติธรรมร่วมกันได้ขอศึกษาแลกเปลี่ยนวิชาไสยเวทย์ต่าง ๆ กับหลวงพ่อชา สุภัทโท หลวงพ่อชาเกิดปีพ.ศ.2471 ปีเดียวกับหลวงพ่อฉาบ มงฺคโล หลวงพ่อชาท่านได้ละสังขารไปแล้วเมื่อปีพ.ศ.2536 ร่วมสิริอายุได้ 65 ปี หลวงพ่อฉาบอยู่ปฏิบัติธรรมเป็นเวลา 45 วัน ก็ได้เดินทางกลับไปยังวัดถ้ำตะโกอีกครั้งหนึ่ง ได้พำนักอยู่ที่วัดถ้ำตะโกพบปะใกล้ชิดกับหลวงพ่อคงอีกครั้งก็มาศึกษาพบว่าที่วัดถ้ำตะโกแห่งนี้อยู่ในบริเวณดอยเขาเทือกเขาเดียวกับวัดต่าง ๆ อีกถึง 3 วัดรวมดอยนี้มีวัดถึง 4 วัด คือ วัดเขาสมอคอน วัดถ้ำช้างเผือก วัดถ้ำตะโก วัดบันไดสามแสน ในอดีตตั้งแต่ยุคสมัยทวาราวดีเป็นต้นมา ดอยเทือกเขานี้มีความสำคัญมากมีถ้ำใหญ่น้อยเป็นร้อย ๆ ถ้ำ เป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีล สมณะ ฤาษี พราหมณ์ เป็นแห่งกำเนิดของวิชาไสยเวทย์มนต์คาถาแหล่งรวมวิชาไสยศาสตร์ เช่นวิชาขอมดำดิน ก็ก่อเกิดในที่แห่งนี้เป็นตรรกศิลาแห่งไสยศาสตร์และเวทย์มนต์ วัดเขาสมอคอนเป็นวัดอยู่ต้นดอย มีถ้ำพระนอนและที่พำนักของฤาษีสุกกะทันตะและ ถ้ำพราหมณี พ่อขุนรามคำแหงมหาราช กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยก็มาศึกษาที่แห่งนี้ นับว่าเป็นแหล่งรวมศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ หลวงพ่อฉาบ ก็ได้เดินทางมาที่วัดเขาสมอคอน เข้ากราบนมัสการฝากตัวขอเป็นศิษย์เล่าเรียนวิชาจากหลวงพ่อบุญมี อิสสโร ศิษย์ผู้รับการสืบทอดวิชาไสยเวทย์จากหลวงพ่อพระครูอุปัชฌาย์ก๋ง จฺนทสโร พระอุปัชฌาย์ก๋ง มีวิชาไสยเวทย์มากมายได้จากตำราเก่า อักขระยุคขอม ท่านเก่งมากเหรียญรุ่นแรกของท่านชาวลพบุรีเล่นหากันหลักแสน จะขอย้อนกล่าวถึงความเป็นมาของเทือกเขาสมอคอน ที่เป็นที่ตั้งของวัดเขาสมอคอนอยู่บนดอยสำคัญที่ได้กล่าวมาให้ทราบถึงความเป็นมาดังนี้ เทือกเขาสมอคอนหรือเรียกดอยธัมมิกราช ดอยธัมมิกราชวิทยาลัยราชะแห่งยุวทวาราวดี ดอยธัมมิก สาเหตุที่มีชื่อเรียกอย่างนี้เนื่องมาจาก สุกกทันตฤาษี (สุทันตฤาษี) ในหนังสือชินกาลมนีกล่าวว่า สุกกทันตฤาษีพำนัก ณ ดอยธัมมิก (เขาสมอคอน) อยู่ทางทิศใต้ของกรุงหริภุญชัย (ลำพูน) ในสมัยพระเจ้าจักรวัตติราช แห่งกรุงละโว้ สุกกทันตฤาษี ในสมัยนั้นย่อมเป็นที่รู้จักต่อฝูงชนหมู่คณาจารย์ และบรรดากษัตริย์ต่าง ๆ ทั่วทุกแคว้น ดอยธัมมิกราช เป็นดอยที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาเกี่ยวข้องกับกษัตริย์ในสมัยทวาราวดี เพราะทั้งภาษาหนังสือและความหมายเป็นภาษาชั้นสูงของผู้คงแก่เรียนที่ได้รู้ในทางพระพุทธศาสนาอย่างมาก จึงสถาปนายอดดอยแห่งนี้เป็นที่ปฏิบัติธรรมของบรรดาฤาษีและผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่หรืออีกนัยหนึ่งว่าเจ้ากรุงละโว้ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก พระพุทธศาสนา จนได้สมญาพระนามว่าพระเจ้าธัมมิกราช ความสำคัญของดอยธัมมิกราช เขาสมอคอนได้สมญานามว่าวิทยาลัยแห่งราชะยุคทวาราวดียอมเป็นที่แน่นอนที่สุดที่บรรดาพระเกจิอาจารย์มีชื่อเสียงดังเรื่องไสยเวทย์เข้มขลังเป็นที่ยอมรับในสมัยเก่าก่อนมากกว่า 150 ปีขึ้นไปนั้นส่วนใหญ่จะได้รับการสืบทอดเผยแพร่วิชาไสยเวทย์มาจากแหล่งกำเนิดวิชาจากดอยธัมมิกราชแห่งนี้ทั้งสิ้น เมื่อหลวงพ่อฉาบ ได้ศึกษาเล่าเรียนจนจบสิ้นแล้วก็ได้เดินธุดงค์เข้าวัดต่อไปยังภาคเหนือที่ดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ไปถึงแม่ฮ่องสอน แล้วกลับไปทางเชียงราย พะเยา เชียงแสน ข้ามไปฝั่งพม่าแคว้นเซียงตุง มุ่งสู่ภาคอีสานตอนบน เข้าสู่จังหวัดชัยภูมิและผ่านจังหวัดสระบุรีเข้าสู่กรุงเทพฯ ได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อโอภาสีอีกครั้งในปีพ.ศ.2496 ที่อาศมบางมดกรุงเทพฯ ได้พำนักอยู่เป็นเวลา 3 เดือนแล้วก็ลากลับวัดศรีสาครหลังจากกลับมาอยู่วัดได้ 2 อาทิตย์หลวงพ่อฉาบก็ได้เดินทางไปยังวัดชีประขาว อ.พรมบุรี จ.สิงห์บุรี เข้าพบกราบนมัสการหลวงพ่อซวง ในช่วงนั้นหลวงพ่อซวง อายุ 55 ปีท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมีเมตตาบารมี มีบุญฤทธิ์สูงส่งมาก หลวงพ่อฉาบได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์ขอศึกษาวิชาไสยเวทย์วิทยาคมจากท่าน หลวงพ่อซวงได้เมตตาสั่งสอนถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ ให้หลวงพ่อฉาบ อยู่เป็นเวลา 2 ปี โดยที่หลวงพ่อฉาบ จะเดินทางไปยังวัดชีประขาวครั้งละ 1 อาทิตย์ไปกลับเช่นนี้ มาวันหนึ่งเมื่อปลายปีพ.ศ.2497 หลวงพ่อซวง ท่านได้กล่าวกับหลวงพ่อฉาบไว้ว่าต่อไปท่านจะได้เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีสาครมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่อมใสเคารพศรัทธาของชาวพุทธโดยทั่ว หลังจากนั้นต่อมาในปีพ.ศ.2498 หลวงพ่อฉาบ มงฺคโลก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีสาครสืบมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อหลวงพ่อฉาบเป็นเจ้าอาวาสแล้วได้ดูแลและปกครองวัดด้วยความเรียบร้อยในพรรษาที่30 ตรงกับปีพ.ศ.2521 ท่านได้จัดการมอบหมายให้รองเจ้าอาวาสดูแลวัดศรีสาครเป็นการชั่วคราวแล้วหลวงพ่อฉาบได้ออกเดินธุดงค์วัตรเป็นครั้งที่2 เดินธุดงค์ไปยังจังหวัดสระบุรีได้เข้าพบหลวงพ่อบาง วัดหนองพลับ ได้เข้านมัสการขอคำแนะนำด้านอาคมต่าง ๆ จากหลวงพ่อบาง จากนั้นก็มุ่งไปยังจังหวัดนครราชสีมา ที่อำเภอครบุรีได้เข้านมัสการหาหลวงพ่อนิล ได้ขอเรียนวิชาด้านบรรจุพลังจิตในการเสกวัตถุมงคลและเพิ่มเติมด้านกสิณต่าง ๆ จากหลวงพ่อนิลแล้วเดินทางต่อไปยังปราสาทเขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ไปกราบนมัสการปราสาทเขาพนมรุ้ง แล้วมุ่งสู่จังหวัดสุรินทร์ที่อำเภอนารายณ์ได้พบกับหลวงพ่ออ่อน วัดธรรมรงค์ษา หลวงพ่ออ่อนเป็นพระเกจิอาจารย์จอมขมังเวทย์ที่เชี่ยวชาญด้านมหาอุตและอยู่ยงคงกระพันชาตรีมีวิชาเวทย์มนต์ ตระกรุดเลขยันต์ที่ร่ำเรียนมาจากประเทศกัมพูชา หลวงพ่อฉาบได้ไปปักกตอยู่ที่หมู่บ้านบ้านเบิกเป็นหมู่บ้านใหญ่ชาวบ้านที่นั่นเป็นคนเขมร ส่วนใหญ่จะเชี่ยวชาญด้านไสยศาสตร์มีวิชาอาคมมาก เก่งแค่ไหนก็ต้องยอมหลวงพ่ออ่อน วัดธรรมรงค์ษา หลวงพ่อฉาบได้เข้ากราบนมัสการพบหลวงพ่ออ่อน ๆ อายุประมาณ 80 ปีได้เมตตาสอนวิชามหาอุตและคงกระพันชาตรีให้หลวงพ่อฉาบมาหลายบทหลายตอนเป็นวิชาที่เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ใช้ได้ผลเหลือคะนาประการ ในขณะที่บำเพ็ญธรรมอยู่ในกตที่บ้านเบิกนั่นได้พบการบรรดาวิญญาณท
    วัตร ในปีพ.ศ.2493 โดยมุ่งสู่จังหวัดลพบุรีดินแดนซึ่งเคยเป็นอาณาจักร ลวปุระ (ละโว) อันรุ่งเรืองเกรียงไกรมาแล้ว หลวงพ่อฉาบได้เดินธุดงค์ไปยังถ้ำตะโก เพื่อจะไปหาความสงบวิเวก เมื่อถึงถ้ำตะโกมาทราบว่าหลวงพ่อเภา วัดถ้ำตะโกพุทธโสภา ท่านได้ละสังขารมรณภาพไปแล้ว ก็ได้พบกับหลวงพ่อคง คงคปัญโญ เจ้าอาวาสวัดถ้ำตะโก ศิษย์เอกหลวงพ่อเภา ซึ่งได้รับสืบทอดวิชาวิปัสสนากรรมฐานและไสยเวทย์ต่าง ๆจากหลวงพ่อเภาทั้งหมด หลวงพ่อฉาบจึงได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิชาต่าง ๆ ของหลวงพ่อเภา วัดถ้ำตะโก จากหลวงพ่อคง คงฺคปัญโญ เจ้าอาวาสวัดถ้ำตะโกพุทธโสภา จากนั้นหลวงพ่อฉาบก็เดินทางมุ่งไปสู่วัดเขาสาริกา เพื่อจะไปศึกษาธรรมกรรมฐานจากหลวงพ่อกบ ก็ปรากฏว่าได้มรณภาพไปแล้วเช่นกัน จึงได้มาปฏิบัติธรรมที่วัดเขาวงกฎ วัดเขาวงกฎอยู่ติดกับวัดเขาสาริกาอยู่คนละฝางเขาที่วัดเขาวงกฎแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่เขาสนามแจง ต.สนามแจง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี เป็นวัดที่ตั้งอยู่ในวงล้อมของเขา เป็นลักษณะหุบเขาเปิด มีทางเข้าออกทางเดียว เมื่อปี พ.ศ.2465 หลวงพ่อเภา พุทธสโร วัดถ้ำตะโกธุดงค์มาพบสถานที่แห่งนี้เข้าเห็นว่าเหมาะแก่การอบรมสมถกรรมฐานและเจริญวิปัสสนากรรมฐานมาก จึงได้ทำการก่อสร้างให้เป็นวัดโดยสมบูรณ์แบบ มีถ้ำคูหาสวรรค์อยู่ที่เชิงเขาด้านทิศเหนือ ซึ่งหลวงพ่อเภาจะจำพรรษาและทำความเพียรในถ้ำคูหาสวรรค์แห่งนี้ ต่อมากรมพระนครสวรรค์ พระองค์เจ้าบริพัตร สุขุมพันธ์เสด็จมาที่เขาวงกฎได้พบหลวงพ่อเภา ทรงเลื่อมใสในปฏิปทาและแนวทางในการปฏิบัติของหลวงพ่อ จึงได้ถวายปัจจัยให้ก่อสร้างวัด หลวงพ่อเภาได้สร้างกุฏิขึ้นหน้าถ้ำคูหาสวรรค์ให้ชื่อว่า ตึกบริพัตร ตามนามของผู้บริจาค และหลวงพ่อเภาได้มาจำพรรษาที่กุฏินี้ตลอดมา หลังจากหลวงพ่อเภาได้มรณภาพในปีพ.ศ.2474 ที่วัดแห่งนี้ในปีหนึ่งจะมีพระสงฆ์มาจากวัดต่าง ๆ ทุกภูมิภาคมาปฏิบัติธรรมที่วัดเขาวงกฎแห่งนี้ หลวงพ่อฉาบได้มาปฏิบัติธรรมได้พบกับ พระมหาชวน มลิพันธ์ (หลวงพ่อโอภาสี) หลวงพ่อฉาบ ได้พบหลวงพ่อโอภาสี เล่าเรื่องมีความศรัทธาหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา แต่มารู้ภายหลังว่าท่านได้มรณภาพไปแล้วด้วยความตั้งใจมุ่งหวังจะศึกษาวิชาต่าง ๆ จากท่าน ก็ได้รับคำแนะนำจากหลวงพ่อโอภาสี ซึ่งเป็นศิษย์ที่รับการถ่ายทอดวิชามาจากหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา หลวงพ่อฉาบจึงขอฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อโอภาสี ขอศึกษาวิชากสิณต่าง ๆ และไสยเวทย์ หลวงพ่อโอภาสี ได้ฝึกสอนวิชาต่าง ๆ ให้เช่นกสิณไฟ และคาถาอาคมต่าง ๆ ให้หลวงพ่อฉาบจำนวนมากและยังได้ชักชวนนิมนต์ให้หลวงพ่อฉาบเดินทางไปพบท่านที่อาศมบางมดกรุงเทพ ในครั้งนั้นที่วัดเขาวงกฎหลวงพ่อฉาบยังได้พบปะรู้จักเป็นสหายธรรมกับหลวงพ่อชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี ก็ได้เดินทางมาปฏิบัติธรรมที่วัดเขาวงกฎแห่งนี้ด้วย ได้ปฏิบัติธรรมร่วมกันได้ขอศึกษาแลกเปลี่ยนวิชาไสยเวทย์ต่าง ๆ กับหลวงพ่อชา สุภัทโท หลวงพ่อชาเกิดปีพ.ศ.2471 ปีเดียวกับหลวงพ่อฉาบ มงฺคโล หลวงพ่อชาท่านได้ละสังขารไปแล้วเมื่อปีพ.ศ.2536 ร่วมสิริอายุได้ 65 ปี หลวงพ่อฉาบอยู่ปฏิบัติธรรมเป็นเวลา 45 วัน ก็ได้เดินทางกลับไปยังวัดถ้ำตะโกอีกครั้งหนึ่ง ได้พำนักอยู่ที่วัดถ้ำตะโกพบปะใกล้ชิดกับหลวงพ่อคงอีกครั้งก็มาศึกษาพบว่าที่วัดถ้ำตะโกแห่งนี้อยู่ในบริเวณดอยเขาเทือกเขาเดียวกับวัดต่าง ๆ อีกถึง 3 วัดรวมดอยนี้มีวัดถึง 4 วัด คือ วัดเขาสมอคอน วัดถ้ำช้างเผือก วัดถ้ำตะโก วัดบันไดสามแสน ในอดีตตั้งแต่ยุคสมัยทวาราวดีเป็นต้นมา ดอยเทือกเขานี้มีความสำคัญมากมีถ้ำใหญ่น้อยเป็นร้อย ๆ ถ้ำ เป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีล สมณะ ฤาษี พราหมณ์ เป็นแห่งกำเนิดของวิชาไสยเวทย์มนต์คาถาแหล่งรวมวิชาไสยศาสตร์ เช่นวิชาขอมดำดิน ก็ก่อเกิดในที่แห่งนี้เป็นตรรกศิลาแห่งไสยศาสตร์และเวทย์มนต์ วัดเขาสมอคอนเป็นวัดอยู่ต้นดอย มีถ้ำพระนอนและที่พำนักของฤาษีสุกกะทันตะและ ถ้ำพราหมณี พ่อขุนรามคำแหงมหาราช กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยก็มาศึกษาที่แห่งนี้ นับว่าเป็นแหล่งรวมศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ หลวงพ่อฉาบ ก็ได้เดินทางมาที่วัดเขาสมอคอน เข้ากราบนมัสการฝากตัวขอเป็นศิษย์เล่าเรียนวิชาจากหลวงพ่อบุญมี อิสสโร ศิษย์ผู้รับการสืบทอดวิชาไสยเวทย์จากหลวงพ่อพระครูอุปัชฌาย์ก๋ง จฺนทสโร พระอุปัชฌาย์ก๋ง มีวิชาไสยเวทย์มากมายได้จากตำราเก่า อักขระยุคขอม ท่านเก่งมากเหรียญรุ่นแรกของท่านชาวลพบุรีเล่นหากันหลักแสน จะขอย้อนกล่าวถึงความเป็นมาของเทือกเขาสมอคอน ที่เป็นที่ตั้งของวัดเขาสมอคอนอยู่บนดอยสำคัญที่ได้กล่าวมาให้ทราบถึงความเป็นมาดังนี้ เทือกเขาสมอคอนหรือเรียกดอยธัมมิกราช ดอยธัมมิกราชวิทยาลัยราชะแห่งยุวทวาราวดี ดอยธัมมิก สาเหตุที่มีชื่อเรียกอย่างนี้เนื่องมาจาก สุกกทันตฤาษี (สุทันตฤาษี) ในหนังสือชินกาลมนีกล่าวว่า สุกกทันตฤาษีพำนัก ณ ดอยธัมมิก (เขาสมอคอน) อยู่ทางทิศใต้ของกรุงหริภุญชัย (ลำพูน) ในสมัยพระเจ้าจักรวัตติราช แห่งกรุงละโว้ สุกกทันตฤาษี ในสมัยนั้นย่อมเป็นที่รู้จักต่อฝูงชนหมู่คณาจารย์ และบรรดากษัตริย์ต่าง ๆ ทั่วทุกแคว้น ดอยธัมมิกราช เป็นดอยที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาเกี่ยวข้องกับกษัตริย์ในสมัยทวาราวดี เพราะทั้งภาษาหนังสือและความหมายเป็นภาษาชั้นสูงของผู้คงแก่เรียนที่ได้รู้ในทางพระพุทธศาสนาอย่างมาก จึงสถาปนายอดดอยแห่งนี้เป็นที่ปฏิบัติธรรมของบรรดาฤาษีและผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่หรืออีกนัยหนึ่งว่าเจ้ากรุงละโว้ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก พระพุทธศาสนา จนได้สมญาพระนามว่าพระเจ้าธัมมิกราช ความสำคัญของดอยธัมมิกราช เขาสมอคอนได้สมญานามว่าวิทยาลัยแห่งราชะยุคทวาราวดียอมเป็นที่แน่นอนที่สุดที่บรรดาพระเกจิอาจารย์มีชื่อเสียงดังเรื่องไสยเวทย์เข้มขลังเป็นที่ยอมรับในสมัยเก่าก่อนมากกว่า 150 ปีขึ้นไปนั้นส่วนใหญ่จะได้รับการสืบทอดเผยแพร่วิชาไสยเวทย์มาจากแหล่งกำเนิดวิชาจากดอยธัมมิกราชแห่งนี้ทั้งสิ้น เมื่อหลวงพ่อฉาบ ได้ศึกษาเล่าเรียนจนจบสิ้นแล้วก็ได้เดินธุดงค์เข้าวัดต่อไปยังภาคเหนือที่ดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ไปถึงแม่ฮ่องสอน แล้วกลับไปทางเชียงราย พะเยา เชียงแสน ข้ามไปฝั่งพม่าแคว้นเซียงตุง มุ่งสู่ภาคอีสานตอนบน เข้าสู่จังหวัดชัยภูมิและผ่านจังหวัดสระบุรีเข้าสู่กรุงเทพฯ ได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อโอภาสีอีกครั้งในปีพ.ศ.2496 ที่อาศมบางมดกรุงเทพฯ ได้พำนักอยู่เป็นเวลา 3 เดือนแล้วก็ลากลับวัดศรีสาครหลังจากกลับมาอยู่วัดได้ 2 อาทิตย์หลวงพ่อฉาบก็ได้เดินทางไปยังวัดชีประขาว อ.พรมบุรี จ.สิงห์บุรี เข้าพบกราบนมัสการหลวงพ่อซวง ในช่วงนั้นหลวงพ่อซวง อายุ 55 ปีท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมีเมตตาบารมี มีบุญฤทธิ์สูงส่งมาก หลวงพ่อฉาบได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์ขอศึกษาวิชาไสยเวทย์วิทยาคมจากท่าน หลวงพ่อซวงได้เมตตาสั่งสอนถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ ให้หลวงพ่อฉาบ อยู่เป็นเวลา 2 ปี โดยที่หลวงพ่อฉาบ จะเดินทางไปยังวัดชีประขาวครั้งละ 1 อาทิตย์ไปกลับเช่นนี้ มาวันหนึ่งเมื่อปลายปีพ.ศ.2497 หลวงพ่อซวง ท่านได้กล่าวกับหลวงพ่อฉาบไว้ว่าต่อไปท่านจะได้เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีสาครมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่อมใสเคารพศรัทธาของชาวพุทธโดยทั่ว หลังจากนั้นต่อมาในปีพ.ศ.2498 หลวงพ่อฉาบ มงฺคโลก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีสาครสืบมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อหลวงพ่อฉาบเป็นเจ้าอาวาสแล้วได้ดูแลและปกครองวัดด้วยความเรียบร้อยในพรรษาที่30 ตรงกับปีพ.ศ.2521 ท่านได้จัดการมอบหมายให้รองเจ้าอาวาสดูแลวัดศรีสาครเป็นการชั่วคราวแล้วหลวงพ่อฉาบได้ออกเดินธุดงค์วัตรเป็นครั้งที่2 เดินธุดงค์ไปยังจังหวัดสระบุรีได้เข้าพบหลวงพ่อบาง วัดหนองพลับ ได้เข้านมัสการขอคำแนะนำด้านอาคมต่าง ๆ จากหลวงพ่อบาง จากนั้นก็มุ่งไปยังจังหวัดนครราชสีมา ที่อำเภอครบุรีได้เข้านมัสการหาหลวงพ่อนิล ได้ขอเรียนวิชาด้านบรรจุพลังจิตในการเสกวัตถุมงคลและเพิ่มเติมด้านกสิณต่าง ๆ จากหลวงพ่อนิลแล้วเดินทางต่อไปยังปราสาทเขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ไปกราบนมัสการปราสาทเขาพนมรุ้ง แล้วมุ่งสู่จังหวัดสุรินทร์ที่อำเภอนารายณ์ได้พบกับหลวงพ่ออ่อน วัดธรรมรงค์ษา หลวงพ่ออ่อนเป็นพระเกจิอาจารย์จอมขมังเวทย์ที่เชี่ยวชาญด้านมหาอุตและอยู่ยงคงกระพันชาตรีมีวิชาเวทย์มนต์ ตระกรุดเลขยันต์ที่ร่ำเรียนมาจากประเทศกัมพูชา หลวงพ่อฉาบได้ไปปักกตอยู่ที่หมู่บ้านบ้านเบิกเป็นหมู่บ้านใหญ่ชาวบ้านที่นั่นเป็นคนเขมร ส่วนใหญ่จะเชี่ยวชาญด้านไสยศาสตร์มีวิชาอาคมมาก เก่งแค่ไหนก็ต้องยอมหลวงพ่ออ่อน วัดธรรมรงค์ษา หลวงพ่อฉาบได้เข้ากราบนมัสการพบหลวงพ่ออ่อน ๆ อายุประมาณ 80 ปีได้เมตตาสอนวิชามหาอุตและคงกระพันชาตรีให้หลวงพ่อฉาบมาหลายบทหลายตอนเป็นวิชาที่เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ใช้ได้ผลเหลือคะนาประการ ในขณะที่บำเพ็ญธรรมอยู่ในกตที่บ้านเบิกนั่นได้พบการบรรดาวิญญาณที่ตายด้วยอาการต่าง ๆ และสัมปเวสีมาขอส่วนบุญ หลวงพ่อฉาบก็ได้แพร่ส่วนบุญและแพร่เมตตาให้แล้วต่างก็หายไป หลวงพ่อฉาบเข้ากราบนมัสการหลวงพ่ออ่อนแล้วเดินธุดงค์ต่อไปยังจังหวัดอุบลราชธานีได้เข้ากราบนมัสการ หลวงพ่อพั่ว วัดนาเจริญ เข้าขอคำชี้แนะศึกษาธรรมปฏิบัติต่าง ๆจากหลวงพ่อพั่ว ๆ วัดนาเจริญท่านเป็นพระคณาจารย์ที่มีพลังจิตแก่กล้ามาก เป็นพระได้สำเร็จญาณสมาบัติถึงอนาคามีจากวัดนาเจริญ แล้วมาปักกตชานเมืองอำเภอวารินชำราบ ณ ที่แห่งนั้นในยามค่ำคืนก็มีวิญญาณมาขอส่วนบุญและบรรดาสัมปเวสี หลวงพ่อฉาบก็ได้แพร่เมตตาและแพร่ส่วนบุญให้แล้วก็หายไป หลวงพ่อฉาบกล่าวว่าหลังจากท่านกลับจากธุดงค์ครั้งนั้นจำไม่ได้ว่าปีไหนที่อำเภอวารินชำราบมีพิธีการล้างป่าช้าท่านก็ได้ถูกนิมนต์มาในงานด้วยและมาโดยตรงและมาพำนักอยู่ที่วัดหนองป่าพงที่กุฏิหลวงพ่อชา สุภัทโท เมื่อหลวงพ่อฉาบได้นมัสการหลวงพ่อพั่ว วัดนาเจริญแล้วก็ได้ไปพบหลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง พำนักพักอยู่กับสหายธรรมที่รู้จักซึ่งได้ร่วมปฏิบัติธรรมกันที่วัดเขาวงกฎ จังหวัดลพบุรี หลวงพ่อชา สุภัทโท เป็นพระอริยสงฆ์ ได้บรรลุธรรมชั้นสูงถึงซึ่งโลกุตตรธรรม โดยผู้มีความรู้และเชี่ยวชาญในการปฏิบัติธรรมต่างลงความเห็นและสัมผัสได้ว่าหลวงพ่อชา สุภัทโท ท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหัง หลวงพ่อฉาบได้พำนักอยู่วัดหนองป่าพง 5 วันก็ได้มุ่งสู่จังหวัดนครพนมกราบนมัสการพระธาตุพนมแล้วก็เดินทางเข้าสู่จังหวัดร้อยเอ็ดไปยังวัดสว่างธาศรี เข้าพบหลวงพ่อทองมา ถาวโล ได้กราบนมัสการของศึกษาและแลกเปลี่ยนวิชากับหลวงพ่อทองมา ได้ปักกตที่พักอยู่เนินสูงข้างทุ่งนา 1คืนหลังจากพบหลวงพ่อทองมาได้คุยข้อแลกเปลี่ยนวิชากันแล้วก็ลาจากท่านไปได้เดินผ่านทุ่งนาหลังวัดลัดเลาะเข้าสู่จังหวัดหาสารคามผ่านนาดูนเมืองเก่าแล้วกลับผ่านโคราชเข้าสระบุรีกลับสู่วัดศรีสาคร เมื่อหลวงพ่อฉาบ ได้เข้าจากะธุดงค์ครั้งที่ 2 แล้ว ก็อยู่แต่ภายในวัดศรีสาครไม่ได้เดินทางไปไหนอีกเลยท่านปิดกุฏิเป็นตลอดนานมุ่งบำเพ็ญกรรมฐานและสมาธิวิปัสสนากรรมฐานอยู่เป็นเวลาหลาย 10 ปีในแต่ละวันจะเปิดกุฏิรับญาติโยมและพุทธศาสนิกชนเพียงบางเวลาเท่านั้นท่านไม่มีโทรทัศน์,วิทยุ ปิดกุฏิไม่รับรู้เรื่องภายนอกแต่ท่านก็รอบรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ดี ท่านจะเน้นเรื่องกรรมบางครั้งสิ่งที่เป็นกรรมเหตุจะเกิดก็ไม่อาจเลี่ยงได้ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม คุณสุนทร คนที่ดูแลหลวงพ่อคุยให้ฟังว่าหลวงพ่อจะพูดถึงหลวงพ่อชา สุภัทโทอยู่เสมอ เหมือนท่านได้นั่งสมาธิส่งกระแสจิตถึงกันเหมือนติดต่อกันทางจิตในวันที่หลวงพ่อชาได้ละสังขารลง หลวงพ่อฉาบได้รีบเดินทางล่วงหน้าไปยังวัดหนองป่าพงและหลวงพ่อฉาบได้ไปร่วมในงานพระราชทานเพลิงศพในครั้งนั้นด้วย หลวงพ่อฉาบได้ศึกษาไสยเวทย์และคาถาต่าง ๆ จากพระเกจิอาจารย์และพระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงจำนวนมากอีกทั้งท่านได้ปฏิบัติดีและประพฤติชอบตามพระธรรมวินัยคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมเป็นที่ยอมรับนับถือของชาวพุทธและชาวจังหวัดสิงห์บุรีอีกทั้งจังหวัดใกล้เคียงอีกจำนวนมาก

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระกริ่งหลวงพ่อฉาบรุ่นเสริมบารมีทวีทรัพย์ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20240422_153851.jpg IMG_20240422_153914.jpg IMG_20240422_153831.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2024
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    วานนี้จัดส่ง
    1713827023816.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    566000011709801-jpeg.jpg

    พระครูภาวนาวรานุศาสก์ ฉายา ฐิตสจฺโจ อายุ ๔๘ ปี พรรษา ๑๘
    หรือ หลวงพ่อสิงห์ เจ้าคณะตำบลบางม่วง และเจ้าอาวาสวัดสัจจธรรมารามหรือวัดไผ่เหลือง ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี

    แม้ว่าท่านจะไม่ใช่พระนักเทศน์ ไม่ใช่พระเกจิอาจารย์ปลุกเสกสร้างวัตถุมงคล แต่ก็เป็นที่รู้จักของผู้อยากรู้อนาคตข้างหน้าเป็นอย่างมาก ชนิดที่เรียกว่า ช่วงหนึ่งหากใครอยากรู้อนาคตตัวเอง ต้องเข้าคิวจองกันนานไม่ต่ำกว่า ๑๔ เดือน

    <!--lead-->
    ชื่อของ หลวงพ่อสิงห์ เริ่มปรากฏทางสื่อมวลชน เมื่อครั้งมีลูกศิษย์คนหนึ่งได้ให้ทำนายดวงของ วีเจย์ ซิงห์ โปรกอล์ฟ ปรากฏว่า หลังจากนั้น วีเจย์ ซิงห์ ได้เป็นแชมป์หลายสนามตามที่หลวงพ่อทำนายไว้ ในที่สุดก็ขึ้นเป็นโปรกอล์ฟอันดับ ๑ ของโลก
    จากคำทำนายนี้เอง วีเจย์ ซิงห์ ได้ปวารณาตัวเป็นศิษย์ และถวายเงินทำบุญ ๑๐ % จากเงินรางวัลทั้งหมด

    คำทำนายของ หลวงพ่อสิงห์ จะแม่นเพียงใดนั้น ต่อไปนี้คือบทสัมภาษณ์แบบ "คม ชัด ลึก"

    * เริ่มดูหมอครั้งแรกเมื่อไรครับ ?
    - เราบวชมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๐ ดูให้ใครเป็นคนแรกเราจำไม่ได้ มีคนเขามาถวายสังฆทาน จากนั้นเขาไปปฏิบัติตนตามที่เราแนะนำ เช่น ปฏิบัติดีและเชื่อฟังต่อพ่อแม่ จากนั้นก็มีคนเข้ามาหาเรามากขึ้น มีการบอกกันแบบปากต่อปาก ในที่สุดคนก็ไปลือว่าเราดูหมอแม่น

    * ท่านดูแม่นอย่างคำเล่าลือจริงหรือเปล่าครับ ?
    - แม่นหรือไม่แม่น อย่ามาถามเรา ต้องไปถามคนที่มาดูกับเราโน้น แม่นหรือไม่แม่นอยู่ที่ศรัทธาของคน ที่สำคัญไอ้ส่วนที่ไม่แม่นไม่เห็นมีใครกลับมาบอก แต่คนมาดูกลับมากขึ้น ส่วนหนึ่งเราคิดว่าคนติดคำสอนของเรามากกว่า ที่สำคัญคือก่อนดูเราได้บอกไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงไม่มีใครกลับมาด่าเราเลยสักรายเพราะเป็นความสมัครใจของเขา เราไม่ได้บังคับขืนใจเขาให้มาดู ระหว่างดูเราจะอัดเทปกลับไปฟังทบทวนสิ่งที่เราพูดด้วย

    * แต่ละวันมีคนมาดูเยอะหรือเปล่าครับ ?
    - เรากำหนดไว้วันละ ๕ คน และไม่รับดูนอกวัดด้วย เพราะเราเป็นพระ ต้องอยู่ดูแลวัด ถ้ามาจองตอนนี้ก็ต้องรอไปอีก ๖ เดือน ถึงจะได้ดู ช่วงเศรษฐกิจไม่ดี คนมาดูเป็นจำนวนมาก ชนิดที่เรียกว่าต้องจองข้ามปีกันเลยทีเดียว เคยมีคนจองนานสุดก็ประมาณ ๑๕ เดือน
    ลูกศิษย์มีทุกชาติทุกภาษา แต่พวกนี้ต้องมีล่ามมาช่วยแปลภาษาไทยด้วย และต้องอยู่ในกฎเดียวกันคือต้องเข้าคิว พวกนี้ก็มีทุกข์เช่นเดียวกับคนไทยนั่นแหละ
    มีญาติโยมบอกให้เราดูวันละ ๑๐-๒๐ คน เพราะจะได้ปัจจัยถวายเยอะๆ แต่เรากลับมองว่า ถ้าเรามัวแต่ดูหมออย่างเดียวเราก็ไม่มีเวลาทำอย่างอื่น เพราะถ้าดูคนละ ๓๐ นาที ๒๐ คน ก็ ๖๐๐ นาที หรือ ๑๐ ชั่วโมงเต็ม ซึ่งความจริงใช้เวลามากกว่านั้น แล้วเราจะเอาเวลาที่ไหนไปศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม

    * คนส่วนใหญ่มักถามเรื่องอะไรครับ ?
    - ไม่มีใครมาจองคิวเพื่อที่จะสนทนาธรรมเลยสักรายเดียว ก่อนที่จะดูให้ใคร เราจะถามก่อนว่า ที่มาต้องการรู้อะไร ซึ่งส่วนใหญ่จะมาดูเรื่องการประกอบธุรกิจการค้าต่างๆ เราก็จะถามว่าพ่อแม่ยังอยู่หรือเปล่า ถ้ายังอยู่เราก็จะให้กลับไปเลี้ยงดูพ่อแม่ให้ดีเสียก่อน ถ้าใครกลับไปเลี้ยงดูพ่อแม่ดวงจะดีขึ้นถึงครึ่งหนึ่ง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าลูกบางคนรู้จักทำบุญกับพระ แต่ไม่เคยคิดเลี้ยงดูพ่อแม่เลย

    * แล้วท่านแนะวิธีแก้ให้หรือเปล่าครับ ?
    - เราไม่เคยแนะนำให้ไปสร้างพระ ถวายสังฆทาน ทอดผ้าป่า ทอดกฐินที่ไหน แต่เราจะแนะนำให้ทำบุญที่บ้านเป็นสิ่งแรก คนที่ทำการค้าถ้าไม่บำรุงรากเหง้าของความเจริญ ซึ่งรากเหง้านั้นคือพ่อแม่นั่นเอง คนเราลองไม่เลี้ยงดูพ่อแม่เรื่องความสำเร็จอย่าได้พูดถึงเลย ถ้าใครทำดีต่อพ่อแม่แล้วไม่ได้ดี เป็นไปไม่ได้เลย
    หากบำรุงรากเหง้าแล้วไม่ดี เราก็จะถามปัญหาเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องการกู้หนี้ยืมสิน การติดต่อประสานงาน รวมทั้งนิสัยใจคอ เช่น ถ้าเป็นแม่ค้าไม่รู้จักยิ้มแย้มทักทายลูกค้า มัวแต่พึ่งนางขวัก โอกาสที่จะประสบความสำเร็จนั้นก็จะไม่มี ที่ถามมาทั้งหมด เราก็จะแนะนำเรื่องความรอบคอบ ซึ่งมันก็คือความมีสตินั่นเอง คนเราลองมีสติแล้วทำอะไรย่อมประสบความสำเร็จทุกประการ

    * เคยมีลูกศิษย์นิมนต์ไปดูดวงนายกรัฐมนตรีบ้างหรือเปล่าครับ ?
    - ดร.จิรโชติ เขาเคยมาดูที่วัด เมื่อดูแล้วตรง เขาจึงคิดจะนิมนต์เราให้ไปดูดวงที่บ้านนายกฯ แต่เราบอกไปว่า ไม่มีคิวให้เพราะเราถือคติที่ว่าไม่ออกไปดูหมอให้ใครนอกวัดเด็ดขาด เราบอกกลับไปว่าถ้านายกฯ มาเอง เราก็จะอนุเคราะห์ลัดคิวให้ เพราะเห็นว่าท่านเป็นคนสำคัญของประเทศ เมื่อท่านไม่เข้าวัด ไม่เข้าหาพระ มันจะไปมีประโยชน์อะไร

    * ดูหมอต้องเสียค่าครูเท่าไรครับ ?
    - จริงๆ แล้วค่าครูไม่มีหรอก แต่คนไทยมักจะคิดว่าของฟรีนั้นไม่ดี ของดีต้องมีราคาแพง เท่านั้น ตอนแรกเรากำหนดเพียง ๑๒ บาทก่อน ไม่รู้ว่ามันแม่นหรือไปโดนใจชาวบ้านมากแค่ไหน คนแห่กันมาดูกันเป็นจำนวนมาก เราจึงคิดวิธีว่า ทำอย่างไรไม่ให้คนมาดูมากๆ ในที่สุดเราจึงขึ้นค่าครูเป็น ๕๕๖ บาท แต่คนก็ยังมาดูกันอีก เราจึงตั้งค่าครูเป็น ๓,๐๗๙ บาท คนกลับมาเพิ่มอีก
    มีอยู่ช่วงหนึ่ง เราตั้งใจจะเลิกดูหมอเด็ดขาด ประมาณปี ๒๕๓๙-๒๕๔๐ จึงขึ้นค่าครูไป ๑๐๐,๐๐๐ บาท คิดว่าไม่มีใครกล้าเสียค่าครูแพงๆ เพื่อที่จะมาดูหมอ แต่ที่ไหนได้ มีคนมาดูประมาณ ๕-๗ รายต่อเดือน ปรากฏว่าได้เงินเท่ากับดู ๓,๐๗๙ บาท มีอยู่รายหนึ่ง หลังจากดูให้แล้วเขาถวายเพิ่มเป็น ๕๐๐,๐๐๐ บาท

    * ค่าครูต่างกัน ดูเหมือนกันหรือเปล่าครับ ?
    - เหมือนกัน ไม่มีพิเศษกว่ากัน เอาเป็นว่าใครรวยมากก็ทำบุญมากก็แล้วกัน เพื่อความสบายใจ ที่สำคัญก่อนจะมาดูดวง เราจะบอกว่าถ้าใครมั่นทำความดี อยู่ในศีลในธรรม ไม่ต้องมาดูดวง ไม่ต้องไปบนบานศาลกล่าวที่ไหน ดวงก็ดี คนเราสามารถบนหรืออธิบายด้วยบุญของตัวเองได้

    * ได้ปัจจัยสูงสุดเท่าไรครับ ?
    - ตอนขึ้นค่าครูเป็น ๑๐๐,๐๐๐ บาท เดือนหนึ่งเคยได้สูงถึง ๗๐๐,๐๐๐ บาท ช่วงเศษฐกิจดีๆ ตั้งแต่ปี ๒๕๓๖ ได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ ๔๐๐,๐๐๐ บาท ช่วงปี ๒๕๔๔- ๒๕๔๕ เหลือประมาณเดือนละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท หลังจากนั้นเป็นต้นมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ได้ประมาณเดือนละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท

    * เป็นพระแล้วยังดูหมอ ไม่ผิดวินัยสงฆ์หรือครับ ?
    - เราดูตามตำราของครูบาอาจารย์ เกจิอาจารย์ยุคก่อน สมัยก่อนและสมัยนี้ คนเราจะทำงานมงคลล้วนต้องมาขอฤกษ์งามยามดีจากพระทั้งนั้น ที่สำคัญมีอยู่ในปฏิทินศาสนาที่บอกไว้ วันไหนเป็นวันอธิบดี วันไหนเป็นวันธงชัย วันอุบาทว์ วันโลกาวินาศ ที่สำคัญคือถ้ามาหาพระแล้ว พระไม่มีคำตอบ เขาก็อาจจะไปให้คนที่ชี้ทางผิดก็เป็นได้ ระหว่างที่ดูหมอ เราก็จะสอดแทรกธรรมะ สอนให้คนรู้จักทำความดี รวมทั้งเรื่องรักหมาด้วย

    * มีพระผู้ใหญ่ตำหนิบ้างหรือเปล่าครับ ?
    - เราเคยนำเรื่องนี้ไปถามท่านเจ้าประคุณสมเด็จรูปหนึ่ง ท่านก็บอกว่า เรื่องการดูดวงเป็นการสงเคราะห์อย่างหนึ่ง ที่สำคัญคือ เราได้สอดแทรกธรรมะระหว่างการดูหมอด้วย เช่น เรื่องการทำบุญ เรื่องการแก้เคราะห์แก้กรรมทั้งหลาย เราจะแนะนำไปเลยว่า ให้ทำบุญกับพ่อแม่ ให้แก้เคราะห์แก้กรรมกับพ่อแม่ดีที่สุด ไม่ต้องไปแก้ที่ไหน ไม่ต้องไปหาพระดีที่ไหนมาแขวน พ่อแม่ถือว่าเป็นพระพรหมอันยิ่งใหญ่ต่อลูก ถ้าใครทำดีมีกตัญญูต่อพ่อแม่ เราขอยืนยันว่า คนนั้นไม่มีวันจน ไม่มีวันตกอับอย่างแน่นอน

    * แล้วเรื่องที่ดูให้วีเจย์ ซิงห์ โปรกอล์ฟระดับโลก มีความเป็นมาอย่างไรหรือครับ ?
    - มีลูกศิษย์ของเราคนหนึ่งซึ่งรู้จักกับวีเจย์ ซิงห์ และมาบ่นกับเราเสมอๆ ว่า วีเจย์เป็นนักกอล์ฟที่ขยันและมีวินัยมาก แต่ทำไมไม่ได้ขึ้นเป็นแชมป์สักที เราจึงบอกว่าให้เอาตัวมาดู วีเจย์ มาที่วัดประมาณเดือนพฤศจิกายนปี ๒๕๔๕ เราก็แนะนำไปว่า เวลาตีกอล์ฟให้มีสติอยู่ที่ลูกกอล์ฟ ห้ามเอาสติไปที่อื่น ขณะลงแข่งขันอย่ากลัวคู่ต่อสู้ ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อให้ได้รับชัยชนะ
    พร้อมกับบอกไปว่า ถ้าทำอย่างที่บอกได้ โอกาสคว้าแชมป์คงอยู่ไม่ไกล เราบอกไปว่าปี ๒๕๔๖ น่าจะได้สัก ๕ แชมป์ ซึ่งเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากอล์ฟเขาแข่งกันกี่ทัวร์นาเม้นท์ เผอิญว่า เขาได้แชมป์เท่ากับจำนวนที่เราพูดไป จากนั้นก็มีคนมาถามอีกว่าปี ๒๕๔๗ จะได้กี่แชมป์ เราก็เลยหลุดปากไปว่าได้ไม่ต่ำกว่า ๕ แชมป์แน่นอน เขาจะไม่ได้ได้อย่างไร เพราะคนเรามันเก่งขึ้น

    * เคยอธิษฐานจิตช่วยวีเจย์ ซิงห์ บ้างหรือเปล่าครับ ?
    - มีอยู่ครั้งหนึ่ง ลูกศิษย์คนหนึ่งโทรศัพท์มาตอนตี ๒ เพื่อให้ลุกมาดูวีเจย์ ซิงห์ แข่งขันกอล์ฟ ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่ากอล์ฟเขานับคะแนนกันอย่างไร คนอื่นเขาบวกตั้ง ๗-๘ ส่วนวีเจย์ ซิงห์ ลบอยู่ตั้ง ๑๔-๑๕ ไอ้ความคิดของคนไทยนั้นบวกคือต้องได้ ส่วนลบนั้นคือเสีย จึงคิดว่า แผ่เมตตาจิตส่งไปช่วยเขาคงช่วยให้ชนะไม่ได้ก็นอน พอรุ่งเช้าลูกศิษย์โทรศัพท์มาขอบอกขอบใจกันยกใหญ่ แต่พวกนั้นคงไม่รู้หรอกว่า เราดูกอล์ฟไม่เป็น
    เราขอยืนยันว่า วีเจ ซิงห์ ชนะได้เพราะสมาธิของเขา ไม่ได้เพราะการแผ่เมตตาจิตของเรา ขนาดเราบอกว่า วีเจย์ ซิงห์ ชนะด้วยตัวเอง ลูกศิษย์ก็ยังโทรศัพท์มาปลุกให้ลุกขึ้นมาดูทุกๆ ครั้ง ที่มีการแข่งขัน ในที่สุดเราก็ถึงบางอ้อว่า กอล์ฟเขาชนะเพราะแต้มลบมากๆ ส่วนแต้มบวกเยอะๆ นั้นคือแพ้

    * มีคนมาขอเลขเด็ดบ้างหรือเปล่าครับ ?
    - มีมาเป็นจำนวนมากและเราก็ให้หวยแม่นเสียด้วย แต่มีข้อแม้อยู่ที่ว่า ใครอยากได้ ๒ ตัวตรง หรือ ๓ ตัวตรง ขอให้มาหลัง ๑๖.๐๐ น. ของวันที่ ๑ และวันที่ ๑๖ รับรองไม่มีผิด ใครมา ๒ วันนี้จะแถม ๖ ตัวตรงๆ ของรางวัลที่ ๑ ให้ด้วย
    ตอนเราบวชเป็นพระใหม่ๆ ครูบาอาจารย์หลายท่านเคยให้คาถาเพื่อบริกรรมให้เกิดทิพยจักษุ สามารถมองเห็นเลขถั่ว ไฮโล ไพ่ รวมทั้งหวยได้ เราท่องมาตั้งแต่หนุ่มมาจนถึงป่านนี้ยังไม่เคยเห็นเลขสักตัวเดียวเลย ถ้าเกจิอาจารย์ทั่วเมืองไทยเห็นเลขเด็ด ป่านนี้เมืองไทยเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกไปแล้ว

    * หลวงพ่อบวชพระด้วยเหตุใดครับ ?
    - พูดแล้วคนอาจจะไม่เชื่อ เราบวชเพราะถูกหวยรางวัลที่ ๑ ได้เงินมา ๖ ล้านบาท เรากลัวว่าเงินที่ได้มาจะหมดเพราะไม่รู้จักใช้ ตั้งใจว่าจะบวช ๑๕ วัน เพื่อตั้งสติเรื่องใช้เงิน ระหว่างที่บวช เราอธิษฐานจิตว่า ถ้ามีคนมาทอดผ้าป่าวัดไผ่เหลืองได้ ๕๐,๐๐๐ บาท จะอยู่ต่ออีกพรรษา ปรากฏว่ามีคนมาทอดผ้าได้เงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท พอออกพรรษาเราอธิษฐานจิตต่อว่า ถ้าทอดกฐินได้ ๓๐๐,๐๐๐ บาท จะอยู่ต่ออีกสักพรรษา ปรากฏว่าได้เงินทอดกฐิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท จากนั้นเราก็อยู่มาจนถึงทุกวันนี้

    * บวชเป็นพระดีตรงไหนครับ ?
    - ดีตรงที่เราสามารถรักษาเงิน ๖ ล้านบาทไว้ได้ หลังจากนั้นก็ไปฝากธนาคารมีดอกออกผลเป็น ๒๐ ล้านบาท ผลดีของการบวชพระที่เรารู้สึกว่าดีที่สุด คือ เราได้พบแม่ซึ่งเป็นชาวเกาหลี พ่อกับแม่ได้กันเมื่อพ่อไปเป็นทหารรบที่เกาหลี เราเกิดเป็นผู้ชาย พ่อจึงมีสิทธินำลูกกลับมาเลี้ยงในเมืองไทย ตอนที่เราไปค้นหาแม่ มีเพียงรูปถ่ายของพ่อและแม่ยืนคู่กัน โดยเขียนลายเซ็นไว้เท่านั้น โชคดีที่เรามีลูกศิษย์เป็นนักการทูตคนหนึ่ง ท่านได้พาไปออกหนังสือพิมพ์และออกทีวีอยู่ที่นั่น ๕ วันติดต่อกัน ในที่สุดเราก็ได้พบแม่ นี่ถ้าเราไม่ได้บวชโอกาสที่ได้พบแม่ ซึ่งยังมีชีวิตอยู่คงเป็นไปไม่ได้เลย

    * ที่ว่ากิเลสยังไม่หมดนั้นคืออะไรครับ ?
    - มีอยู่เรื่องเดียว คือ เรื่องหมา คนมักจะถามเราว่า เลี้ยงหมาไว้กี่ตัว แต่ความจริงแล้วมีคนเอาหมามาปล่อยวัดต่างหาก เราคิดว่าหมาก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดร่วมโลกเดียวกับคน ซึ่งมันอยากกินดีอยู่ดีมีความสุข ไม่อยากให้มีใครมาทำร้ายเช่นเดียวกับคน ใครมาตีหมา เราจะรู้สึกโกรธมาก เอาเป็นว่าถ้าใครคิดจะเตะหมาวัดไผ่เหลือง ก็ให้มาเตะอาตมาดีกว่า


    ชาติภูมิหลวงพ่อสิงห์
    ชื่อและสกุลเดิม คือ สิงห์ วิระยะวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๔๙๘ ปี มะแม ณ หมู่บ้านออนซอนิ (กองพันพยัคฆ์น้อย) ประเทศเกาหลี ช่วงนั้นโยมพ่อ (อนันต์ วิระยะวงศ์) เป็นทหารไทยถูกส่งไปช่วยรบสงครามเกาหลี เมื่อปี ๒๔๙๓ และได้ภรรยาเป็นชาวเกาหลี ด้วยเหตุที่เป็นลูกชายทางกองทัพจึงอนุญาตให้นำกลับมาเลี้ยงที่เมืองไทยได้ เพราะถือว่าเป็นลูกทหารไทย

    พ่อเป็นคนนับถือศาสนาอิสลาม อยู่หลังวัดบวรนิเวศ โดยอาศัยอยู่กับย่าซึ่งเป็นชาวอิสลาม ระหว่างที่เรียนอยู่ชั้น ป.๒ เพื่อนชวนไปเก็บลูกจัน หลังวัดตรีทศเทพ ด้วยความเป็นเด็กจึงเล่นซ่อนหากัน โดยไปแอบอยู่ในห้องน้ำ ปรากฏว่าเป็นช่วงเดียวกับรถไฟกำลังออกจากสถานี ครั้นจะกระโดดลงก็ไม่ทัน จึงติดไปสุดสายที่วัดดอนยายหอม ครั้นจะเดินทางกลับ รถก็ไม่มี จึงไปขอข้าวที่วัดดอนยายหอมกิน ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อเงินยังมีชีวิตอยู่

    ด้วยเหตุที่ยังเป็นเด็ก เมื่อเห็นของกินอุดมสมบูรณ์ จึงลืมคิดกลับบ้านอย่างสนิทใจ ได้พักอาศัยเป็นเด็กวัดจนโต กระทั่งถูกเกณฑ์เป็นทหารไปรบที่สงครามเขาค้อ หลังจากปลดจากทหารก็กลับไปเยี่ยมญาติ ญาติให้เข้านับถืออิสลามอีกครั้ง

    หลังจากแต่งงานมีลูก ๒ คน ขณะนั้นลูกคนเล็กยังแบเบาะ ด้วยความโชคดีที่ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ ได้เงิน ๖ ล้านบาท แต่เกรงว่าจะใช้เงินจนลืมตัว จึงตัดสินใจบวชเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๓๐ ณ พระอุโบสถ วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร ต.บางศรีเมือง อ.เมือง จ.นนทบุรี โดยมีพระธรรมกิตติมุนี เจ้าคณะจังหวัดนนทบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสุทธิกิตติคุณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูพิศาลวรกิจวิธาน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ตอนแรกได้ตั้งใจบวชเพียง ๑๕ วันเท่านั้น แต่ก็อยู่ได้มานานถึง ๑๘ พรรษา
    วิทยฐานะ สำเร็จชั้น ป.๔ โรงเรียนตรีทศเทพ กทม. พ.ศ. ๒๕๓๔ สอบได้ น.ธ.เอก สำนักเรียนคณะจังหวัดนนทบุรี วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร พ.ศ. ๒๕๔๔ สอบได้ ป.ธ. ๑-๒ สำนักเรียนคณะจังหวัดนนทบุรี
    สมณศักดิ์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระปลัด พ.ศ. ๒๕๔๐ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูวินัยธร พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูปลัดกิตติวรวัฒน์ พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรเทียบเท่าผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีราชทินนาม พระครูภาวนาวรานุศาสก์

    https://palungjit.org/threads/หลวงพ่อสิงห์-วัดไผ่เหลือง-ดูหมอครั้งละ-แสน-แม่นจริงหรือ.37194/



    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ




    พระรอดรุ่น 1 หลวงพ่อสิงห์วัดไผ่เหลืองให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240423_152625.jpg IMG_20240423_152653.jpg IMG_20240423_152605.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2024
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343


    พระปิดตาหลวงพ่อป่วนวัดหนองบัวทองไตรมาส ๒๕๒๖
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240423_153627.jpg IMG_20240423_153652.jpg IMG_20240423_153604.jpg
     
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    15-20110327200623.jpg

    ประวัติหลวงพ่อที่ผมเคารพนับถือมากที่สุด
    ประวัติ
    พระครูพัชรธรรมาภรณ์(บุญ สนฺตจิตฺโต)
    อดีตรองเจ้าคณะอำเภอหนองไผ่และอดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านโภชน์
    ชาติภูมิ
    พระครูพัชรธรรมาภรณ์ เดิมชื่อ บุญ โพธิ์ไขย์ เกิดเมื่อวันที่๓ ธันวาคม ๒๔๗๕ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอ้าย ปีวอก บ้านเลขที่ ๑๒ หมู่ที่ ๕ ตำบลป่าหวายนั่ง อำเภอเมือง(ปัจจุบันเป็นอำเภอบ้านฝาง) จังหวัดขอนแก่น บิดาชื่อ นายด้วน โพธิ์ไขย์ มารดาชื่อนางมี โพธิ์ไขย์

    บรรพชา
    ด้วยความศรัทธราในพระพุทธศาสนา เด็กชายบุญ ได้ขออนุณาตบิดามารดาบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๐ ณ วัดศรีบุญเรือง อำเภอสาวถี จังหวัดขอนแก่น โดยพระมหาชาญ เป็นพระอุปัชฌาย์
    อุปสมบท
    เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๗ ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น ๒ ค่ำ ปีมะเมีย ณ วัดศรีบุญเรือง ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ ชื่อบุญ สนฺตจิตฺโต โดยมี พระวินัยธรประสงค์ สุภทฺโท เป็นพระอุปัชฌาย์
    วิทยฐานะ
    พ.ศ.๒๔๘๖ สำเร็จชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียนบ้านโคกงาม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
    พ.ศ.๒๕๐๑ สอบได้นักธรรมชั้นเอก จากสำนักศาสนศึกษาวัดหรคุณ อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น
    พ.ศ.๒๕๐๓ ได้ย้ายมาอยู่ วัดหนองแจง ตำบลหนองแจง อำเภอบึงสามพัน จังหวัดเพชนบูรณ์
    พ.ศ.๒๕๑๖ชาวบ้านบ้านภชน์ได้นิมนต์ให้มาอยู่วัดบ้านโภชน์ตำบลบ้านโภชน์อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ จนถึงวาระสุดท้าย
    งานด้านการปกครอง
    พ.ศ.๒๕๑๗ เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านโภชน์
    พ.ศ.๒๕๒๕ เป็นเจ้าคณะตำบลบ้านโภชน์
    พ.ศ.๒๕๒๖ เป็นพระอุปัชฌาย์
    พ.ศ.๒๕๓๑ เป็นรองเจ้าคณะอำเภอหนองไผ่
    งานด้านการศึกษา
    เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมประจำวัดหนองแจง
    เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมประจำวัดบ้านโภชน์
    เป็นพระธรรมฑูลประจำอำเภอหนองไผ่
    เป็นกรรมการตรวจธรรมสนามหลวง
    เป็นรองประธานสนามสอบสนามหลวงอำเภอหนองไผ่
    งานด้านเผยแพร่
    เป็นผู้ให้โอวาทแก่พุทธบริษัทในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเป็นประจำ
    แสดงธรรมเทศนา แก่อุบาสิกาที่รักษาศีลอุโบสถตลอดพรรษาประจำปี
    ได้รับนิมนต์ให้แสดงธรรมะ และให้โอวาทแก่เยาวชนในสถานศึกษาต่างๆเป็นประจำทุกปี
    ออกปฏิบัติงานพระธรรมฑูล แสดงธรรมเทศนาแก่ประชาชนตามหมู่บ้านต่างๆเป็นประจำทุกปี



    งานด้านสาธารณูปการในวัด
    พ.ศ.๒๕๑๗-๒๑ สร้างกำแพงหน้าวัดและข้างวัดทั้งสองด้าน สร้างกุฏิกัมมัฏฐาน ๖ หลัง และวางโครงสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม ๑ หลัง
    พ.ศ.๒๕๒๒ วางศิลาฤกษ์อุโบสถและทำการก่อสร้างเรื่อยมาพร้อมทั้งสร้างวิหารพระประจำวัน
    และกำแพงแก้วรอบอุโบสถแล้วในปี ๒๕๒๒
    พ.ศ.๒๕๒๔-๕ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาและสร้างกุฏิเจ้าอาวาส กุฏิผู่ช่วยเจ้าอาวาส กุฏิสงฆ์ หอฉันภัตตาหารสำหรับพระภิกษุสามเณร
    พ.ศ.๒๕๒๖ เปิดศูนย์พุทธมามกะในวัด สร้างห้องน้ำห้องสุขา
    พ.ศ.๒๕๒๙-๓๑ สร้างห้องสมุดในวัด ตัดถนนในวัด ต่อเติมกำแพงวัด ขยายพื้นที่วัดจาก ๒๐ ไร่เป็น๓๐ไร่ปลูกต้นไม้สวนประดู่ในวัดและได้รับยกฐานะให้เป้นวัดพัฒนาตัวอย่างของจังหวัดเพชรบูรณ์ จากกรมการศาสนา
    พ.ศ.๒๕๓๒๔วางศิลาฤกษ์ศาลาการเปรียญแล้วเสร็จในปี๒๕๓๖จัดงานผูกพัทธสีมามอบ
    ห้องสมุดให้ห้องสมุดประชาชน ประจำตำบลบ้านโภชน์
    พ.ศ.สร้างกุฏิสงฆ์คอนกรีตเสริมเหล็ก๓หลังและได้รับยกฐานะให้เป็นวัดพัฒนาดีเด่นของ
    จังหวัดเพชรบูรณ์ จากกรมการศาสนา
    พ.ศ.๒๕๓๖ สร้างหอระฆัง สูง ๓ ชั้น สร้างฌาปนสถาน(เมรุ)
    พ.ศ.๒๕๓๗สร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ของเก่าพื้นบ้านสร้างศาลาธรรมสังเวช(ศาลาปรก)
    ขยายพื้นที่วัดจาก๓๐ไร่เป็น๓๕ไร่๗๓ตารางวา๓ศอก๑คืบ(ปัจจุบัน)และทำถนนคอนกรีต
    เสริมเหล็กยาว ๑๒๐ เมตร กว้าง ๕ เมตร
    พ.ศ.๒๕๓๘ทำถนนคอนกรีตเสริมเหล็กยาว๒๐๐เมตรกว้าง๕เมตรและทำถนนเดินเท้าใน
    บริเวณวัด
    พ.ศ.๒๕๓๙สร้างวิหารนวมงคลเฉลิมราชสร้างฝักข้าวโพดใหญ่หน้าวัดและปรับปรุงกำแพง
    ข้างวัดสองวัดซึ่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์พ.ศ.๒๕๔๑หลวงพ่อท่านได้จัดงานวางศิลาฤกษ์เพื่อที่ท่านจะสร้างมณฑปพระพุทธบาทบรมธาตุเจดีย์ศรีสมโภชแต่ยังไม่ทันได้สร้างท่านก็มาล้ม
    ป่วยลงก่อนและก็ได้มรณภาพไปเมื่อวันที่๖ตุลาคม๒๕๔๑ที่ผ่านมาซึ่งคณะศิษย์จะได้
    ดำเนินการก่อสร้างมณฑปพระพุทธบาทบรมธาตุเจดีย์ศรีสมโภชให้แล้วเสร็จตามเจตนารมย์ของหลวงพ่อในโอกาสต่อไป
    สมณศักดิ์
    พ.ศ.๒๕๑๙ เป็นฐานานุกรมของ พระครูเวฬุครารักษ์ เจ้าคณะอำเภอหนองไผ่ “พระสมุห์”
    พ.ศ.๒๕๒๕ เป็นเจ้าคณะตำบลบ้านโภชน์
    พ.ศ.๒๕๒๗ เป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าคณะตำบลชั้นตรีในราชทินนามที่ “พระครูพัชรธรรมาภรณ์” ตามตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลบ้านโภชน์
    พ.ศ.๒๕๓๑เป็นรองเจ้าคณะอำเภอชั้นตรีในราชทินนามเดิมตามตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งให้
    เป็นรองเจ้าคณะอำเภอหนองไผ่
    พ.ศ.๒๕๓๓ เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระสัญญษบัตรรองเจ้าคณะอำเภอชั้นโทในราชทินนามเดิม
    ตามตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองเจ้าคณะอำเภอหนองไผ่
    พ.ศ.๒๕๓๓เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระสัญญษบัตรรองเจ้าคณะอำเภอชั้นเอกในราชทินนาม
    เดิมตามตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองเจ้าคณะอำเภอหนองไผ่
    พ.ศ.๒๕๓๗ ได้รับพระราชทาน ใบประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติ เสมาธรรมจักรจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี สาขาการสงเคราะห์ประชาชน
    พ.ศ.๒๕๔๑ ลาออกจากรองเจ้าคณะอำเภอหนองไผ่ เนื่องด้วยปัญหาสุขภาพ และได้รับการยกฐานะให้เป็น รองเจ้าคณะอำเภอกิตติมศักดิ์

    มรณภาพ
    พระครูพัชรธรรมาภรณ์ (บุญ สนฺตจิตฺโต) ได้อาพาธด้วยโรคเบาหวานมาเป็นเวลานาน แม้ท่านจะได้พยายามรักษาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก็ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และด้วยโรคเบาหวานนี้เองเป็นเหตุทำให้มีโรคอื่นๆแทรกซ้อนตามมาได้ง่ายเมื่อเดือน
    มิถุนายน ๒๕๔๑ ที่ผ่านมาท่านได้อาพาธด้วยโรคเส้นเลือดตีบในสมอง ทำให้มีอาการแขน ขา ชา ไม่มีแรง คณะศิษย์ได้นำท่านเข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลเพชรรัตน์ในตัวเมืองเพชรบูรณ์
    แพทย์ตรวจพบว่าเส้นเลือดตีบในสมองและมีโรคไตแพทย์แนะนำให้ผ่าตัดเพื่อรักษาโรคเส้น
    เลือดตีบในสมองแต่เนื่องจากเครื่องมือแพทย์ไม่พร้อมในการผ่าตัดคณะศิษย์จึงได้นำท่านเข้ารับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลสงฆ์ในกรุงเทพมหานคร แพทย์ให้การรักษาอยู่เป็น
    เวลา ๑ เดือนเศษ ทำให้ท่านมีอาการดีขึ้นเป็นลำดับแพทย์จึงให้กลับไปพักรักษาตัวที่วัดได้ และท่านก้มีอาการดีขึ้นเป็นลำดับมาสามารถเดินเองได้และร่วมทำกิจวัตรประจำวันร่วม
    กับพระสงฆ์ได้ตามปกติ
    แต่แล้วเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๔๑ ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันตักบาตรเทโวประจำปี ท่านยังได้ร่วมกิจกรรมกับพระสงฆ์ในวัดเป็นปกติได้แสดงธรรมและพูดคุยกับพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมทำบุญตักบาตรเทศกาลออกพรรษา และร่วมทำกิจวัตรประจำวัน คือทำวัตรเย็นกับพระสงฆ์ในวัดเป็นปกติเหมือนเช่นทุกวันที่ทำมาแต่แล้วเมื่อเวลา
    ประมาณ ๒๒.๒๐น. ท่านก็ป่วยแบบกระทันหันโดยมีอาการเกร็ง และพูดไม่ออก แม้พระลูกศิษย์ที่อุปัฏฐากดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด จะพยายามถามท่านว่าหลวงพ่อเป็นอะไรๆ
    อยู่หลายครั้ง แต่ท่านก็ไม่สามารถพูดด้วยได้ เมื่อพระลูกศิษย์เห็นดังนั้น จึงได้รีบนำท่านพาไปส่งโรงพยาบาลหนองไผ่ทันที แต่แพทย์ไม่สามารถให้การรักษาไว้ได้ทัน
    เพราะท่านได้มรณภาพอย่างกระทันหันก่อนหน้านี้แล้ว ณ กุฏิที่พำนักของท่าน ด้วยโรคไตวายเฉียบพลัน เมื่อเวลาประมาณ ๒๒.๓๐น.สิริรวมอายุได้ ๖๖ ปี ๔๔ พรรษา ของวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๔๑
    FB_IMG_1713931402028.jpg FB_IMG_1713931479219.jpg FB_IMG_1713931461745.jpg
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    รูปหล่อหลวงพ่อบุญวัดบ้านโภชน์ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240424_104854.jpg IMG_20240424_104549.jpg IMG_20240424_104514.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2024
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343

    ประวัติ พระครูศีลสารสัมบัน (หลวงปู่อ่อน พุทธสโก)
    มีนามเดิมว่านายอ่อน ใจเที่ยง เกิดเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2441 ตรงกับ วันอังคาร ขึ้น 5ค่ำ เดือน6 ปีวอก อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา
    เป็นบุตรคนที่2 ในจำนวนพี่น้อง 5คน ของนายแสง-นางเอี่ยม ใจเที่ยง
    พออายุประมาณ 22ปี ได้อุปสมบท ณ วัดบ้านวัง อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา ต่อมา ลป.อ่อน เกิดอาพาธหนัก จำต้องลาสิกขาบทเพื่อรักษาตัวอยู่นาน จนหายเป็นปกติ การกลับสู่ฆราวาสในครั้งนี้ ท่านได้ครองเรือน กับนางใบ และมีบุตรด้วยกัน 2คน และได้อพยพครอบครัวย้ายมาจับจองที่ดินทำไร่ ทำนา อยู่ที่บ้านเนินมะเกลือ ต.ท่าหมื่นราม อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
    ต่อมาเมื่ออายุได้ 48ปี นางใบ ใจเที่ยง ถึงแก่กรรมลง ลป.อ่อน จึงตัดสินใจอุปสมบทอีกครั้ง ณ วัดวังทองวนาราม อ.วังทอง และได้มาจำพรรษา อยู่ที่สำนักสงฆ์บ้านเนินมะเกลือ ซึ่งในสมัยนั้น ยังเป็นป่าช้าและป่ารกร้าง จึงเหมาะแก่การทำสมาธิวิปัสสนากรรมฐานเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นได้พัฒนาทางด้านถาวรวัตถุ พร้อมกับได้ขอจดทะเบียน จนได้เป็นวัดที่ถูกต้อง และต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส องค์แรกของวัดเนินมะเกลือวนาราม
    ใน พ.ศ.2535 ลป.อ่อน ได้จัดสร้างวัดถุมงคลรุ่นแรก มีลักษณะเป็นรูปหล่อโบราญ และเหรียญทองแดง เพื่อแจกจ่ายให้แก่ผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบริจากทรัพย์ สร้างพระอุโบสถ วัดเนินมะเกลือวนาราม
    ด้วยเพราะบุญบารมีของหลวงปู่อ่อน ที่ท่านมั่นคงเคร่งครัดในพระวินัย มีจริยาวัตรอันงดงาม และให้การช่วยเหลือแก่ลูกศิษย์ของท่านทุกคน ที่มีเรื่องร้อยใจร้อนกาย จนเป็นที่ประจักษ์แก่ศิษยานุศิษย์ของท่าน จึงทำให้หลวงปู่อ่อน เป็นเสาหลักทางด้านจิตใจของประชาชนทั่วไป ในจังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดใกล้เคียง มาโดยตลอด ...สาธุ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    รูปหล่อหลวงปู่อ่อนวัดเนินมะเกลือให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20240424_104428.jpg IMG_20240424_104449.jpg IMG_20240424_104412.jpg
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    1708698524182-jpg.jpg
    หลวงปู่เปลื้อง วัดลาดยาว อายุ 108 ปี เกจิ 5 แผ่นดิน มรณภาพแล้ว ด้วยโรคชรา เมื่อเวลา 19.30 น. 4 พ.ค. 53 นำร่างออกจากรพ.สวรรค์ประชารักษ์ 5 พ.ค. เวลา 09.00 น. เพื่อนำไปที่วัดลาดยาว...
    เมื่อเวลา 19.30 น. 4 พ.ค. ที่ห้องพักสงฆ์อาพาธ ชั้น 7 ตึก 2 รพ.สวรรค์ประชารักษ์ พระครูนิวิฐธรรมสาร หรือหลวงปู่เปลื้อง จัตตสัลโล เจ้าอาวาสวัดลาดยาว อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ ถึงแก่มรณภาพ ด้วยโรคชรา สืบเนื่องจากการที่หลวงปู่เปลื้องอายุกาลพรรษามากแล้ว วันนี้หลวงปู่อยู่ที่วัดลาดยาว แล้วเกิดอาการรู้สึกเหนื่อยอ่อน เพลีย หายใจไม่ค่อยทัน น.ส.สุพัฒตรา จันทร์อยู่ อายุ 40 ปี หลานสาวของหลวงปู่ ซึ่งคอยดูแลปรนนิบัติรับใช้อยู่ จึงนำตัวหลวงปู่ส่งรพ.สวรรค์ประชารักษ์ เมื่อเวลา 16.00 น.
    เมื่อมาถึงรพ. ทางแพทย์ผู้ตรวจคือ นพ.ณัฏฐ์ น้อมพรรโณภาส จึงนำตัวเข้าพัก และตรวจดูอาการที่เตียง 6 ห้องพักสงฆ์อาพาธ ชั้น 7 อาคาร 2 พร้อมทั้งให้ออกซิเจนและน้ำเกลือ เพื่อช่วยให้สดชื่นขึ้น พร้อมทั้งสั่งให้นอนพักเพื่อรอดูอาการ ระหว่างนอนพัก หลวงปู่ยังมีอาการปกติ สามารถพูดคุยทักทายกับบรรดาลูกศิษย์ที่มาเยี่ยม จนกระทั่งเวลา 19.30 น. หลวงปู่มีอาการสะอึกแล้วก็สิ้นลมหายใจไปเฉยๆ ท่ามกลางการตกตะลึงของลูกศิษย์ ซึ่งทางคณะแพทย์ได้รีบมาตรวจสอบอาการและช่วยปั๊มหัวใจ แต่ไม่เป็นผล หลวงปู่สิ้นลมด้วยอาการสงบ ท่ามกลางความเสียใจของคณะศิษย์
    นอกจากนี้ ได้เกิดเหตุประหลาด ระหว่างที่คณะศิษย์และคณะแพทย์ช่วยกันดูแลร่างของหลวงปู่ เกิดกระแสไฟฟ้าในรพ.มีอาการติดๆ ดับๆ ถึง 4 ครั้ง เมื่อสอบถามเจ้าหน้าที่รพ.ก็ทราบว่า ทางรพ.ไม่เคยมีเหตุไฟฟ้าติดๆ ดับๆ แบบนี้มาก่อน

    สำหรับประวัติย่อหลวงปู่เปลื้อง จัตตสัลโลหรือพระครุนิวิฐธรรมสาร เจ้าอาวาสวัดลาดยาว พระเกจิที่มีชื่อเสียงและอายุกาลพรรษาสูงที่สุดรูปหนึ่งของนครสวรรค์ เดิมชื่อเปลื้อง แย้มสุข เป็นชาวชัยนาท เกิดเมื่อวันอังคารที่ 20 พ.ค.2445 ที่บ้านท่าฉนวน ต.ท่าฉนวน อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท อุปสมบทเมื่อพ.ศ. 2466 โดยมีเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระธรรมปัญญาบดี (สวัสดิ์ กิตติสาโร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ มีพระพิมลธรรม (ช้อย ฐานทัตโต) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลวงปู่เปลื้อง เป็นพระเกจิอาจารย์ 5 แผ่นดิน ชาวลาดยาวมักเรียกว่าหลวงปู่ใหญ่ 5 แผ่นดิน ได้ศึกษาวิทยาคมจากพระเถระที่มีชื่อเสียงหลายรูปด้วยกัน เช่น สมเด็จพระวันรัต(เฮง เขมจารี) วัดมหาธาตุ สมเด็จพระสังฆราช(แพ) วัดสุทัศน์ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ)วัดเทพสิรินทร์ หลวงพ่อพวง วัดหนองกระโดน นครสวรรค์ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ นครสวรรค์
    หลวงปู่เปลื้อง เป็นพระเถระที่มีจริยาวัตรงดงาม มีเมตตาแก่ประชาชนทั่วไปโดยไม่เลือกวรรณะ ท่านมักได้รับนิมนต์ให้ไปร่วมพิธีพุทธาภิเษก หรือนั่งปรกปลุกเสกวัตถุมงคลทั่วประเทศ ซึ่งวัตถุมงคลของท่านจะเป็นที่นิยมของประชาชนทั่วไปทั้งใกล้ไกล ซึ่งวัตถุมงคลส่วนใหญ่ของท่านมักจะเสกและสร้างขึ้นเพื่อสาธารณะประโยชน์ โดยมีคณะศิษย์มาขออนุญาตจัดสร้างและแจกจ่ายกันไปในหมู่ผู้ที่มีความเคารพ ศรัทธาในตัวหลวงปู่ วัตถุมงคลส่วนหนึ่งก็จะให้หลวงปู่ไว้แจกแก่ประชาชนทั่วไปที่เดินทางมากราบ ไหว้ท่าน บางรุ่นก็จะสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอน ล่าสุดมีการสร้างเหรียญรูปหลวงปู่ขึ้นเพื่อหาทุนสร้างวิหาร กุฏิสงฆ์ และปิดทองพระประธานในวิหาร ชื่อรุ่นว่า รุ่นก้าวหน้า อายุยืน นอกจากนี้ยังมีการสร้างพระเศรษฐีนวโกฎิ พระผง-พระดินจอมปลวก รูปหล่อ เครื่องรางรูปเสือ ซึ่งวัตถุมงคลของหลวงปู่จะมีประสบการณ์ทางด้าน เมตตา ค้าขาย คลาดแคล้ว และวัตถุมงคลส่วนใหญ่จะหมดลงในระยะเวลาไม่นาน
    สำหรับกำหนดการจัดพิธีศพหลวงปู่นั้น ยังอยู่ในระหว่างการปรึกษาหารือกันในหมู่คณะศิษย์และคณะสงฆ์จังหวัด นครสวรรค์ โดยกำหนดจะนำร่างของหลวงปู่ออกจากรพ.สวรรค์ประชารักษ์ ในวันที่ 5 พ.ค. เวลา 09.00 น.เพื่อนำไปที่วัดลาดยาว เพื่อให้ประชาชนทั่วไป และคณะศิษย์ได้กราบไหว้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะมีกำหนดการที่แน่นอนต่อไป


    ประวัติหลวงปู่เปลื้อง วัดลาดยาว นครสวรรค์
    หลวงปู่เปลื้อง พระมหาเถระยุคเก่า ลึกที่สุด ขลังเข้มข้น ก่อนกึ่งพุทธกาล สอบเปรียญ ๔ ประโยคตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ บวชกับ สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) อธิบดีสงฆ์ วัดมหาธาตุฯ เป็นศิษย์ สมเด็จครูองค์ที่ ๑ สมเด็จ ฯท่านฝากไปเรียนกับ สมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์ฯ สมเด็จครูองค์ที่ ๒ และยังไปเรียนกับ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ) วัดเทพศิรินทร์ฯ (ผู้เป็นอาจารย์ของท่านเจ้าคุณนรรัตน์)ถือเป็น สมเด็จครูองค์ที่ ๓ ตอนเป็นเณรไปกราบหลวงปู่ ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านลง นะฤาชา และพุทธม้วนโลกให้ กลางกระหม่อมหลวงปู่ ทุกวันนี้กระหม่อมหลวงปู่ เปลี่ยนเป็นสีขาว อย่างอัศจรรย์ ไปเรียนกรรมฐานกับ ยอดพระ ศิษย์ของพระเดชพระคุณ สมเด็จพระพุทธาจารย์ (โต พรหมรังสี) นั้นคือ หลวงปู่ภู วัดอินทร์ฯ ท่านให้พรให้มีอายุยืนยาว เหมือนหลวงปู่ สมเด็จพระวันรัต (เฮง) รักหลวงปู่เปลื้องมาก ส่งให้มาคลุม มณฑล สี่แคว(เมือง นครสวรรค์) ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พระครูเจ้าคณะอำเภอชั้นเอก จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ตอนอายุเพียง ๓๑ ปีเท่านั้น ได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อ พวง วัดหนองกระโดง พระเกจิ ระบือนามยิ่งใหญ่แห่งนครสวรรค์ ต่อวิชากับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ หลวงปู่ ถือศีล ถือ ธรรมเข้มข้น ว่าคาถาปลุกเสกทั้งดีทั้งแรง คงความขลังลองกันนับไม่ถ้วนไม่เคยได้กิน ปากท่านศักดิ์สิทธิ์นัก ท่านไม่เคยดุด่าว่ากล่าวใคร ท่านบอกว่าดี ต้องดี บอกว่ารวยต้องรวย ทุกวันนี้ หลวงปู่ได้ฉายาว่า หลวงปู่ใหญ่ ใครก็เกรงบารมี เป็นที่เคารพรักของสาธุชนรุ่นหลานเหลน ไม่หลงไม่ลืม ให้พรบอก นำกล่าวถวายทานได้ เป็นอุปัชฌาย์บวชให้ศิษย์นับ หมื่นหมื่นคน บวชพ่อ ยันลูก ยันหลาน พระเกจิอาจารย์ยุคนี้ ใครก็ข่มหลวงปู่ไม่ได้ ท่านรู้ลึก กระแสจิตรดี งานพุทธาภิเษก เกจิอายุ 80 กว่า ยังต้องก้มกราบหลวงปู่ก่อนมิเช่นนั้นจับสายสิญจน์ไม่ได้ร้อนจนต้องรีบปล่อย ครูบาหนุ่มภาคเหนือ บอกให้ลูกศิษย์ไปกราบซะพระองค์นี้ เป็นทองคำทั้งองค์ หลวงพ่อท่านหนึ่งศิษย์หลวงปู่มั่น บอกให้ไปเอาผ้าเช็ดน้ำหมากของหลวงปู่มาติดตัว เท่านี้ ก็เท่ากับพกยอดพระแล้ว ต่อให้ใส่พระทั่วตัวไม่มีที่ว่างก็ไม่เท่าผ้าเช็ดน้ำหมากของหลวงปู่ พระหนุ่มภาคใต้จับรูปของหลวงปู่ที่ห่อรวมกับพระอื่นๆ ยังต้องวางชี้รูปนั้นแล้วบอกว่า “องค์นี้เป็นพระแต่เหนือพระ” ตลอดระยะเวลาที่หลวงปู่ครองผ้าเหลืองทั้งเป็นพระและเป็นเณร เกือบ ร้อยปี หนึ่งศตวรรษ หลวงปู่ยังงดงาม ในขั้นต้น ในท่ามกลาง และในที่สุด ทรงความเป็นมหาเถระที่ สว่างกระจ่าง ท่ามกลางใจ ได้ไหว้ได้กราบได้ใครได้ครอบครองพระของหลวงปู่ถือว่าเป็นบุญสูงยิ่งแล้ว ยากจะหาบุญใดยิ่งกว่าในยามนี้

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จหลังหลวงปู่พวง ลป.เปลื้อง วัดลาดยาวอธิฐานจิตปลุกเสกปี ๒๙
    ให้บูชา
    200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240424_105125.jpg IMG_20240424_104945.jpg IMG_20240424_104612.jpg
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    วันนี้ จัดส่ง
    1713947037644.jpg

    ขอบคุณครับ
     
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    วันนี้ จัดส่ง
    1714042843902.jpg
    ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...