ใครชอบใครชังช่างเถิด ใครเชิดใครแช่งช่างเขา ใครเบื่อใครบ่นทนเอา ..."ใจเราร่มเย็นเป็นพอ"

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 2 พฤษภาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    [​IMG]


    " ร่างกายของเราจะอยู่ในโลกอีกไม่กี่วัน มันก็พัง ฉนั้นในเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ท่านบอกว่ามีความสุข พระอรหันต์ทั้งหลาย ร่างกายของท่านพัง ท่านบอกว่าท่านมีความสุข เราก็พยายามทำให้สุข เหมือนอย่างท่านบ้าง ข้อสำคัญจงจำไว้ว่า จงอย่า คิดว่าเราดีไว้เสมอ มองดูความบกพร่องของจิต ว่าจิตของเราบกพร่องตรงไหนบ้าง พยายามแก้ไขให้สู่ระดับความดี ..... "

    ขอแจ้งให้ทราบว่าทุกคนที่ต้องการเป็นศิษย์ ไม่ต้องขออนุญาต ขอให้ปฏิบัติตามนี้ อยู่ที่ไหนไม่เคยเห็นหน้ากันเลยก็รับเป็นศิษย์ คือ

    ๑.ศิษย์ชั้น ๓ พยายามรักษาศีล ๕ ได้เสมอ อาจจะขาดตกบกพร่องบ้าง แต่ก็พยายามรักษาให้ครบถ้วนมากที่สุดที่จะทำได้ อย่างนี้ขอรับไว้เป็นศิษย์ชั้น ๓ คือศิษย์ขนาดจิ๋ว

    ๒.ศิษย์รุ่นกลาง มีปฏิปทาดังนี้ มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ พยายามรักษาอารมณ์ให้ทรงสมาธิเสมอตามสมควร ไม่ละเมิดศีลเป็นปกติ อย่างนี้ขอรับไว้เป็นศิษย์รุ่นกลาง

    ๓.ศิษย์เอก มีปฏิปทาดังนี้
    (ก)รักษาศีล ๕ ครบถ้วนเป็นปกติ
    (ข)เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไม่สงสัยในความดีของท่าน มีอารมณ์ตั้งมั่นว่า ถ้าตายไปจากคนชาตินี้ ขอไปนิพพานจุดเดียว พยายามละความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นปกติ

    ถ้าปฏิบัติได้ตามที่กล่าวมานี้ มาพบหรือไม่มา ขออนุญาตเป็นศิษย์ หรือไม่ขออนุญาตก็ตาม ให้ทราบว่าอาตมารับเป็นศิษย์แล้วด้วยความเต็มใจ

    ตั้งใจไว้โดยเฉพาะว่าเราไม่ต้องการอย่างอื่น เราต้องการอย่างเดียว คือพระนิพพาน เห็นใครเขาตาย ก็นึกว่าไม่ช้าเราต้องตายอย่างเขา เห็นใครเขาแก่ ก็นึกว่าไม่ช้าเราก็ต้องแก่ตามเขา เห็นใครเขาป่วย ก็นึกว่าไม่ช้าเราก็ป่วยตามเขา ถ้ามันตายแล้วไปไหนก็นึกว่าช่างมันไม่เอาอีกแล้ว ความเกิดที่เต็มไปด้วยความระยำ เต็มไปด้วยความทุกข์ เราไม่ต้องการมันอีก เราต้องการอย่างเดียว คือ แดนพระนิพพาน เป็นแดนอมตะ ไม่มีความแก่ ไม่มีความเจ็บ ไม่มีความป่วยไข้ ไม่มีความไม่สบาย ไม่มีทุกข์แม้แต่เท่าขี้เล็บ ไม่มีทุกข์เลยในแดนพระนิพพาน..."

    " จงเห็นว่าไม่มีอะไรเหลือเลยในโลกนี้ เห็นทุกอย่างเป็นเรื่องสมมุติทั้งสิ้น แปรปรวน เสื่อมไป สลายไป ทุกอย่างไม่มีอะไรควรยึดถือทั้งสิ้น...... " การที่จะหนีอบายภูมิทั้ง ๔ คือการไม่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัชฉาน ต่อไปนั้น ต้องกำจัดสังโยชน์ คือ อารมณ์ชั่ว ๓ ประการ ให้พ้นจากใจ อารมณ์ชั่วทั้ง ๓ ประการ คือ ๑. ที่มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่ตายตัดทิ้งไป ให้มีความรู้สึกว่ามันจะต้องตายแน่และไม่ประมาทในชีวิต คิดทำความดีต่อไป ๒. วิจิกิจฉา ความสงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ตอนนี้ตัดทิ้งไป ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ ๓. สีลัพพตปรามาส มีการปฏิบัติในศีลไม่แน่นอน ไม่จริงจัง อันนี้ต้องทิ้งไปหันมากลับมาปฎิบัติในศีลให้แน่นอนและจริงจัง ฆราวาสเพียงแค่ศีลห้า หรือว่ากรรมบถ ๑๐ ใช้ได้แล้ว สำหรับภิกษุสามเณรก็มีศีลของท่าน

    (จากหนังสือ หนีนรก)


    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ...นัตถิ โลเก อนินทิโต... คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก พระพุทธเจ้าเองยังถูกนินทา อาตมาเป็นสาวกรุ่นจิ๋วของพระองค์ทำไมจะไม่ถูกนินทา เวลานี้คำนินทา คำติเตียนก็เกลื่อนโลก เต็มโลกไปหมด ไม่เห็นหนักใจอะไร จะนินทาสักเท่าไหร่ก็ตาม ก็แก่ลงไปทุกวัน ใครเขาสรรเสริญยังไงก็ตาม ก็ยังแก่ลงทุกวัน นินทาก็แก่ สรรเสริญก็แก่ ฉะนั้น คำนินทาและสรรเสริญทั้ง ๒ ประการนี้ ท่านพุทธบริษัท องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ทรงแนะนำว่า จงอย่าถือเอาเลยทั้ง ๒ อย่าง

    (จากหนังสือ หนีนรก)


    สำหรับ กรรมบถ ๑๐ ที่บอกแล้วว่ามีทั้งศีลและธรรม ศีลก็คือว่าศีลข้อที่ผ่านมาแล้วฝ่ายธรรมชัดๆ ก็คือ มโนกรรม ที่ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใครอย่างหนึ่ง ไม่พยาบาทจองล้างจองผลาญอย่างหนึ่ง มีความเห็นถูกตามพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอย่างหนึ่ง ความจริงธรรมทั้ง ๓ ประการนี้ถ้าอย่างอ่อน ๆ ก็เป็นพระสกิทาคามี ถ้าปฏิบัติได้อย่างกลางๆ ก็เป็นอนาคามี ถ้าปฏิบัติได้อันดับสูงสุด เป็นอรหันต์เลย ธรรมะ ๓ ประการนี้ไม่ใช่ของเล็กน้อย หนักมาก ใหญ่มาก มีคุณมีประโยชน์มาก

    (จากหนังสือ หนีนรก)


    เราก็ต้องรู้ด้วยว่าร่างกาย ความจริงมันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เรา คือจิตที่เรียกว่า อทิสมานกาย ที่เข้ามาอาศัยร่างกายเป็นเรือนร่างที่อาศัยอันนี้ ร่างกายมันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา แล้วมันก็ไม่อยู่ในอำนาจของเรา เราจะปรนเปรอบังคับบัญชามันอย่างไรก็ตาม มันจะไม่ยอมปฏิบัติตามด้วยประการ

    อุเบกขาบารมีตัวนี้ พระองค์ทรงตรัสว่า ตรงกับภาษาไทยที่ใช้กันเป็นปกติว่า ช่างมัน ขันติบารมีนี่ก็เหมือนกันใช้คำว่าช่างมัน ตรงตัวดี คนที่มี บารมีต้น นี่นะ เขาเก่งแค่ทานกับศีลอย่างเก่ง ถ้าอุปบารมี ก็เก่งแค่ฌานสมาบัติ จิตใจพอใจมาก แต่พูดเรื่องนิพพานไม่เอาด้วย คนที่มีบารมีเข้าถึง ปรมัตถบารมีเท่านั้น จึงจะพอใจในนิพพาน

    ลูกรักทั้งหลาย ธรรมส่วนใดที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสอน ที่พ่อจะปกปิดไว้ไม่มี พ่อสอนหมดทุกอย่าง เมื่อพ่อตายแล้ว ขอลูกแก้วของพ่อ จงประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยส่วนนี้ทั้งหมด ในเมื่อขันธ์ 5 มันทรงไม่ไหว พ่อก็อยู่ไม่ได้ พ่อสอนลูกอยู่เสมอว่า ขันธ์5เป็นของธรรมดา มัน เกิด แก่ เจ็บ และตายเหมือนกันหมด ลูกจะเกาะขันธ์ 5 ของพ่ออยู่อย่างนี้ตลอดกาลตลอดสมัยไม่ได้ ความ

    ลูกทุกคนของพ่อเป็นคนดี อยู่ในโอวาทขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้นลูกทุกคนจึงเป็นที่รักของพ่อ ใครเขาจะเกลียด ใครเขาจะชังลูก เป็นเรื่องของเขา แต่ว่าพ่อรักลูกทุกคนเสมอกัน ต้องการอย่างเดียว คือ จำนำทางให้ลูกพ้นทุกข์ เข้าไปหาแดนความสุข ที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่มีความหนักใจแม้แต่นิดเดียว นั้นคือ พระนิพพาน

    การถือตัวถือตนว่า เราเสมอเขาก็ดี เราดีกว่าเขาก็ดี เราเลวกว่าเขาก็ดี เป็นปัจจัยของความทุกข์ อย่ามองคน ด้วยฐานะ อย่ามองคน ด้วยศักดิ์ศรี อย่ามองคน ด้วยความรู้ความสามารถ มองคนแต่เพียงว่าสภาพของเขา เป็นวัตถุเหมือนสภาพของเรา จิตใจของเราพร้อมในการเมตตาปรานีไม่ถือตน เขาจะมาในฐานะเช่นใดก็ช่าง ถือว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันหมด การกำหนดอารมณ์ อย่างนี้ เราก็สามารถจะกำจัดตัวมานะ การถือตัวถือตนเสียได้ อย่างนี้เรียกว่า อรหัตมรรค

    คนที่เข้าถึงพระโสดาบันน่ะ มีอารมณ์เป็นสุขปกติ ไม่ถือมงคลตื่นข่าว คำว่า ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ก็คือ เขาเฮที่ไหนไปที่นั่น เขาลือที่โน่นดีไปที่โน่น เขาลือที่นี้ดีมาที่นี่ ผลที่สุด หาดีอะไรไม่ได้ จับไม่ถูก มีอารมณ์ไม่แน่นอนมี สติไม่ตรง อย่างนี้ไม่ใช่พระโสดาบัน สำหรับพระโสดาบันน่ะอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่นั่น ที่ไหนไม่สำคัญ คำสอนของอาจารย์องค์ไหน พระองค์ไหน องค์ไหนๆ ก็ไม่สำคัญ ถ้าตรงต่อคำสอนของ องค์สมเด็จพระบรมสุคต พระโสดาบันยอมรับ ย่อมไม่ถือว่าอาจารย์เป็นสำคัญ ถือพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ ไม่ใช่ไปนั่งนับถือตัวบุคคลว่า พระองค์นั้นสอนดี พระองค์นี้สอนไม่ดี อาจารย์องค์นั้นสอนดี อาจารย์องค์นี้สอนไม่ดี เขาไม่ถืออาจารย์เป็นตัวสำคัญ เพราะท่านถือว่าเป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรส

    อารมณ์ปฐมฌาน ก็คือว่า เมื่อกิจการงานอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นสำหรับเรา อารมณ์นี้ จะคุมอยู่ในอนุสติทั้งหกตลอดเวลา เราจะไม่ลืมพระพุทธเจ้า เราจะไม่ลืมพระธรรม เราจะไม่ลืมพระสงฆ์ เราจะไม่ลืมศีล เราจะไม่ลืมพระนิพพาน เราจะไม่ลืมนึกถึงความตาย

    ที่มา: ทางสายสู่พระนิพพาน พิมพ์โดย: พิบูลย์

    ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เราสักแต่ว่าเห็น เราสักแต่ว่ารู้ ไม่ยึดถือว่ามันเป็นเราของเรา ถ้าทำจิตอย่างนี้ได้จนเป็นเอกัคตารมณ์ มีปัญญาเห็นได้ชัด สามารถตัดขันธ์ห้า คือไม่เกี่ยวข้องกับขันธ์ห้าได้ ใจจะเป็นสุข ถ้าพิจารณาอย่างนี้ได้เสมอๆ จะไม่กำหนดรู้คำภาวนา ไม่กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกก็ได้

    พระพุทธเจ้ามีกฎแห่งการสอนอยู่ว่า

    ๑. สัพพปาปัสสะ อะกะระณัง ให้บรรดาพระสงฆ์และพระองค์เองก็เช่นเดียวกัน พยายามสอนให้ทุกคนละจากความชั่วทุกประเภท คือไม่ทำความชั่วทุกประเภท ไม่ทำ ไม่พูด และก็ไม่คิดซะด้วย
    ๒. กุสลัสสูปสัมปทา แนะนำให้ทำความดีทุกประการ
    ๓. สจิตตะปริโยทะปะนัง แนะนำสั่งสอนให้มีจิตใจผ่องใส คือไม่มีอารมณ์มัวหมอง มีอารมณ์สดชื่นอยู่เสมอ
    ๔. เอตัง พุทธานะสาสะนัง ท่านยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด

    ที่มา: แนะวิธีหนีนรกแบบง่ายๆ


    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ระมัดระวังเรื่องจิตใจให้มาก ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนให้ใช้อนุสสติ คือ ตามนึกถึงความดี คือนึกยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า ๑ ยอมรับนับถือพระธรรม ๑ ยอมรับนับถือพระอริยสงฆ์ ๑ นี่เรียกว่า เป็นพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ พยามยามนึกถึง ความดีของเทวดา นึกถึงความตายที่จะเข้ามาถึง นึกถึงอารมณ์ของพระนิพพาน อย่างนี้เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ต้องครบทั้งหมด องค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงสอนว่า ขึ้นชื่อว่าความชั่วที่ทำมาแล้วในกาลก่อน จงอย่าตามนึกถึงมัน นึกถึงความดีที่ทำไว้แล้วเท่านั้น ผลของความดีจะส่งผลให้เป็นสุข คือไปเกิดบนสวรรค์ได้ ที่มา: แนะวิธีหนีนรกแบบง่ายๆ ความเมตตากรุณา ใน 2 ประการนี้ องค์สมเด็จพระชินศรีทรงสอนว่า ในอันดับแรก อย่าเพิ่งแผ่เมตตาไปในบุคคลที่เราคิดว่าเป็นศัตรู ต้องยับยั้งไว้ก่อน ให้แผ่เมตตาคือ ความรัก กรุณาความสงสาร เฉพาะในบุคคลกลุ่มเดียวกัน มีอารมณ์ไจเหมือนกันเป็นกลุ่มคนที่เรารัก เพราะว่าถ้ามุ่งหน้าไปหาศัตรูแล้วก็จิตมันจะหวั่นไหว จนเมื่อกำลังใจของเรามั่นคงดีแล้วต่อไปเราก็ มองดูองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสงเคราะห์ไม่เลือกบุคคลใด เพราะกำลังใจเข้มแข็ง ความจริง พระเทวทัตเป็นศัตรูของพระองค์มานับแสนกัป แต่ตอนที่พระเทวทัตมา ก็บวชกับองค์สมเด็จพระบรมครู พระองค์ก็ไม่ทรงถือโทษ กลับให้การอุปสมบท สอนให้ได้อภิญญาสมาบัติ น้ำพระทัยขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ เห็นศัตรูเป็นมิตร มีจิตประกอบไปด้วยความเมตตาปรานี พระพุทธเจ้าทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น แต่ตอนนี้ต้องขอให้ ใจมันสูงเสียก่อนนะ กำลังใจเข้มแข็งเสียก่อน

    ที่มา: พรหมวิหารสี่
     
  2. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    ขออนุโมทนาสาธุธรรม เป็นอย่างสูง ครับ<O:p</O:p
     
  3. note_bank

    note_bank เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    380
    ค่าพลัง:
    +968
    กำลังโดนพอดีเลย

    ใครชอบใครชังช่างเถิด ใครเชิดใครแช่งช่างเขา

    อิอิ
     
  4. แงซาย ชายดอย

    แงซาย ชายดอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,028
    ค่าพลัง:
    +1,314
    สาธุ ครับ
     
  5. wara43

    wara43 ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2006
    โพสต์:
    9,108
    ค่าพลัง:
    +16,130
    fairy3(f) ขอโมทนาสาธุครับ สาธุ...(f)fairy3<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...