เมื่อพระยามัจจุราชมาทวงชีวิตข้าพเจ้า

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย tjs, 14 มิถุนายน 2013.

  1. ปาวา

    ปาวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2012
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +5,946
    มีวิธีที่จะแก้นิมิตได้เป็น ๓ อย่างคือ

    วิธีที่ ๑ ทำความนิ่งเฉย

    คือ พึงตั้งสติกำหนดจิตนั้นไว้ให้มั่นคง ทำความสงบนิ่งแน่วเฉยอยู่ในสมาธิ แม้มีนิมิตอะไรๆ มาปรากฏ หรือรู้เห็นเป็นจริงในจิตอย่างไร ไม่ต้องหวั่นไหวไป ตาม คือ ไม่ต้องส่งจิตคิดไป จะเป็นความคิดผิด ที่เรียกว่า จิตวิปลาส แปลว่า ความคิดเคลื่อนคลาด แปลกประหลาดจากความจริง นิ่งอยู่ในสมาธิไม่ได้ ให้ บังเกิดเป็นสัญญา ความสำคัญผิดที่เรียกว่า สัญญาวิปลาส แปลว่า หมายมั่น ไปตามนิมิต เคลื่อนคลาดจากจิตผู้เป็นจริง ทั้งนั้น จนบังเกิดถือทิฎฐิมานะขึ้นที่เรียก ว่า ทิฎฐิวิปลาส แปลว่า ความเห็นเคลื่อนคลาดจากความเป็นจริง คือเห็นไปหน้าเดียว ไม่แลเหลียวดูให้รู้เท่า ส่วนในส่วนนอก ชื่อว่าไม่รอบคอบ เป็นจิตลำเอียง ไม่เที่ยงตรง

    เมื่อรู้เช่นนี้จึงไม่ควรส่งจิตไปตาม เมื่อไม่ส่งจิตไปตามนิมิตเช่นนั้นแล้ว ก็ให้คอยระวัง ไม่ให้จิตเป็นตัณหาเกิดขึ้น คือไม่ให้จิตดิ้นรนยินดี อยากเห็นนิมิตนั้น แจ่มแจ้งยิ่งขึ้นก็ดี หรือยินร้ายอยากให้นิมิตนั้นหายไปก็ดี หรือแม้ไม่อยากพบ ไม่อยากเห็น ซึ่งนิมิตที่น่ากลัวก็ดี ทั้ง ๓ อย่างนี้ เรียกว่า ตัณหา ถ้าเกิดมีในจิต แต่อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ก็ให้รีบระงับดับเสีย คือถอนความอยาก และความไม่อยากนั้นออกเสีย เมื่อ นิมิตมีมา ก็อย่ายินดี เมื่อนิมิตหายไป ก็อย่ายินร้าย หรือเมื่อนิมิตที่น่ากลัวมีมา ก็อย่าทำความกลัว และอย่าทำความคดโกง อยากให้หายไปก็ไม่ว่า ไม่อยากให้หายไปก็ไม่ว่า อยากเห็นก็ไม่ว่า ไม่อยากเห็นก็ไม่ว่า ให้เป็น สันทิฏฐิโก คือเห็นเอง อยากรู้ก็ไม่ว่า ไม่อยากรู้ก็ไม่ว่า ให้เป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะกับจิต ตั้งจิตไว้เป็นกลางๆ แล้วพึงทำความรู้เท่าอยู่ว่า อันนี้เป็นส่วนจิต อันนั้นเป็นส่วนนิมิต แยกส่วนแบ่งส่วน ตั้งไว้เป็นคนละอัน รักษาเอาแต่จิต กำหนดให้ตั้งอยู่ เป็นฐีติธรรมเที่ยงแน่ว ทำความรู้เท่าจิตและนิมิตทั้งสองเงื่อน รักษาไม่ให้ สติเคลื่อนคลาดจากจิต ทั้งไม่ให้เผลอสติได้เป็นดี สติมา ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ถอนอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้แล้ว ก็เป็นผู้ตั้งอยู่ในวินัย เมื่อ ประกอบข้อปฏิบัติอันนี้อยู่อย่างนี้ สติก็ตั้งมั่น จิตก็ตั้งมั่นประชุมกันเป็นสมาธิดังนี้ เรียกว่า ญาตปริญญา แปลว่า รู้เท่าอารมณ์ฯ

    วิธีที่ ๒ ตรวจค้นปฏิภาคนิมิต

    คือ เมื่อเห็นว่าจิตมีกำลังประชุมกันอยู่เป็นปึกแผ่นแน่นหนาดีแล้ว พึงฝึกหัดปฏิภาคนิมิตให้ชำนาญ คือ เมื่อเห็นรูปนิมิตมาปรากฏในตา ในจิต เห็นเป็นรูปคน เด็กเล็ก หญิงชาย หนุ่มน้อย บ่าวสาว หรือแก่เฒ่าชรา ประการใดประการหนึ่งก็ตาม แสดงอาการแลบลิ้นปลิ้นตา หน้าบิดตาเบือน อาการใดอาการหนึ่งก็ตาม ให้รีบพลิกจิตเข้ามา กลับตั้งสติ ผูกปัญหาหรือทำในใจก็ได้ว่า รูปนี้เที่ยงหรือไม่เที่ยง จะแก่เฒ่าชราต่อไปหรือไม่ เมื่อนึกในใจกระนี้แล้วถึงหยุด และวางคำที่นึกนั้นเสีย กำหนดจิตพิจารณา นิ่งเฉยอยู่ จนกว่าจะตกลง และแลเห็นในใจว่า เฒ่าแก่ชราได้เป็นแท้ จึงรีบพิจารณาให้เห็นแก่เฒ่าชราหลังขดหลังโข สั่นทดๆ ไปในขณะปัจจุบันทันใจนั้น แล้วผูกปัญหาถามดูทีว่า “ตายเป็นไหมเล่า”

    หยุดนิ่งพิจารณาอยู่อีก จนกว่าจะตกลงเห็นในใจได้ว่า ตายแน่ตายแท้ไม่แปรผัน จึงรีบพิจารณาให้เห็นตายลงไปอีกเล่า ในขณะปัจจุบันทันใจนั้น “เมื่อตายแล้วจะเปื่อยเน่าตายทำลายไปหรือไม่” หยุดนิ่งพิจารณาเฉยอยู่อีก “จนกว่าจิตของเราจะตกลงเห็นว่า เปื่อยเน่าแตกทำลายไปหรือไม่” หยุดนิ่งพิจารณา เฉยอยู่อีก จนกว่าจิตของเราจะตกลงเห็นว่า เปื่อยเน่าแตกทำลายไปได้แท้แน่ในใจ ฉะนี้แล้ว ก็ให้รีบพิจารณาให้เห็น เปื่อยเน่า แตกทำลาย จนละลายหายสูญลงไป เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ไปตามธรรมดา ธรรมธาตุ ธรรมฐีติ ธรรมนิยามะ

    แล้วพลิกเอาจิต ของเรา กลับทวนเข้ามาพิจารณา กายในกายของเราเอง ให้เห็นลงไปได้อย่างเดียวกัน จนกว่าจะตกลง และตัดสินใจได้ว่า ร่างกายของเรานี้ ก็แก่เฒ่าชรา ทุพพลภาพแตกตาย ทำลาย เปื่อยเน่าไปเป็นเหมือนกัน แล้วรีบตั้งสติพิจารณา เห็นเป็นแก่เฒ่าชราดูทันที และ พิจารณาให้เห็น ตายลงไปในขณะปัจจุบัน แยกส่วนแบ่งส่วนออกดูให้เห็นแจ้งว่า หนังเป็นอย่างไร เนื้อเป็นอย่างไร กระดูกเป็นอย่างไร ตับไตไส้พุงเครื่องในเป็นอย่างไร เป็นของงาม หรือไม่งาม ตรวจดูให้ดี พิจารณาให้ละเอียด จนกว่าจะถอนความยินดียินร้ายเสียได้ แล้วพิจารณาให้เห็นเปื่อยเน่าผุพังลงถมแผ่นดินไป ภายหลังกลับพิจารณาให้เห็นเป็นคืนมาอีก แล้วฝึกหัดทำอยู่อย่างนี้จนกว่าจะชำนาญ หรือยิ่งเป็นผู้มีสติได้พิจารณาให้เนื้อ หนัง เส้น เอ็น และเครื่องในทั้งหลาย มีตับ ไต ไส้ พุง เป็นต้น เปื่อยเน่าผุพังลงไปหมดแล้ว ยังเหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า จึงกำหนดเอาร่างกระดูกนั้นเป็นอารมณ์ ทำไว้ในใจ ใคร่ครวญให้เห็น แจ้งอยู่เป็นนิจ จนกว่าจะนับได้ทุกกระดูกก็ยิ่งดี เพียงเท่านี้ ก็เป็นอันแก้นิมิตได้ดีทีเดียวฯ

    คราวนี้ถึงทำพิธีพิจารณาเป็น อนุโลม ถอยขึ้นถอยลง คือตั้งสติกำหนดจิตไว้ให้ดีแล้ว เพ่งพิจารณาให้เห็นผมอยู่บนศีรษะมีสีดำ สัณฐานยาว ก็จะหงอกขาวลงถม แผ่นดินทั้งนั้น และพิจารณาให้เห็นขน ซึ่งเกิดตามชุมชนตลอดทั่วทั้งกาย นอกจากฝ่ามือ ฝ่าเท้า ก็จะลงถมแผ่นดินเหมือนกัน พิจารณาเล็บที่อยู่ปลายนิ้วเท้า นิ้วมือ ให้เห็นเป็นของ ที่จะต้องลงถมแผ่นดินด้วยกันทั้งนั้น พิจารณาฟันซึ่งอยู่ในปากข้างบน ข้างล่าง ให้เห็นแจ้งว่า ได้ใช้เคี้ยวอาหารการกิน อยู่เป็นนิจ แต่ก็จะต้องลงถมแผ่นดิน เหมือนกัน

    คราวนี้พิจารณาหนังเบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา มีหลังหุ้ม อยู่เป็นที่สุดรอบ ยังชีวิตนี้ให้ตั้งอยู่ได้แล้วเป็นไป ถ้าถลกหนังนี้ออกหมดแล้วก็ต้องตาย ตายแล้ว ต้องถมแผ่นดิน พิจารณาเห็นความจริงฉะนี้ แล้วเลิกหนังออกวางลงไว้ที่พื้นดิน พิจารณาเส้นเอ็นให้เห็นแจ้งว่า เส้นเอ็นทั้งหลาย รัดรึงกระดูกไว้ให้ติดกันอยู่ เมื่อเลิกเส้นเอ็นนี้ออกหมดแล้ว กระดูกก็จะหลุดจากกัน ผุพังลงถมแผ่นดินทั้งสิ้น

    แล้วกำหนดเลิกเส้นเอ็นนี้ออกเสีย กองไว้ที่พื้นดิน พิจารณาร่างกระดูกให้เห็นแจ้งว่า กระดูกในร่างกายนี้มีเป็นท่อนๆ เบื้องต้นแต่กระดูกกะโหลกศีรษะลงไป เบื้องบนแต่ กระดูกพื้นเท้าขึ้นมา เห็นได้กระจายสมควร แล้วเพ่งเล็งพิจารณาดูเครื่องในทั้งหลาย ให้เห็นว่า ปอดอยู่ที่ไหน ม้ามอยู่ที่ไหน ดวงหฤทัยอยู่ที่ไหน ใหญ่น้อยเท่าไร เห็นตับไต ไส้พุง อาหารใหม่ อาหารเก่า เป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน มีรูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไร มีสีสันวรรณะเป็นไฉน เครื่องในทั้งปวงนี้ เป็นที่ประชุมแห่งชีวิตก็จริง แต่ก็จะต้องถม แผ่นดิน เมื่อพิจารณาเห็นฉะนี้แล้วจึงกำหนดให้ขาดตกลงไปกองไว้ที่พื้นดิน ยังเหลือแต่ร่างกระดูก จึงพิจารณาดูกระดูกกะโหลกศีรษะเป็นลำดับลงมา กระดูกคอ กระดูก แขน กระดูกหัวไหล่ กระดูกสันหลัง กระดูกซี่โครง กระดูกเอว กระดูกตะโพก กระดูก ต้นขากระดูกแข้ง กระดูกพื้นเท้า พิจารณาอย่างนี้เรียกว่า อนุโลมฯ

    คราวนี้พึงพิจารณาเป็น ปฏิโลม คือพิจารณาถอยกลับขึ้นเบื้องบนตั้งแต่กระดูกพื้นเท้าขึ้นไป ตลอดถึงกระดูกกะโหลกศีรษะ พิจารณาทบทวนกลับจากศีรษะ ถอยลงมาตรงหน้าอก นั้นให้มั่นคงทำในใจว่า ร่างกายทั้งหมดนี้มีจิตเป็นใหญ่ ประชุมอยู่ที่จิต จึงกำหนดรวมจิตเข้าให้สงบ แลตั้งอยู่เป็นเอกัคคตา วิธีที่ ๒ นี้ เรียกว่า ตีรปริญญา แปลว่า ใคร่ครวญอารมณ์ฯ

    ขอเตือนสติไว้ว่า ในระหว่างนี้กำลังพิจารณาอยู่นั้น ห้ามไม่ให้จิตเคลื่อนจากที่คิด ระวังไม่ให้ส่งจิตไปตามอาการ จิตจะถอนจากสมาธิ ถ้าจิตถอนจากสมาธิ เป็นใช้ไม่ได้ ข้อสำคัญให้เอาจิตเป็นหลัก ไม่ให้ปล่อยจิต ให้มีสติเพ่งเล็งให้รอบจิต พิจารณาให้รอบกาย รักษาใจไม่ให้ฟุ้ง จึงไม่ยุ่งในการพิจารณาฯ

    วิธีที่ 3 เจริญวิปัสสนา

    คือ เมื่อผู้ปฏิบัติทั้งหลายได้ฝึกหัดจิตมาถึงขั้นนี้ มีกำลังพอพิจารณาปฏิภาคนิมิตได้ชำนาญคล่องแคล่วเป็นประจักขสิทธิ ดังที่อธิบายมาแล้ว และกำหนดจิตรวมเข้าไว้ในขณะจิตอันเดียว ณ ที่หน้าอก ตั้งสติพิจารณาดูให้รู้รอบจิต เพ่งพินิจให้สว่างแลเห็นร่างกระดูกทั่งทั้งกาย ยกคำบริกรรมวิปัสสนา วิโมกขปริวัตรขึ้นบริกรรมจำเพาะจิตว่า

    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สพฺเพ ธมฺมา อนิจฺจา สพฺเพ ธมฺมา ทุกฺขา

    ให้เห็นร่างกระดูกทั้งหมดเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ควรถือเอา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ กำหนดให้เห็นกระดูกทั้งหลายหลุดจากกันหมด ตกลงไปกองไว้ ที่พื้นดิน

    คราวนี้ตั้งสติให้ดีรักษาไว้ซึ่งจิต อย่าให้เผลอ ยกคำบริกรรม วิปัสสนานั้นอีก เพ่งพิจารณาจำเพาะจิต ให้เห็นเครื่องอวัยวะที่กระจัด กระจายกองไว้ที่พื้นดินนั้น ละลายกลายเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ถมแผ่นดินไปหมด กำหนดจำเพาะจิตผู้รู้ เพ่งพินิจพิจารณาให้เห็นพื้นแผ่นดิน กว้างใหญ่เท่าไร เป็นที่อาศัยของสัตว์ทั้งโลก ก็ยังต้องฉิบหายด้วยน้ำ ด้วยลม ด้วยไฟ ยกวิปัสสนาละลายแผ่นดินนี้เสีย ให้เห็นเป็นสภาวธรรม เพียงสักว่าเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเท่านั้น รวบรวมเอาแต่จิต คือผู้รู้ ตั้งไว้ให้เป็นเอกจิต เอกธรรม สงบนิ่งแน่วอยู่ และวางลงเป็นอุเบกขา เฉยอยู่กับที่ คราวนี้จะแลเห็นจิตนั้นแจ่มแจ้งยิ่งขึ้นทีเดียว ก้าวล่วงจากนิมิต ได้ดี มีกำลังให้แลเห็น อำนาจอานิสงส์ของจิต ที่ได้ฝึกหัดสมาธิมาเพียงชั้นนี้ ก็พอมีศรัทธาเชื่อในใจของตน ในการที่จะกระทำความเพียรยิ่ง ๆ ขึ้นไป วิธีนี้ 3 นี้ เรียกว่า ปหานปริญญา แปลว่า ละวางอารมณ์เสียได้แล้ว

    คัดลอกบางตอนจากหนังสือพระไตรสรณคมน์และสมาธิวิธี
    พระญาณวิศิษฎ์สมิทธิวีราจารย์ (พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม)
    วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา
     
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    เราจะวางเฉยในนิมิตและไม่ยึดติดในนิมิต

    เพียงแต่เราจะอาศัยเหตุและผลของนิมิตเป็นปัญญาหาทางออกสู่ธรรมเพื่อแก้ไขวิบากกรรมและนำไปสู่ความพ้นทุกข์ เพื่อการก้าวไปสู่ทางธรรม อันเป็นปัญญาทางธรรมขั้นสูงยิ่งๆขึ้นไปครับ

    ขอบคุณทุกท่านที่แนะนำสิ่งดีๆให้กันและกันครับ สาธุ
     
  3. sujitra

    sujitra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +73
    คุณTis

    ขอบคุณมากๆนะคะ
     
  4. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ==========

    ตอบให้วันจันทร์นี้นะครับ มีอะไรต้องคุยกันเยอะเลยครับ สาธุ
     
  5. ณิช

    ณิช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,391
    คุณ tjs รบกวนสอบถามค่ะ
    1,กลิ่นหอมในห้องพระที่ได้กลิ่นเวลาเราทำภาวนา เป็นกลิ่นของท่านใดคะ กลิ่นที่สัมผัสได้นั้นไม่ได้กลิ่นตลอดเวลา ได้กลิ่นเป็นช่วงๆ ไม่ทุกวัน ช่วงปีสองปีที่แล้ว ได้กลิ่นเกือบทุกวัน ไม่ใช่กลิ่นดอกไม้ที่บูชาแน่นอน เป็นกลิ่นหอมแบบโบราณๆ ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมฝรั่ง ช่วงสองปีก่อนนั้น กลิ่นชัดมากจนนั่งไม่ติด เกิดอาการเกร็งนิดหน่อย เหมือนมีความรู้สึกว่า ไม่ใช่มีเราคนเดียวในห้องพระแล้ว
    2,เวลาเราทำภาวนา แล้วมีเสียงดังบ่อยขึ้น บางทีระดับเสียงดังมากขึ้น เป็นเสียงที่เห็นตัวตนค่ะ คุณtjs แนะนำคราวที่แล้วบอกว่าเป็นเสียงของลูกทีแท้งไปเขาเล่นซุกซน กลัวค่ะ นั่งหลุดออกจากสมาธิเลยค่ะ จะทำยังไงคะเพื่อให้นั่งต่อ แล้วไม่กลัว เคยพยายามไม่ให้กลัวแต่ไม่ได้ผล ยอมรับว่ากลัวค่ะ เมื่อปีกว่าๆที่ผ่านมามีบอกกับเจ้าของที่ทำเสียงไม่ให้ทำเสียงดัง แต่ก็ยังมีเสียงอยู่ แต่เบาลงค่ะ จริงแล้ว ณิชได้เย็นเสียงดังในห้องพระนี้ก่อนแท้งลูกด้วย เลยไม่แน่ใจเหมือนกันว่า มีกี่คนหรือองค์ที่ทำเสียงนี้

    หากทราบหรือเห็นใดๆ ขอข้อแนะนำด้วยค่ะ สาธุค่ะ
     
  6. ณิช

    ณิช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,391
    ข้อสอง ขอแก้ค่ะ เป็นเสียงที่ไม่เห็นตัวตนคนทำเสียงค่ะ
     
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ========

    ตอบข้อ1
    กลิ่นหอมเป็นกลิ่นของ นางไม้นางหนึ่งที่เขาดูแลอยู่ที่นั่นครับ เป็นนางไม้รูปร่างสวยงามผมดำยาวหยักโศกเล็กน้อย นุ่งผ้าสีเขียว เสื้อแขนยาวสีชมพูมีสไบเฉียงครับ ที่บริเวณบ้านจะมีต้นไม้ต้นหนึ่งขนาด1คนโอบไม่ใหญ่มาก ปกติเธอจะอยู่ที่นั่นครับ ต้มไม้ต้นนี้ผมไม่แน่ใจเหมือนจะโดนโค่นไปนานแล้วครับ เพราะปัจจุบันมองไม่เห็นแล้วครับหรือยังมีอยู่ไม่แน่ใจครับ กลิ่นที่ได้กลิ่นนั้นเป็นกลิ่นของดอกไม้ชนิดหนึ่งครับ กลิ่นหอมอีกส่วนหนึ่งจะมาจากจิตของสมเด็จพ่อ ร5 ครับ เมื่อเวลาที่ท่านมา แต่ท่านจะนานๆมาทีครับไม่ได้มาบ่อย

    ตอบข้อ2
    เสียงที่ได้ยินและดังนั้น เป็นของเจ้าที่ ท่านหนึ่ง ที่ดูแลที่นั่น เป็นชายผิวดำแดงรูปร่างกำยำวัยกลางคน เสื้อไม่ใส่ เตียวผ้าขาว บางทีก็นุ่งเตียวผ้าแดง ท่านต้องการทดลองกำลังใจของคุณดูเรื่องสมาธิ ไม่ต้องไปกลัวท่าน ขอให้บอกกล่าวท่านและทำบุญให้ท่านด้วยเสมอๆจะดีครับ ท่านเป็นจิตที่ดูแลสถานที่ที่คุณอยู่ ครับ เจ้าที่จะสองส่วนคือ
    -เจ้าที่ตายาย ตรงนี้คุณทำให้ท่านดีอยู่แล้ว
    -เจ้าที่ชายผิวดำแดงที่กระผมบอก ตรงนี้คุณยังไม่รู้ว่ามีอยู่ด้วย จึงอยากให้ระลึกถึงท่านด้วยครับว่ามีท่านอีกพระองค์ที่เป็นเจ้าที่ดูแลสถานที่นี้อยู่ครับ ท่านดุแต่ใจดีครับ

    ก็ขอให้ตั้งใจดีและพยายามนั่งสวดมนต์ภาวนาให้มากฝึกจิตให้มากแล้วจะเกิดผลดีนานาประการแก่คุณครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2013
  8. ณิช

    ณิช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,391
    ขอบคุณมากค่ะ คุณ tjs เมื่อก่อนบริเวณที่อยูนี้เป็นหนองน้ำกว้างค่ะ ก็เป็นธรรมชาติ มีปลาเยอะ ตอนหลังแสนสิริซื้อแล้วก็กลบดินปลูกเป็นหมู่บ้านจัดสรร บางครัังหางตาก็ชอบเห็นร่างคนไวๆผิวดำ อาจจะเป็นเจ้าที่ก็ได้ค่ะ เห็นได้กลิ่นได้ยินจนบางครั้งตัวเองคิดว่าตัวเองตาพร่าหูพร่าค่ะ เพราะตัวเองไม่สามารถเห็นของละเอียดได้ค่ะ แต่คุณtjsช่วยแนะนำก็จะได้อุทิศให้เจ้าที่ทั้งหมดค่ะ บางครั้งก็เกือบลืมนึกถึงเจ้าที่ค่ะ
    วันนี้ทำสมาธิตอนเช้านึกถึงว่า ถ้าได้เห็นนรกบ้างก็คงดี จะได้ทำให้เร่งความเพียรมากขึ้น ไม่เคยเห็นอะไรกับใครเขาค่ะ เดือนหน้าต้นเดือนนี้ จะถวายทองคำ หนึ่งบาท หลวงพี่เล็กวัดท่าขนุน ขออฺุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรคุณtjs ด้วยค่ะ อุทิศให้แล้วค่ะ สาธุ
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    =======

    ตอบให้แล้วครับ สงสัยอะไรเพิ่มเติม ถามกลับมาใหม่ได้นะครับ
    ยินดีครับ

    เรื่องทำบุญ ทาน สีล ภาวนา คุณควรเริ่มทำอย่างจริงจังและค่อยๆทำไปเรื่อยๆเพิ่มขึ้นตามกำลัง แล้วชีวิตปั้นปลายของคุณจะดี ปลอดภัยจากโรคภัย ก็จะหาย และการงานเงินจะดี ครอบครัวก็มีความสุขครับ สาธุ

     
  10. sujitra

    sujitra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +73
    รบกวนลบข้อความส่วนนี้ทิ้งได้มั้ยค่ะ มันโชว์วันเดือนปีเกิดค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  11. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ========

    ลบให้แล้วครับ
     
  12. sujitra

    sujitra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +73
    ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ
     
  13. ไกสร

    ไกสร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +53
    ผมก็อีกคนหนึ่งซึ่งปฏิบัติจนได้รับรู้อดีตของตัวเอง ผมคนนึงก็ต้องได้รับความทุกข์แทบเป็นแทบตายจากการปวดศรีษะบ้าง (เพราะเคยใช้ที่บีบขมับทรมานนักโทษกบฎในอดีต) ต้องปวดหลังเดินเหินไปไหนก็ปวด (เพราะเวลาโมโหชอบเตะชอบถีบข้าทาสบริวาร) ต้องเกือบนิ้วขาด (เพราะเคยใช้เชนาะนิ้วเพื่อเค้นความจากนักโทษ) ถึงแม้เราจะทำดีเพื่อแผ่นดิน แต่มันก็อยู่ในกฎแห่งกรรม ไม่มีใครหนีพ้น
    ผมอนุโมทนาสาธุกับบุคคลผู้มีความรักษ์ชาติบ้านเมืองและพระศาสนา ชาตินี้ผมจะไม่เบียดเบียนใครอีก แต่จะใช้คุณธรรมที่มี เพื่อพัฒนาชาติบ้านเมืองและพระศาสนา จนกว่าจะถึงที่สิ้นสุดแห่งธรรม
     
  14. พิพัฒน์99

    พิพัฒน์99 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +54
    สวัสดีครับคุณ tjs ขอสอบถามทาง PM ด้วยคนนะครับ ขอบคุณครับ

    ส่งไปทาง PM แล้ว แต่ไม่ทราบว่าส่งออกไหม มันขึ้น error ครับ ถ้ายังไงรบกวนตอบด้วยนะครับ

    แต่ถ้าไม่ได้รับ ผมจะส่งไป PM อีกครั้ง ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2013
  15. LovePig

    LovePig เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +283
    ขอขอบคุณกับประสบการณ์ ที่พี่ tjs มาแชร์ให้ฟังนะครับ

    ผมขอถามพี่บางข้อนะครับ พอดีมีข้อสงสัย (อาจจะอ่านตกหล่น รึไม่เข้าใจบางประการ)

    1. ดูจากกระทู้ หลายๆหน้า และ พระโพธิสัตว์มาขอบิณฑบาตร ได้อ้างถึงความดีที่พี่ทำนานาประการ ( ผมสงสัยว่า ) ชาตินี้ ที่พี่เกิดทำได้ทำความดีมากมาย พากเพียรฝึกฝนสมาธิถึงขั้น สื่อสารกับพยามัจจุราชได้ แล้วทำไม ท่านพยามัจจุราช จึงจะนำท่านไป (รึว่าพยามัจจุราช นำไปพิพากษาแล้วค่อยขึ้นสวรรค์) คิดว่าคนที่ทำความดีเสียชีวิตไปแล้วจะขึ้นสวรรค์เลย ไม่ต้องให้ท่านพยามัจจุราช ที่มีรูปร่างน่าเกรงขามดุดัน มาพาไปเสียอีก

    2.ชาติที่แล้ว อาจจะทำบาปหลายๆอย่าง แต่ชาตินี้ได้เกิดเป็นมนุษย์ ร่างกายครบ 32 ประการ ไม่พิกลพิการ (นึกว่าได้ชดใช้กรรมที่ได้ทำบาป เป็นที่เีรียบร้อยแล้วถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์) เพราะนึกถึงเสมอว่า การเกิดมาเป็นมนุษย์ เพื่อเร่งปฏิบัติธรรมเพื่อไม่ให้เกิดอีกในชาติต่อๆ ไป แต่การเกิดในสภาวะแวดล้อมทีแตกต่างกัน ทำให้การเข้าถึงนิพพาน แต่ละคน ยากง่าย ต่างกัน
    - อาจจะเป็นไปได้ว่า เราชดใช้บาปกรรมในนรก เมื่อทำบาปในชาติที่แล้ว แต่เมื่อเกิดเป็นคนในชาตินี้ ทำให้ วิญญาณที่อาฆาต มาทำให้เราปวดหัว เป็นอะไรที่ทำให้ร่างกายเราปฏิบัติธรรม ยากขึ้นการเข้าึุถึงนิพพาน ยากขึ้น รึป่าว
     
  16. srisansuk

    srisansuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +201
    อนุโมทนาบุญและขอสอบถามด้วยครับ
    1.คุณแม่ผมจะถูกวิณญาณของญาติหรือของคนรู้จักมาสิง
    บ่อยมาก เหมือนสื่อให้ลูกหลานว่าเป็นห่วงคนในบ้านเป็นต้น
    ทำให้ผมเป็นห่วงสุขภาพแม่ผมมากเพราะแม่อายุมากแล้ว 83 โดยประมาณ
    เราจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรครับ
    2.ผมเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมเพราะผมกำลังชดใช้มันอยู่
    ทุกวันนี้ก็สวดมนต์ไหว้พระทำสมาธิทุกวัน
    อยากสอบถามว่าถึงจุดต่ำสุดหรือยังครับ
    3.เมื่อเวลาสวดมนต์แทบทุกครั้งจะมีเสียงจิ้งจกร้องทุกครั้ง
    ไม่ทราบว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า
    ขอบคุณครับ คำถามอาจจะสับสนไปบ้าง
    แต่เกิดจากคำว่า อยาก คำเดียวเท่านั้นครับ
     
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ข้อสองที่กล่าวมีถูกต้องแล้วครับ มันเป็นไปอย่างนั้นจริงทุกประการครับ
    ทีนี้หากเราปฏิบัติมาได้มากแล้ว การได้อภิญญารู้แจ้งในอดีตังคสญาณ หรือเจโตปริยญาณก็มีประโยชน์มาก ตรงนี้จะทำให้เราทราบในวาระแห่งกรรมเพื่อการแก้ไขให้ถูกต้อง จะได้ขจัดอุปสรรค์ออกไปให้หมด เมื่อหมดแล้ว ทางเดินสู่มรรควิธี สู่พระนิพพานก็เป็นเรื่องไม่ยากก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของท่านแล้วครับ สาธุ
     
  18. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ทุกท่านที่ถามpmมาตอบให้เกือบหมดเหลือท่านเดียวแล้วครับ ไว้ตอนบ่ายนะครับ
     
  19. อริยะบุคคล

    อริยะบุคคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +476
    พญามัจจุราชเรายังไม่เคยเจอ เคยแต่มีพระดูดวงให้บอกว่าอายุสั้นให้สะเดาะเคราะห์ เรากลับบอกว่าเราไม่ทำเพราะเราไม่อยากอยู่แล้ว พระท่านบอกว่าโง่รู้แล้วไม่ทำแต่ในใจเราก็ปฏิบัติมาจึงไม่กลัวกรรมเพราะเรามั่นใจในสิ่งที่ทำ และถ้าเจอท่านมัจจุราชเราก็คงให้ชีวิตท่านไปขอให้การจากไปของเราสามารถสอนให้มนุษย์ทำดีกลัวบาปกรรมก็พอ
     
  20. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    คุณไม่ได้คิดไปเอง และผมก็เป็นเช่นคุณครับ ลองสังเกตุดูว่า ไม่ว่าเราจะเลื่อนเวลาไปสวดมนต์ตอนไหน มันก็จะตามเราไปด้วยเสมอครับ เป็นมานานแล้วครับ ทั้งที่บ้านและที่พักที่ทำงานครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...