เรื่องเด่น อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๗๙ : หมาเกิดเป็นเทวดา

ในห้อง 'อดีตที่ผ่านพ้น' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 9 ตุลาคม 2019.

  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,672
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,552
    ค่าพลัง:
    +26,394
    79.jpg
    อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๗๙ : หมาเกิดเป็นเทวดา

    “มีด้วยหรือ หมาเกิดเป็นเทวดา...?” มีซิจ๊ะ...บรรดาสัตว์ต่าง ๆ ก็สร้างบุญทำบาปได้เหมือนคนเรานี่แหละ มีทั้งไปสุคติและตกอบายภูมิ อย่างเอราวัณเทพบุตรก็ช้างไปเกิดเป็นเทวดา กากะเปรตก็กาไปเกิดเป็นเปรตอย่างไรล่ะ...

    หมาเกิดเป็นเทวดา ต้องดูตัวอย่างนายโกตุหลิกะ นายนี่ประสบทุพภิกขภัย พาเมียอพยพไปหาที่อุดมสมบูรณ์ใหม่ อดแทบตายกลางป่า ขนาดลูกยังต้องทิ้งให้ตาย ข้ามป่าข้ามเขาไปเจอบ้านของเศรษฐีต่างเมืองก็เข้าไปของานทำ...

    เศรษฐีกำลังกินข้าวอยู่พอดี เห็นสองผัวเมียหิวซ่กมาก็สงสาร ให้คนใช้จัดอาหารมาให้ ส่วนท่านเศรษฐีเองกินข้าวมธุปายาส มีหมาตัวหนึ่งที่ท่านรักมากอยู่ใกล้ ๆ กินไปก็ป้อนหมาไปด้วย น่าอร่อยนิ...

    นายโกตุหลิกะหิวตาลายมาหลายวัน ได้อาหารมาก็ฟาดเรียบในพริบตา ฝ่ายภรรยาก็แสนดี เห็นสามีหิวจัดตัวเองก็สู้ยอมอด ยกอาหารส่วนของตนให้สามีกินต่อไป นายโกตุหลิกะก็ยอดสุภาพบุรุษ เห็นผู้หญิงยอมอดก็รีบฉลองศรัทธา (ให้ตายเถอะโรบิ้น...)

    กินไปมองหมาไป “หมาตัวเมียซะด้วย นางนี่วาสนาดีกว่าตูเป็นร้อยเท่า ตูอดแทบตายห่...มันมีข้าวมธุปายาสกินทุกวัน อ้วนท้วนขนเป็นมันเชียว อิจฉาเว้ย ตูไม่ไปเกิดเป็นหมาท่านเศรษฐีบ้างก็แล้วไป...”

    แดก...ขออภัย...กินแบบไม่ยอมหายใจ แทนที่จะดีกลับกลายเป็นโทษ อดกระเพาะกลวงมาหลายวัน ยัดทะนานลงไปแบบนั้น ลมเลยตีขึ้นจุกชักตาตั้ง ยังไม่ทันจะช่วยปฐมพยาบาล จิตวิญญาณก็ปิ๋วออกจากร่าง เท่งทึงไปทันที (ตายจริง ๆ ว่ะโรบิ้น...)

    ก่อนตายจิตจับอยู่กับหมา เลยวิ่งจู๊ดเข้าท้องหมาไปเลย (ชิงหมาเกิด) สามเดือนต่อมาก็โผล่หน้ามาเป็นหมาท่านเศรษฐีสมใจนึก พอเติบโตเจริญวัย ก็ติดตามท่านเศรษฐีไปไหนมาไหนตลอด อาศัยตายจากคนไปเป็นหมา เลยมีความฉลาดมาก...

    ท่านเศรษฐีมีกิจวัตรที่น่าโมทนาอย่างยิ่งประการหนึ่ง คือทุกวันต้องไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้ามารับบาตรที่บ้าน เจ้าหมาน้อยก็ตามไปทุกวัน มาภายหลังอาศัยความฉลาดของมัน จำงานประจำของท่านเศรษฐีได้ เลยไปนิมนต์ซะเอง...

    ไปถึงก็เห่านิมนต์ พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็มารับบาตร โดยมีเจ้าหมาน้อยนำทางให้ เป็นแบบนี้ทุกวัน จนเจ้าหมาน้อยผูกพันรักใคร่ในองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นหนักหนา จนกระทั่งวันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าจะเสด็จกลับภูเขาคันธมาศ ก็บอกลาท่านเศรษฐี...

    เจ้าหมาน้อยทราบเข้าก็สุดแสนจะเสียใจ ทั้งเห่าทั้งหอนอย่างไรพระผู้เป็นเจ้าท่านก็ไม่กลับมา เลยเกิดอาการหัวใจสลาย (สมัยหนุ่ม ๆ เคยเป็น แฮ่...) ตายไปอีกที คราวนี้อาศัยจิตผูกพันกับพระปัจเจกพุทธเจ้า เลยไปเกิดเป็นเทวดา...

    อาศัยทำบุญมาด้วยเสียง แค่เจ้าประคุณกระซิบก็ดังไปเป็นโยชน์ ถ้าพูดเต็มเสียงจะได้ยินไปทั่วดาวดึงส์ (หนวกหูตายห่...) เลยได้นามใหม่ว่า “โฆสกเทพบุตร” คอยทำหน้าที่เป็นโทรโข่ง มีเรื่องต้องการประชุมเทวดา พ่อเรียกทีเดียวได้ยินกันทั่วเลย...

    นั่นเป็นหมาในธรรมบท ทีนี้มาดูหมาที่อาตมาพบเองบ้าง "หลวงพ่อ" เล่าว่า เมื่อมาอยู่วัดท่าซุงใหม่ ๆ ไม่มีหมาสักตัว พักเดียวเท่านั้น มาซะ ๒๐ กว่าตัว ท่านบอกว่า “ดูลักษณะแล้วเป็นหมาดีทั้งนั้น...” วิธีดูลักษณะหมาดูอย่างนี้...

    “ให้ดูตรงตุ่มใต้คาง จะมีขนแข็ง ๆ ขึ้นอยู่ที่ตุ่มนั้น ถ้าขน ๒ – ๓ เส้น ส่วนใหญ่เป็นหมาที่เกิดจากเทวดาหรือพรหม ถ้าขนเส้นเดียวเป็นราชาหมา ไปไหนหมาอื่นจะกลัวเกรง ส่วนใหญ่มาสูง ถ้าเจ้าของมาต่ำกว่าเขาจะไม่อยู่ด้วย จะหนีไปหาผู้ที่มาเสมอกัน หรือผู้ที่มาสูงกว่า ถ้าขน ๔ เส้นขึ้นไปจะเป็นหมาดื้อ เลี้ยงยาก พูดกันไม่รู้เรื่อง...”

    อาตมาเองเข้ากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ ไม่มีหมาสักตัว อยู่ไปจนก่อนบวชมีซะ ๑๑ ตัว หมาคนอื่นหนีมาอยู่ด้วยทั้งนั้น เจ้าของมาลากตัวกลับไปก็ไปพักเดียว เดี๋ยวหนีมาอีกแล้ว มาบวชอยู่วัดท่าซุงก็เหมือนกัน หมาคนอื่นเขาเลี้ยงแท้ ๆ อาตมาไม่ได้เลี้ยงมันสักนิด มาอยู่ด้วยซะ ๘ ตัว ถึงเวลากลับไปกินที่เจ้าของเดิม อิ่มแล้วมาออกันเต็มหน้ากุฏิเลย...

    หมาของวัดท่าซุงส่วนใหญ่ประเภทขน ๒ – ๓ เส้นทั้งนั้น เคยเจอขนเส้นเดียวแค่ ๒ ตัว คือ “เจ้ามะดัน” เจ้านี่อายุไม่เต็มสองเดือนก็ป่วยตาย มันแน่ขนาดกัดตัวโตกว่าเพื่อแย่งอาหาร...อีกรายก็ “เจ้าตี๋น้อย” รายนี้ตามออกบิณฑบาตทีไร ทำเอาหมาเจ้าถิ่นเสียฟอร์มทุกที วิ่งมาจะรุมฟัด กลายเป็นโดนเจ้าตี๋น้อยไล่กัดกระเจิงทุกทีไป...

    หมาที่วัดท่าซุงมีอยู่มาก แต่ประเภทเด่น ๆ ควรแก่การจดจำมีไม่กี่ราย รายแรกก็ “เจ้าใหม่” เจ้านี่แสบมาก ทำสถิติกัดคนมานับไม่ถ้วน กระทั่งพระก็ไม่ละเว้น กัดจนหลวงพี่วิรัช (พระปลัดวิรัช โอภาโส) กลัวมันยิ่งกว่าเสือ ขนาดถือไม้มาเตรียมป้องกันตัวเต็มที่ เจ้าใหม่คำรามแฮ่เดียว พี่ท่านมืออ่อนตีนอ่อนร่วงไปให้มันกัดแต่โดยดี...!

    อาตมาเองเป็นคนเดียวที่กล้าจับมันทายาแก้ขี้เรื้อน ขนาดนั้นก็ตาม พอมันไม่พอใจขึ้นมา มันฟัดจนอาตมามือแปไปเกือบสี่เดือน ซึ่งก็พอกันกับเวลามันไล่กัดคนอื่น ก็จะถูกอาตมายิงกบาลด้วยหนังสติ๊กเป็นประจำ กลายเป็นคู่กัดไปโดยปริยาย

    วันหนึ่ง...เจ้าตัวแสบหายสาบสูญไป ปกติมันต้องวิ่งนำหน้ารถ "หลวงพ่อ" ทุกวัน ถ้าใครขวางหรือเข้าใกล้ "หลวงพ่อ" ตอนนั้นกระจุยแน่ มันหายไปสองวัน พวกเราตามหากันให้ควั่ก หาเท่าไรก็ไม่เจอ คืนนั้นเอง...มันก็ไปหาอาตมาถึงบนกุฏิ...

    มันตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา กลัวอาตมาจะจำมันไม่ได้ มาหาทั้งทีแบกเอาหน้าหมามาอย่างเดิม บอกว่า “ผมตายแล้วครับ...” พลางทำภาพให้ดู เสือกทะลึ่งไปดึงผักตบชวาเล่น พลาดตกน้ำจมตายขึ้นอืด กลิ่นเหม็นหึ่งไปทั่วห้องเลย...

    เล่นสีกลิ่นรสพร้อมแบบนี้ไม่ค่อยโสภาว่ะ มีอะไรก็ว่ามา...ไอ้ท่านใหม่ขอส่วนกุศลนะซิ...เจริญนะเอ็งนะ...ขอใครไม่ขอ ดันมาขอคู่กัดเลย อุทิศให้ไปแล้วพร้อมสัญญาว่า จะถวายสังฆทานให้ด้วย รุ่งขึ้นก็แจ้งเรื่องกับเพื่อนพระและตำรวจ...

    ตำรวจวัดไม่มีปัญหา เขาเชื่อง่าย ๆ แต่พระด้วยกันซิ จ้องจับผิดกันจัง ไปรายงาน "หลวงพ่อ" เพื่อขอคำยืนยัน "หลวงพ่อ" บอกว่า “ท่านใหม่เขาไปเป็นเทวดาจริง ๆ ตอนนี้อยู่ชั้นดาวดึงส์ ปกติเขาต้องอยู่ดุสิต เพราะเป็นพระโพธิสัตว์ ถามเขาดูแล้วว่าทำไมไม่ไปอยู่ดุสิต เขาตอบว่า ไม่อยากถูกนิมนต์มาเทศน์ที่เทวสภาตอนวันพระ เลยหลบมาแค่ดาวดึงส์...”

    อีกรายก็ “เจ้าทหาร” รายนี้ตามไปทำวัตรนั่งกรรมฐานทุกวัน พอรถออกจากหน้าโบสถ์ไปวิหาร ๑๐๐ เมตร เจ้าทหารต้องปร๋ออยู่บนรถก่อนแล้ว เวลาพระนั่งลงตามลำดับเพื่อทำวัตร ตรงไหนว่างเจ้าทหารจะไปเกาขี้เรื้อนประจานพระรูปนั้น ว่าเอาเข้าจริงแล้ว ขี้เกียจกว่าหมาอย่างมันซะอีก...!

    พระขึ้นโยโส ภควา...เจ้าทหารหมอบลงปั๊บ จิตทรงฌานนิ่งเลยนะ...พอจบทำวัตรกราบพระ เจ้าทหารจะคลายจิตออกมา สะบัดเนื้อสะบัดตัว วิ่งไปหาที่เตรียมทำกรรมฐานต่อ พอเริ่มสมาทานมันก็เข้าฌานปั๊บเลย อุทิศส่วนกุศลเสร็จก็สะบัดตัวพรืด วิ่งไปขึ้นรถเตรียมกลับ มันแน่ขนาดทรงฌานตั้งเวลาได้เป๊ะเชียวล่ะ...!

    พอเจ้าทหารตาย "หลวงพ่อ" บอกว่า “ไปเป็นพรหม เนื่องจากอานิสงส์ทรงฌาน...!” เป็นอย่างไร...? อาตมานี้อายหมาแทบแย่...!

    ๕ ตุลาคม ๒๕๓๕
    พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ที่มา www.watthakhanun.com
    ภาพประกอบโดย สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...