เรื่องเด่น เหตุใดพระสีวลีท่านมีลาภมาก

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 10 ตุลาคม 2022.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,319
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,274
    ค่าพลัง:
    +9,590
    32154.jpg

    เหตุใดพระสีวลีท่านมีลาภมาก


    ถาม : ...........
    ตอบ : ลักษณะการทำบุญปิดท้ายจะมีลาภมากแบบพระสีวลี ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงรุ่นเก่า ๆ จะรู้ดี ทำบุญปิดท้ายไปเรื่อย ปิดไม่รู้จักจบ คนโน้นปิดคนนี้ก็ปิดต่อไปเรื่อย เพราะว่าพระสีวลีท่านทำบุญปิดท้ายรายการบุญใหญ่ของคนอื่นเขา ท่านจึงมีลาภมาก

    เนื่องจากว่าสมัยนั้นท่านเกิดเป็นคนจน มีอาชีพตัดฟืนอยู่ในป่า ตอนนั้นระหว่างชาวบ้านกับพระราชาเขาแข่งกันอยู่ แข่งกันทำความดีถือว่าน่าสรรเสริญ ชาวบ้านกับพระราชาเขาแข่งกันทำบุญ ลักษณะว่าใครจะทำบุญถวายพระพุทธเจ้าได้ดีกว่ากัน พอถึงเวลาพระราชาท่านก็จัดโน่นจัดนี่มาให้ดีกว่าชาวบ้าน ทีนี้กำลังของพระราชาเองถ้าไม่เกณฑ์ชาวบ้านนี่ถ้าจะเอาดีก็คงจะได้ไม่เท่าไร ชาวบ้านพอสู้ได้เพราะคนเยอะกว่าก็ช่วยกันสรรหามา

    จนกระทั่งถึงครั้งสุดท้ายชาวบ้านเขากะจะเกทับให้พระราชาไม่มีโอกาสกระดิก ทำบุญครั้งนี้จะหาของทุกอย่างที่พึงจะถวายพระมาให้ครบ ปรากฏว่าพอหามาแล้วขาดน้ำผึ้งสดจากรวงอย่างเดียว น้ำผึ้งเก่ามีแล้ว อยากจะได้ที่คั้นสด ๆ ถวายพระเลย บรรดาท่านที่เป็นหัวหน้าก็ประกาศให้ลูกน้องนำเงินคนละ ๑ พันกหาปณะไปยืนรอที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ทิศ ใครมีรวงผึ้งสดมาให้ขอซื้อจากเขา ให้ราคาไปเรื่อยให้จนกระทั่งหมดพันกหาปณะนั่นแหละ เชื่อว่าคนเขาต้องขายให้อยู่แล้ว เพราะปกติราคาไม่ถึงกหาปณะด้วยซ้ำไป หนึ่งกหาปณะในปัจจุบันถ้าเทียบอัตราเท่ากับ ๔ บาท หรือ ๑ ตำลึง แต่อย่าลืมว่า ๔ บาทโบราณนี่ค่ามหาศาลเลยนะ

    คราวนี้พระสีวลีท่านเป็นชายตัดฟืน บังเอิญวันนั้นไปเจอรังผึ้งเข้า ก็เลยตัดรังผึ้งแบกมาด้วย พอมาถึงประตูเมือง บรรดาเจ้าของทานทั้งหลายที่มารออยู่ พอเห็นเข้าก็ขอซื้อ บอกว่า "นี่

    พ่อคุณ..เราขอซื้อผึ้งรวงของท่านในราคา ๑ กหาปณะจะขายไหม ?" พระสีวลีท่านได้ยินก็สะดุดใจ ท่านเป็นคนฉลาด ถึงจะจนแต่ก็ฉลาด ของราคาไม่ถึงทำไมให้ราคาแพงจัง จึงลองแกล้งขยักเอาไว้หน่อยซิ "ไม่ขาย" พอไม่ขายอย่างนั้น ๒ กหาปณะ ๔, ๘ กหาปณะไล่ขึ้นไปเรื่อย ท่านก็ไม่ขายจนกระทั่งถึง ๑,๐๐๐ กหาปณะท่านก็ไม่ขาย บรรดาคนที่ไปรอก็หมดปัญญา นายเขาให้มาแค่พันเดียว ก็ถามว่า "แล้วท่านคิดราคาเท่าไรถึงจะขาย ?"

    พระสีวลีก็ถามว่า "ท่านต้องการรวงผึ้งเห็นปานนี้ไปเพื่อกิจอะไร ? ถ้าท่านบอกเราแล้ว เราถึงจะกำหนดราคาได้" เขาก็บอกว่า "พวกเราจะทำบุญถวายพระพุทธเจ้ากัน ต้องการที่จะถวายของทุกอย่างที่สมควรแก่สมณบริโภคให้มีครบถ้วน ตอนนี้ขาดน้ำผึ้งสดอย่างเดียวนายถึงได้ให้มาดักรอซื้อ แพงแค่ไหนก็จะซื้อ เพื่อให้ได้ทำบุญ" พระสีวลีบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นเราไม่ขาย แต่ให้ไปแจ้งกับนายของพวกเธอว่า ถ้าอนุญาตให้เราทำบุญด้วยน้ำผึ้งรวงนี้ เราก็จะให้ฟรี ๆ" เขาก็วิ่งอ้าวไปบอกเจ้านาย เจ้านายก็โมทนาและอนุญาตให้ร่วมด้วย กลายเป็นว่าของทุกอย่างมี ขาดน้ำผึ้งสดอย่างเดียว แล้วพระสีวลีได้ทำบุญปิดท้ายกองบุญนั้น

    คราวนี้ด้วยอานุภาพของพระพุทธเจ้าและอานุภาพของทานครั้งนั้น น้ำผึ้งรวงเดียวคั้นแล้วพอถวายพระทุกองค์ ทั้ง ๆ ที่พระมาตั้งมากมายมหาศาล เพราะมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พอแก่พระทุกองค์ เขาบอกว่าในสมัยนั้นหลังจากที่ทุกคนทำกาละ คือตายไปแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดา
    คราวนี้พระสีวลีท่านไม่ได้เกาะกลุ่มกันเหนียวแน่นแบบนั้น ท่านก็เลยลงมาเกิดเป็นพระสีวลี ในชาติที่ท่านมาเกิดก็ใช้หนี้กรรมเก่าหน่อยหนึ่ง เพราะว่าในอดีตชาตินานมาแล้ว ท่านเคยเป็นพระมหากษัตริย์ ไปล้อมบ้านล้อมเมืองเขาอยู่ ๗ ปี ๗ วัน แต่ว่าด้วยอานุภาพบุญ ทำให้ไม่รู้สึกลำบากเลย คลอดออกมาก็ ๗ ขวบกว่า ๆ ประเคนของพระได้เลย แล้วก็ขอบวช แค่พระปลงผมให้เสร็จก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์

    เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านเป็นผู้ที่เลิศกว่าภิกษุอื่นในด้านลาภมาก เหตุที่เลิศกว่าภิกษุอื่นในด้านลาภมาก พระพุทธเจ้าบอกว่า เพราะทำบุญปิดท้ายรายการ เสริมทุกอย่างของคนอื่นเขาให้บริบูรณ์ ตัวเองก็เลยบริบูรณ์ไปด้วย ถ้าไม่มีของท่านแล้วจะขาด ถ้ามีของท่านแล้วถึงจะสมบูรณ์บริบูรณ์ ท่านก็เลยรับเอาอานิสงส์นั้นไปเต็ม ๆ

    ถึงขนาดที่พระพุทธเจ้าจะไปเยี่ยม พระเรวัตตะ ที่เป็นน้องชายคนเล็กของพระสารีบุตร ท่านไปจำพรรษาอยู่ที่ป่าตะเคียน ถามทางกับพระอานนท์ว่า หนทางที่จะไปถึงพระเรวัตตะนั้นไกลไหม ? พระอานนท์ตอบว่า ถ้าเป็นทางตรง ปราศจากโคจรคามเพื่อบิณฑบาต มีแต่เหล่าอมนุษย์ เป็นระยะทางแค่ ๖๐ โยชน์ แต่ถ้าเป็นทางอ้อม สะดวกสบายด้วยหนทางและการโคจรบิณฑบาต เป็นระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ คือมากกว่าเท่าหนึ่ง

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อานันทะ ดูก่อน..อานนท์ สีวลีได้ไปด้วยหรือไม่ ?" พระอานนท์กราบทูลว่า "ไปด้วยพระเจ้าข้า.." เพราะเขามีการจัดพระเพื่อตามพระพุทธเจ้าไปด้วย พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อานันทะ ดูก่อน..อานนท์ ถ้าสีวลีไปด้วย เราจะไปทางตรงกัน.." ที่บิณฑบาตไม่มีก็ไม่เป็นอะไร ถึงมีแต่อมนุษย์ก็ไปกัน

    พอท่านไปปรากฏว่า บรรดาเทวดาทั้งหลายที่เคยร่วมบุญในครั้งนั้น พอเห็นเข้าก็ "พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเดินทางไปในป่าแล้ว.." ก็รีบไปตกแต่งสถานที่ โยชน์หนึ่งตั้งศาลาไว้หลังหนึ่ง ให้เพียงพอกับพระทั้งหมด โยชน์หนึ่งเตรียมสถานที่เอาไว้ ก็เลยกลายเป็นว่าระยะทาง ๖๐ โยชน์ ปกติพระพุทธเจ้าเดินทางครึ่งวัน งวดนั้นต้องเดินถึง ๒ เดือน..!

    แล้วเรื่องของอานุภาพบุญก็เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก ปกติใคร ๆ ก็จะต้องแย่งกันทำบุญถวายต่อพระพุทธเจ้า แต่ปรากฏว่าบรรดาเทวดาที่เป็นเพื่อนร่วมบุญในครั้งนั้น ตั้งหน้าตั้งตาเอามาถวายพระสีวลีองค์เดียว แต่ว่าของนั้นก็มากพอที่พระสีวลีถวายต่อพระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมด แล้วยังเหลือเฟืออยู่ จะเป็นอย่างนี้ไปตลอด ๒ เดือน ระยะทาง ๖๐ โยชน์ ครั้งนั้นเดินถึง ๒ เดือนเพื่อให้เทวดาเขาทำบุญ

    คราวนี้พระสีวลีเข้าพระนิพพานไปแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ผลบุญใดก็ตามที่เป็นของพระอรหันต์ท่าน โดยเฉพาะพระอรหันต์ที่เป็นเอตะทัคคะคือ มีความเป็นเลิศพิเศษในทางใดทางหนึ่ง ถ้าเราบูชาท่าน ผลบุญที่ท่านไม่ต้องใช้แล้ว เพราะท่านเข้าพระนิพพานไปแล้ว ผลบุญนั้นจะมีสำเร็จแก่เราด้วย

    ดังนั้น..เขาถึงได้บอกกันว่า คนที่บูชาพระสีวลีส่วนใหญ่จะมีลาภมาก คือท่านไม่จำเป็นต้องใช้ลาภอันนั้นแล้ว เข้าพระนิพพานไปแล้ว กุศลที่ท่านทำก็เลยตกถึงผู้ที่บูชาท่านด้วย

    ถาม : ............
    ตอบ : ลองดูไหม ? เมื่อสักครู่เขาทำบุญปิดท้ายรายการน่าลองดูบ้าง จะได้สมบูรณ์บริบูรณ์ทุกอย่าง เดี๋ยวเอาไว้ตอนผ้าป่าถวายหลวงปู่แล้วกัน ลูกศิษย์หลวงพ่อยุคเก่า ๆ จะรู้ ส่วนใหญ่เขาจะแย่งกันปิดท้ายไปเรื่อย ๆ ก็เลยปิดกันไม่รู้จบเสียที จนกว่าหลวงพ่อจะบอกว่าพอแล้วนั่นแหละถึงจะหยุดกัน เดี๋ยวงวดนี้พวกเราไปผ้าป่าแล้วก็ไปลองดูว่าใครจะปิดได้ท้ายกว่ากัน
    บางทีหลวงพ่อท่านก็หัวเราะประเภท ๓ หมื่นกว่า..กว่าเท่าไร กว่าเท่านั้นร้อย เท่านี้ร้อย เติมไปเติมมาให้ครบพัน หลวงพ่อท่านบอกว่ายังไม่ครบ ๔ หมื่นเลย ...(หัวเราะ)... เป็นลักษณะนั้น ก็เติมกันไปเรื่อย เติมไปเติมมามีแต่เกิน ไม่มีขาด ก็ต้องเติมกันไปเรื่อยเพราะมีเศษทุกที

    ถาม : ...............
    ตอบ : อานิสงส์พิเศษต่าง ๆ ที่หลวงพ่อท่านบอกมา ส่วนใหญ่แล้วพวกคนเก่า ๆ เขารู้ แต่บางทีก็ลืม ไม่ค่อยได้จดกันเอาไว้ ถ้าเป็นไปได้ก็จด ๆ กันเอาไว้หน่อย เผื่อคนรุ่นหลังเขามาอ่านดู เขาจะได้รู้บ้างว่ามีอะไร
    ..........................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ผู้ก่อตั้งสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี

    ..........................................
    ขอเชิญร่วมบุญผาติกรรมผ้าไตร กฐินสามัคคีสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี ประจำปี ๒๕๖๕
    ได้ที่ลิงค์นี้นะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...