พุทธพจน์ “...ดูกรสุภูติ หากชายคนหนึ่งทำทานโดยการ ถวายทานด้วยสมบัติกองสูงเท่ากับภูเขาพระสุเมรุทั้ง จักรวาลมารวมกัน ส่วนอีกคนหนึ่ง รับฟังคำสอนไว้ ในใจ อ่าน เรียนรู้ จดจำ แล้วสั่งสอนผู้อื่น บุญกุศลของชายคนแรกยังไม่มากเท่าหนึ่งใน ร้อย หนึ่งในพัน หนึ่งในแสน ของบุญกุศลที่ชายคน ที่สองได้รับ เพราะไม่สามารถจะเปรียบกันได้เลย ” ธรรมทานประเสริฐที่สุด ยกเว้นพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว แม้พระสาวกทั้งหลาย มีพระสารีบุตร เป็นต้น ผู้เป็นเลิศด้วยปัญญาญาณ สามารถนับเม็ดฝนที่ตกอยู่ตลอดกัปได้ ก็ยังไม่สามารถจะบรรลุอริยผล มีโสดาปัตติผล เป็นต้น โดยลำพังตนเองได้ ต่อเมื่อได้ฟังธรรม จากพระอัสสชิเป็นต้นแล้ว จึงทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล และบรรลุธรรมสูงสุด ด้วยพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดา เพราะเหตุนี้ "ธรรมทานจึงประเสริฐที่สุด" การให้ธรรมทานชนะการให้ทั้งปวง รสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวง ความยินดีในธรรมชนะความยินดีทั้งปวง ความสิ้นไปแห่งตัณหาชนะทุกข์ทั้งปวง ผู้ใดให้ธรรมเป็นทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้พระนิพพานแก่คนทั้งหลาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จประทับอยู่ในเชตวันมหาวิหาร ณ กรุงสาวัตถี ในเวลานั้นพระสารีบุตรเถระเจ้า มีความประสงค์ว่า จักทูลถามพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงธรรม ประกาศอานิสงส์สร้างพระไตรปิฎก ให้ทราบทั่วถึงกันแก่พุทธบริษัทพระเถระเจ้าก็เข้าเฝ้าทูลถาม แก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า "ว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าชนทั้งหลายให้พุทธศาสนายืนยาวถึง ๕ พันวัสสา จะมีอานิสงส์เป็นประการใด พระพุทธเจ้าข้า " พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ดูกรท่านสารีบุตร ถ้าชนทั้งหลายมีจิตรศรัทธาเลื่อมใสเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไปแล้วก็จักรได้เสวยราชสมบัติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชถึง ๘ หมื่น ๔ พันกัลป์ ใช่แต่เท่านั้น เมื่อเคลื่อนจากความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิแล้ว ก็จะได้เป็นพระราชา มีอนุภาพอีก ๙ อสงไขย ต่อจากนั้นก็ได้เสวยสมบัติในตระกูลต่าง ๆ เป็นลำดับไป คือตระกูลพราหมณ์มหาศาล ตระกูลเศรษฐีคฤหบดี และเป็นภูมิเทวดาอากาศเทวดา อย่างละ ๙ อสงไขย ต่อแต่นั้นก็จะได้เสวยในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น เป็นลำดับไปชั้นละ ๘ อสงไขย เมื่อ จุติจากชั้นเทวโลกแล้ว มาถือกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะมีร่างกายบริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นที่รักใคร่แก่คนทั้งหลายที่ได้พบเห็นทั้งน้ำใจก็บริสุทธิ์ สุจริตปราศจากบาปธรรมอกุศลทั้งปวง และเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดรอบรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม ดังนี้เป็นต้น ดูกรท่านสารีบุตร เมื่อตถาคตสร้างบารมีอยู่ได้เกิดเป็นอำมาตย์ของพุทธบิดา แห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปุราณโคดม ได้สร้างพระไตรปิฎกไว้ให้สืบองค์ได้ตั้งความปรารถนา ขอตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเถิดในอนาคตกาลโน้น สมเด็จพระปุราณโคดมบรมศาสดาทรงพยากรณ์ไว้ว่า อำมาตย์ผู้นี้ต่อไปภายภาคหน้า จะได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง มีพระนามว่า พระสมณโคดมก็คือพระตถาคตเรานี้เองดังนี้แล" ก็สิ้นสุดพระกระแสธรรมเทศนา ที่พระบรมศาสดาทรงแสดงแก่พระสารีบุตรเถระเจ้าแต่เพียงเท่านี้ สมเด็จองค์ปฐม ท่านตรัส่ว่า "งานสาธารณประโยชน์ มันเป็น ปรมัตถบารมี อย่างสูงสุด อันนี้จะทำให้เร็วที่สุด ทำให้เร่งรัดพวกเราให้เร็วที่สุด ท่านบอกว่าให้คุณบอกลูกหลานไว้ จะได้รู้ว่าเป็นจุดที่มีกำลังแรงให้เข้าถึงได้เร็วที่สุด เป็นการบั่นทอนไอ้กฎของกรรมต่างๆ ที่มันคอยกั้นขวางเรา งานนี้มันเป็นเมตตากฎของกรรมมันก็ดันไม่อยู่" จากหนังสือ "หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓" โดย พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี " ธรรมทาน เป็นการเร่งรัดบารมีเดิม ให้มันแจ่มใสเร็วขึ้น เพราะธรรมทาน มีอานิสงส์สูงมาก คือว่า ผลที่เราจะพึงได้ แทนที่จะ ๑๐ ปี อาจจะเหลือ ๓ ปี อานิสงส์สูงมาก" จาก อภิญญา เล่ม ๑ พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
การให้สิ่งใด ชนะการให้ทั้งปวง ? ก็ต้องให้ธรรมะซิครับ เพราะมีพุทธภาษิตตรัสรับรองไว้ว่า สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะ การให้ทั้งปวง ทำไมการให้ธรรมะจึงชนะการให้อย่างอื่น ? ก็เพราะว่า การให้อย่างอื่น เช่นให้ข้าวของเงินทอง จะให้ประโยชน์แก่ผู้รับก็เฉพาะในโลกนี้เท่านั้น ไม่สามารถติดตามให้ประโยชน์ไปยังโลกหน้าได้ และอีกประการหนึ่ง ถึงแม้จะให้ประโยชน์อย่างไร ก็ไม่เคยทำให้ผู้รับดับทุกข์ได้เลย ซึ่งต่างจาก การให้ธรรมะเป็นทาน ถ้าผู้รับน้อมนำ ธรรมะนั้นมาปฏิบัติ หรือมาพิจารณาตาม ความทุกข์ที่มีอยู่ในใจก็สามารถดับลงได้โดยไม่ยาก ธรรมะมีไว้เพื่อชี้ทางดับทุกข์ บางคนร่ำรวย แต่ไม่รู้ธรรมะ เขาก็เลยไม่รู้ทางที่จะดับทุกข์ให้แก่ตัวเอง ถ้ารวยแล้วยังทุกข์ ก็ถือว่ายังเป็นชีวิตที่ไม่มีความสุขอย่างแท้จริง ฉะนั้น การให้ธรรมะ จึงถือว่าเป็นการให้ที่ทรงคุณค่าอย่างมหาศาล ธรรมะ ได้ชื่อว่าเป็นของเลิศ ของประเสริฐ เพราะแม้แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังทรงให้ความเคารพต่อธรรมะ ในเมื่อธรรมะเป็นของเลิศของประเสริฐ ผู้ที่ให้ธรรมะจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้ ของเลิศของประเสริฐ ผู้ที่ให้ของเลิศก็ย่อมเข้าถึงฐานะอันเลิศเสมอ... นี่คืออานิสงส์ ฉะนั้น ท่านคงหมดสงสัยแล้วว่า ทำไมท่านจึงสรรเสริญ การให้ธรรมะเป็นทานว่าจึงชนะการให้ทั้งปวง โดย : พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์
ถาม : ต้องทำบุญอะไรคะถึงจะฉลาด ? ตอบ : ฉลาดมันต้องในเรื่องของ ธรรมทาน และอีกตัวหนึ่งก็คือตัว ภาวนา ตัวภาวนานี่เป็นตัวสร้างปัญญาโดยเฉพาะ สมมุติว่าถ้าหากว่าชาตินี้เราภาวนาจนสามารถทรงฌานทรงสมาบัติได้ เกิดชาติใหม่ฉลาดแน่นอน แต่ขณะเดียวกันถ้ามีผลทางด้านธรรมทาน อย่างเช่นว่า ถวายพระไตรปิฎกไว้ หรือว่า ข้อธรรมอันใดที่เรามั่นใจว่าปฏิบัติได้แล้วนำไปสั่งสอนคนอื่นต่อ อันนี้ก็จะเป็นตัวที่สร้างความฉลาดให้โดยตรง การบริจาคหนังสือทุกประเภท ถือเป็นธรรมทานแต่ ถ้าหากว่าได้พระไตรปิฎกนี่ เป็นธรรมทานโดยตรง อานิสงส์ก็จะมากกว่าอันอื่นเขา เอามั้ยเกิดกี่ยกดี ? สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เดือนมีนาคม ๒๕๔๕ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ ถาม : การอภัยทานกับธรรมทานมีอานิสงส์ต่างกันอย่างไรครับ ? ตอบ : อภัยทานเป็นในส่วนของพรหมวิหารธรรม ถ้าใครทำได้ จิตใจจะสงบเยือกเย็น ลักษณะนั้นจะสามารถรักษาศีลได้ทุกข้อ จัดเป็นศีลบารมีและเมตตาบารมี ส่วนธรรมทานนั้นจัดอยู่ในส่วนทานบารมี ต่างกันตรงที่ทำอย่างหนึ่งได้บารมีสองข้อ ทำอีกอย่างหนึ่งได้บารมีข้อเดียว ถาม : ในอินเตอร์เน็ตมีการบอกว่า "การให้อภัยทานสูงกว่าธรรมทาน" ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้สอน อยากจะทราบว่าเป็นอย่างไรครับ ? ตอบ : ก็แปลว่าไม่ได้สอนเท่านั้นเอง..! สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ) ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖
ธรรมทานนี้จะได้กุศลผลบุญสูงกว่าอภัยทาน หลวงพ่ออธิบายและเมื่อยังเห็นข้าพเจ้าสนใจก็พูดต่อว่า "ยังมีทานที่ไม่ต้องใช้เงินใช้ทอง แต่ได้กุศลผลบุญ สูงกว่าอภัยทานอีกนะ" "ทานอะไรหรือครับ ที่สูงกว่าอภัยทาน" ข้าพเจ้าถาม ด้วยความอยากรู้ "ก็ธรรมทาน ยังไงล่ะ สร้างสมได้โดยชี้แนะสั่งสอน ผู้คนที่ประพฤติตนหลงผิด คิดชั่ว ให้กลับตัวเป็นคนดี เป็นที่ยอมรับของสังคมโดยทั่วไป หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือ ช่วยนำทางคนที่เดินทางผิด ให้เดินถูกทางนั่นแหละ ธรรมทานนี้จะได้กุศลผลบุญสูงกว่าอภัยทานนะ เพราะ แม้เราให้อภัยทานแก่คนที่เลวร้ายไปแล้วก็ตาม แต่เขา ก็หาได้อยู่รอดปลอดภัยไม่ อาจถูกคนอื่นที่เขาไม่ให้อภัย กำจัดเสีย แต่ถ้าเราให้ธรรมทาน จนสามารถทำให้คนเลว กลับกลายเป็นคนดีเสียได้ เขาจะอยู่ได้โดยรอดปลอดภัย ใช่ไหม" หลวงพ่ออธิบาย "ครับ แต่แหม!..มันก็ยากยิ่งกว่าให้อภัยทานเสียอีก เพราะ อภัยทานนั้น เราเพียงอภัยให้ในใจ ไม่ต้องไปข้องแวะกับ คนเลวๆพรรค์นั้น เขาร้ายมาเราก็เลี่ยงเสีย เขาด่าเขานินทา เราก็เอาหูทวนลมเสีย แต่ถ้าถึงขั้นต้องพาตัวเข้าไปอบรม สั่งสอนคนชั่วร้ายเช่นนั้น คงไม่ไหวหรอกครับหลวงพ่อ" ข้าพเจ้าตอบพร้อมส่ายหัวอย่างท้อแท้ "อ้าว!..ถ้าคุณยังทำใจไม่ได้ ก็ต้องรู้จักใช้อุบายซิ เช่น ถ้าคุณรู้ว่าคนเลวผู้นั้นนับถือใคร หรือเกรงใจใครอยู่ และบังเอิญคุณก็รักใคร่ชอบพอกับเขา ก็ขอความร่วมมือ จากเขา ฝากหนังสือธรรมะไปให้อ่านบ้าง หรือให้เขา หาทางชวนไปหาพระฟังธรรมะบ้าง หรือหาทางล่อหลอก พามาหาฉันก็ได้นะ อย่างนี้คุณก็ได้ธรรมทานด้วยเช่นกัน" หลวงพ่ออธิบาย ... (โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง) จากหนังสือ "สู่แสงธรรม" โดย พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป