เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 25 เมษายน 2025 at 17:14.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,722
    ค่าพลัง:
    +26,583
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,722
    ค่าพลัง:
    +26,583
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพต้องเดินทางไปยังมหาจุฬาอาศรม ตำบลพญาเย็น อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อร่วมปฏิบัติธรรมเป็นเวลา ๒ วัน คือวันเสาร์และวันอาทิตย์ หลังจากนั้นถึงจะได้รับวุฒิบัตรผ่านการอบรมโครงการ Upskills การสอนวิชาปรัชญาพระพุทธศาสนา ซึ่งตกค้างมาตั้งแต่ปีที่แล้ว

    สำหรับวันนี้มา "เล่าความหลัง" กันต่อ เรื่องของการเล่าความหลังนั้น จุดมุ่งหมายใหญ่เลยก็คือ
    ให้ท่านทั้งหลายได้เห็นวัฒนธรรมการกินการอยู่ของผู้คนสมัย ๕๐ - ๖๐ ปีที่แล้ว ตลอดจนกระทั่งเห็นความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เมื่อท่านทั้งหลายเห็นแล้วจะได้เข้าใจชัดว่า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็น "อกาลิโก" จริง ๆ ก็คือสามารถใช้ได้ในทุกเวลา ทุกกาลสมัย ไม่โดนจำกัดด้วยเวลาใด ๆ ทั้งสิ้น

    การหุงข้าวต้มแกงสมัยนั้น เครื่องปรุงรสจะมีน้อยมาก เนื่องเพราะว่าอยู่ในลักษณะของการ "กินเพื่ออยู่" เท่านั้น ดังนั้น..เครื่องปรุงรสหลัก ๆ เลยก็จะเป็นเกลือ แล้วก็น้ำปลา ถ้าเป็นคนจีนก็จะมีน้ำถั่วเหลืองหมักที่เรียกว่า "ซีอิ๊ว" แต่ว่าถ้าเป็นน้ำถั่วเหลืองหมักแบบที่เรียกว่า "ซีอิ๊วหวาน" นั้น กระผม/อาตมภาพกลับไม่ชอบ ถ้าหากว่าเป็นน้ำถั่วเหลืองหมักที่เป็นซีอิ๊วธรรมดา จะเป็นอะไรที่แค่คลุกข้าวเปล่าก็อร่อยแล้ว..!

    ในเมื่อเครื่องปรุงอาหารมีน้อย ก็ขึ้นอยู่กับแม่ครัวว่าจะมีฝีมือหรือไม่ ? ดังนั้น..ถ้าหากว่าบ้านไหนแกงเขียวหวานกะทิลอยหน้ามาเป็นแพ คนก็จะชื่นชมกันมาก เนื่องเพราะว่าแค่เห็นก็รู้สึกว่าอร่อยแล้ว แต่สำหรับคนทั่ว ๆ ไปก็มักจะ "แกงป่า" ก็คืออยู่ในลักษณะแกงน้ำใส ไม่ได้มีกะทิอะไรเลย หรือไม่ก็อยู่ในลักษณะการตำ "น้ำพริกโจร" ก็คือแทบจะมีแต่พริกกับเกลือเท่านั้น อาศัยพวกมะเขือบ้าง วัสดุอื่นบ้าง มาเผาหรือว่าต้ม แล้วตำปนกันลงไป เพื่อที่จะได้มีเนื้อน้ำพริกมากขึ้น ใช้คลุกข้าวกินได้ถนัดขึ้น..!

    ไม่ใช่น้ำพริกที่มีกะปิแบบที่ตำอยู่กับบ้าน ซึ่งบุคคลที่อยู่ในป่าในดงนั้น ก็ต้องหาอยู่หากินกัน "ตามมีตามเกิด" แล้วบรรดาพวกเสือปล้น หรือว่าบุคคลนอกกฎหมาย ซึ่งหนีไปอยู่ในป่าแล้วทำกินกัน เขาก็เลยเรียกว่า "น้ำพริกโจร" บ้าง หรือว่า "แกงป่า" บ้าง ก็คือคนอยู่ในป่า ไม่สามารถที่จะหากะทิได้ ก็ต้องแกงไปตามวัสดุที่ตนเองมีอยู่หรือว่าหาได้แถวนั้น

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เลยทำให้บรรดาเด็ก ๆ ซึ่งข้าวปลาอาหารไม่ค่อยจะพอกิน แล้วก็เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคประหลาดในสมัยนั้น ที่เรียกกันว่า "ตานขโมย" มีอาการพุงโรก้นปอด ก็คือพุงใหญ่มาก แต่ว่าแขนขาลีบ กระดูกซี่โครงขึ้นเป็นซี่ ๆ ก็จะมีหมอสมัยโบราณแนะนำให้ยิงอีกา แล้วนำเอาตับมาปิ้งให้เด็กกิน แล้วก็จะหาย หรือไม่บางคนก็ให้กินจิ้งจก หรือว่าลูกหนูเป็น ๆ ลงไปเลย..! ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกเหมือนกันว่าสามารถที่จะแก้ได้จริง ๆ..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,722
    ค่าพลัง:
    +26,583
    ถ้าเป็นหมอสมัยนี้ก็บอกว่าเป็นโรคขาดโปรตีน เนื่องเพราะว่าอาหารประเภทเนื้อนั้นมีน้อย ถ้าหากว่าล่ากันได้ทีหนึ่ง หรือได้รับอนุญาตให้ฆ่าหมูฆ่าวัวกันทีหนึ่ง ถึงจะมีโอกาสที่ได้กิน ดีที่ว่าครอบครัวคนจีนนั้น จะมีธรรมเนียมในการไหว้เจ้าตามตรุษตามสารทต่าง ๆ ซึ่งต้องใช้ "โหงวก้วย ซาแซ" ก็คือผลไม้ ๕ ชนิด เนื้อสัตว์ ๓ ชนิด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เลยทำให้ลูกหลานชาวจีนไม่ค่อยจะเป็นโรคพุงโรก้นปอดกัน

    แต่ว่าโรคอื่น ๆ ก็เป็นไปตามยุคตามสมัย อย่างเช่นว่า "โรคหิด" ซึ่งจะเป็นเม็ดใส ๆ ขึ้นตามง่ามมือง่ามเท้า ยิ่งเกาก็ยิ่งลุกลาม ยิ่งเก่าก็ยิ่งคัน จนกระทั่งมีเพลงล้อเลียนกันว่า "เป็นหิดไปติดใครมา พอถึงศาลาก็นั่งเกาหิด ถ่อเรือจะไปหาหมอ พอเรือติดตอก็นั่งเกาหิด" เหล่านี้เป็นต้น

    อีกโรคหนึ่งที่ดูแล้วน่ากลัวมาก ๆ ก็คือ "โรคฝีดาษ" เนื่องเพราะว่าเวลาป่วยแล้วก็จะเน่าเฟะไปทั้งตัว ถ้าหากว่ารักษาหาย ส่วนใหญ่ก็จะเสียโฉม ใบหน้าเป็นรูพรุน ๆ ไปหมด จนกระทั่งเขาเรียกว่า "หน้าข้าวตัง" แต่เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ว่าพี่สาวของกระผม/อาตมภาพคือป้ามุกดา (นางสาวมุกดา เพชรชื่นสกุล) นั้น เป็นโรคฝีดาษ หรือที่สมัยนั้นเรียกว่า "ไข้ทรพิษ" เป็นจนเน่าเฟะไปทั้งตัวเหมือนกัน..!

    ถึงเวลาต้องไปตัดใบตอง หงายขึ้นมาแล้วให้นอนบนใบตอง เนื่องเพราะว่าใบตองนั้นจะมี "นวลกล้วย" อยู่ เมื่อถึงเวลาน้ำเหลืองหยดลงไปแล้ว ก็จะไม่แห้งติดเนื้อเหมือนอย่างกับที่นอนบนผ้า หรือว่านอนบนกระดาน แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นผลบุญหรืออย่างไร ? ทำให้พี่มุกดาเขาเน่าจนกระทั่งไม่มีหนังดีเหลืออยู่ในตัว ก็เลยกลายเป็นว่าหนังใหม่เมื่อเกิดขึ้นมา กลายเป็นสมบูรณ์พร้อม ถ้าไม่บอกจะไม่มีใครรู้เลยว่าเคยเป็นฝีดาษหรือไข้ทรพิษมาก่อน..!

    ดังนั้น..เด็ก ๆ ถ้าไปโรงเรียนก็จะโดนบังคับให้ "ปลูกฝี" ก็คือถึงเวลาก็จะมีคุณหมอมา ใช้ใบมีดเล็ก ๆ กรีดที่ต้นแขน แล้วก็หยดเอาเชื้อฝีดาษ ซึ่งได้รับการทำเป็นวัคซีนแล้วลงไป ภายในวันเดียวก็จะไข้ขึ้น แล้วแผลก็บวมเป็นหนอง บางคนก็เน่าลามใหญ่ไปขนาดเหรียญ ๑๐ บาทสมัยนี้เลยก็มี..! ดังนั้น..ถ้าหากว่ามีการพลิกหัวไหล่ของบุคคลในรุ่นของกระผม/อาตมภาพ ที่เห็นมีรอยแผลเป็นกันทุกคน ก็ขอให้รู้ว่าเกิดจากการ "ปลูกฝี" ก็คือการรับวัคซีน เพื่อป้องกันไข้ทรพิษนั่นเอง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,722
    ค่าพลัง:
    +26,583
    อีกโรคหนึ่งก็คือ "อีสุกอีใส" ซึ่งน่าจะเป็นเชื้อเฮอร์ปีส์ หรือเชื้อเริมชนิดหนึ่ง ซึ่งเจ้าเริมนี้จะมีเชื้อที่ออกอาการหลายอย่างด้วยกัน ถ้าเป็น "อีสุกอีใส" ก็จะขึ้นกระจายเป็นตุ่มใส ๆ ไปทั่วตัว อย่างเช่นว่าถ้าเป็นกระจุก ๆ ขึ้นอยู่ตรงโน้นบ้าง ตรงนี้บ้าง เขาเรียกว่า "ขยุ้มตีนหมา" แล้วเจ้าพวกนี้ก็มักจะขึ้นอยู่ตามปลายประสาท ทำให้ปวดแสบปวดร้อนดีนักแล..!

    แต่ถ้าหากว่าเป็นผื่นกว้าง ๆ ขนาดฝ่ามือ สองฝ่ามือลามไปเรื่อย เขาจะเรียกว่า "ไฟลามทุ่ง" ถ้าหากว่าเป็นตามเส้นประสาทแล้วก็ยาวขึ้นไปเรื่อย ๆ บางคนก็เรียกว่า "งูสวัด" ถ้าหากว่าขึ้นเป็นเส้นยาวล้อมหน้าล้อมหลังเลย เขาเรียกว่า "สังวาลย์พระอินทร์" เหล่านี้เป็นต้น ก็จะต้องหาทางรักษากัน ซึ่งส่วนใหญ่จะไปหายด้วยสมุนไพรโบราณ ก็คือ "รางจืด" บ้าง "ต้นสามทอง (ตรีสุวรรณ)" บ้าง ซึ่งเด็กสมัยนี้ไม่ค่อยจะมีใครรู้จักกันแล้ว แต่ว่าหมอแผนโบราณสามารถที่จะรักษาได้

    อีกโรคหนึ่งที่น่ากลัวนั้นก็คือ "ฝี" บรรดาฝีต่าง ๆ นั้น ส่วนใหญ่ก็เกิดจากการที่ติดเชื้อในแผลสกปรกบ้าง โดนพวกยุงพวกแมลงกัดเอา แล้วก็บวมขึ้นมาจนกระทั่งกลายเป็นแผลบ้าง เมื่อถึงเวลาก็ลุกลามเจ็บปวด หาหมอก็ยาก

    เนื่องเพราะว่าสมัยนั้น อนามัยที่เขาเรียกว่า "สุขศาลา" นั้นก็มีน้อย ก็ต้องอาศัยหมอพระบ้าง หมอผีบ้าง รักษากันไปตามมีตามเกิด บางท่านก็เคี้ยวหมากแล้วก็พ่นพรวดลงไป ถ้าเป็นสมัยนี้หมอยุคใหม่ก็คงจะเป็นลมตาย เพราะกลัวว่าจะติดเชื้อ..! เนื่องเพราะว่าฝีใหญ่เหลือเกิน แต่ปรากฏว่ากลับหายได้เสียนี่ ?! ก็เลยทำให้ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเพราะคาถาขลัง หรือเป็นเพราะบุญของเรายังดี ทำให้เวรกรรมตรงนี้หมดลง ก็เลยไม่เป็นอีก..!

    ยาครอบจักรวาลสมัยนั้นจะมี "ยาเขียวตราใบห่อ" ถ้าหากว่าใครป่วยเป็นอีสุกอีใส ก็จะใช้ละลายน้ำชโลมทั้งตัว แล้วก็ชงน้ำอุ่นให้กินลงไปด้วย เหลือเชื่อที่ว่าแค่ครึ่งวัน ไข้ทุกอย่างก็จะลดลง แล้ว "อีสุกอีใส" ซึ่งถ้าใครเป็น ร่างกายก็มักจะมีแผลเป็นจุด ๆ เยอะแยะไปหมดนั้น ถ้าเจอยาเขียวชโลมเข้าไป ถึงเวลาก็ล่อนออกไปทั้งแผ่น แล้วแผลเป็นก็ไม่มีอีกด้วย ไม่ทราบเหมือนกันว่ายาเขียวนี้ทำด้วยสมุนไพรใบยาอะไร ?

    อีกอย่างหนึ่งก็คือ "ยาเม็ดแก้ไอตราตะขาบ ๕ ตัว" ซึ่งเอาไว้สำหรับพวกที่ไอไม่รู้จักแล้ว ไม่รู้จักเลิก บางคนเรียกว่า "โรคไอ ๑๐๐ วัน" ก็มี ไอจนกระทั่งซี่โครงโยนไปหมด..! แต่กระผม/อาตมภาพมีตำราจีนที่อร่อยด้วย ก็คือเขาให้ตอกไข่ ๑ ฟองลงในภาชนะ เสร็จแล้วก็เอาน้ำตาลกรวดที่เรียกว่าขัณฑสกร ก้อนประมาณหัวแม่มือ ตำให้ละเอียด โรยให้ทั่ว แล้วก็ใบชาหยิบมือหนึ่งโรยลงไป เอาไปนึ่งสุกแล้วให้กินลงไปให้หมด อาการ "ไอ ๑๐๐ วัน" จะหายขาดเป็นปลิดทิ้ง ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าแก้ไขกันได้อย่างไร แต่ก็ให้รู้ไว้ว่า ไม่ว่าจะหมอไทยหรือว่าหมอจีน ก็มีตำรับยาของดีในตัวกันทั้งนั้น

    ดังนั้น..ในเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งมักจะทำให้เด็ก ๆ ในสมัยนั้น มีการเสียชีวิตกันตั้งแต่เล็กแต่น้อย เมื่อถึงเวลาก็ต้องนำเอาไปเผาบ้าง นำไปฝังบ้าง ถ้าหากว่าเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ก็ใส่หม้อดินไปฝัง ถ้าหากว่าเป็นเด็กโตหน่อย ก็มีการต่อโลงไปฝัง แต่ถ้าบ้านที่ยากจน ส่วนใหญ่ก็สานไม้ไผ่เป็นเสื่อ มัดหัวมัดท้าย แล้วก็เอาไปฝังทั้งอย่างนั้น ถ้าอยู่ในลักษณะอย่างนั้น ขอให้เข้าใจว่าเป็นเพราะครอบครัวนั้นยากจนจริง ๆ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าใครที่รอดมาได้ ก็มักจะจัดอยู่ในประเภทที่ "หัวแข็ง" ธรรมชาติคัดเลือกแล้วว่า คุณสมควรที่จะอยู่สืบพืชพันธุ์ต่อไปได้..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,722
    ค่าพลัง:
    +26,583
    โรคภัยไข้เจ็บอีกอย่างหนึ่งที่สมัยนั้นเรียกว่า "โรคห่า" หรือว่า "โรคป่วง" ก็คือ "อหิวาตกโรค" นั้น ถ้าหากว่าเป็น ส่วนใหญ่ก็มักจะตายกันยกหมู่บ้าน..! ใครที่รอดมาได้เขามีสำนวนว่า "เหลือเดนห่า" ก็คือ "หัวแข็ง" ขนาดอหิวาตกโรคยังกินไม่ลง..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่มีใครช่วยได้ สมัยก่อนก็มักจะอพยพทิ้งบ้านทิ้งเรือนตรงนั้นไป หรือไม่ก็ช่วยกันเผาหมู่บ้านทิ้งไปเลย แล้วย้ายไปตั้งบ้านเรือนในที่ใหม่ ๆ กันต่อไป แม้กระทั่งกรุงศรีอยุธยาของเรา ถ้าตามความเชื่อถือของคนส่วนหนึ่งก็คือ พระเจ้าอู่ทองนั้นได้ย้ายหนีโรคห่า คืออหิวาตกโรค จากทางด้านสุพรรณบุรีขึ้นไปจนถึงบริเวณ "หนองโสน" ก็คือที่ตั้งของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในสมัยนี้ แล้วจึงไปสร้างเมืองหลวงใหม่อยู่ที่นั่น

    ในเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ มาภายหลังเริ่มมีตัวยาต่าง ๆ ที่ดีขึ้น แต่ว่ายาที่กระผม/อาตมภาพรู้จักสมัยนั้น เขาเรียกกันว่า "ยาทันใจ" ซึ่งมาภายหลังเขาถือว่าโฆษณาจนเกินจริง ก็เลยกลายเป็นศัพท์ประหลาด ๆ ว่ายาทัมใจ ใช้ ม.ม้า สะกด น.หนู ยาตัวนี้จะทำให้บุคคลที่กินแล้วติดยาด้วย..!

    แต่ว่าคนงานที่ทำงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะอยู่ในไร่ยาสูบ ในไร่อ้อยอะไรก็ตาม ที่เป็นกรรมกรใช้แรงงานมาก ถึงเวลาเลิกงานก็จะกินยาทันใจ ๒ ซอง พร้อมกับเหล้าขาว ๑ เป๊ก ทำให้เลือดลมวิ่ง หายปวดหายเมื่อย รุ่งขึ้นทำงานได้เหมือนไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน แต่เขาว่ามีส่วนผสมของฝิ่น ทำให้คนติดได้เหมือนกัน ได้ยินว่าเป็นของโอสถสภา (เต๊กเฮงหยู)

    ส่วนยาอีกอย่างหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพเห็นว่าเป็นของวิเศษเลยก็คือยาแก้ปวดท้อง ชื่อว่า "ยากฤษณากลั่น ตรากิเลน" เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพเป็นเด็กที่แทบจะมีเวลาเรียนเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ว่ามีอยู่วันหนึ่งต้องขาดเรียน เพราะว่าปวดท้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน ถึงขนาดดิ้นตึงตังโครมครามเลยทีเดียว..! ไม่สามารถที่จะแก้ไขด้วยยาใด ๆ ทั้งสิ้น โยมแม่ก็เลยต้องไปขอยาจากอาประเสริฐ (นายประเสริฐ โตทัพ) ก็คือยากฤษณากลั่น ตรากิเลนนี่แหละ เทมา ๑ ช้อนชา ชงน้ำเปล่าให้ กลืนลงไปอึกเดียวเท่านั้น พอยาลงถึงท้อง รู้สึกเย็นซ่านไปหมด แล้วก็หายปวดท้องในทันทีทันใด ไม่ทราบเหมือนกันว่ายาถูกโรค หรือว่าเวรกรรมหมดลงช่วงนั้นพอดี..!

    แต่ว่าการที่เจ็บป่วยขนาดเหงื่อตกไปทั้งตัว ทำให้หมดเรี่ยวหมดแรง วันนั้นปั่นจักรยานไปโรงเรียนไม่ไหว เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเข้าเรียนชั้นประถมปีที่ ๕ ที่โรงเรียนประถมฐานบินกำแพงแสน ต้องปั่นจักรยานจากบ้านไปโรงเรียน ๖ กิโลเมตร ไป - กลับวันหนึ่งก็ ๑๒ กิโลเมตร ทำให้ต้องขาดเรียนไป ๑ วัน เรื่องของหมอเรื่องของยายังมีเนื้อหาอีกมาก ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเล่าได้ทั่วถึงหรือไม่ ?

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๒๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...