แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย หนุ่มเมืองแกลง, 15 พฤษภาคม 2010.

  1. พุทธิวงษ์

    พุทธิวงษ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,200
    ค่าพลัง:
    +7,879
    ดีใจครับที่ชอบ น่าเอาไปใส่กรอบติดผนังห้องพระนะครับ จะให้ความรู้สึกเหมือนจิตกรรม ฝาผนังครับ
     
  2. พุทธิวงษ์

    พุทธิวงษ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,200
    ค่าพลัง:
    +7,879
    จริงตามที่พี่หนุ่มบอกเลยครับ บอกตรงแรกๆผมเห็นหัวข้อก็คิดว่าจริงหรือ แต่พอมาอ่านเนื้อในแล้ว ก็ทำให้ติดกระทู้นี้ตลอด ทั้งเรื่องดี พี่ๆน้องที่มีน้ำใจดีให้แก่กัน และหลากหลายอัตถรสอีกด้วยครับ
     
  3. พุทธิวงษ์

    พุทธิวงษ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,200
    ค่าพลัง:
    +7,879
    อ๋ะๆ..ขอให้รวยๆนะครับ ฮ็อตจริงๆครับ:cool:
     
  4. พุทธิวงษ์

    พุทธิวงษ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,200
    ค่าพลัง:
    +7,879
    ตอนนี้ก็ไม่ได้แก่นะครับ พึงทำบัตรประชาชนเมื่อวานเอง....รูปที่เห็นถ่ายมา3-4ปีเองครับ....แต่พอมาส่องกระจกดูอืม..ไปแยอะเหมือนกันนะนี่...โดนเฉพาะผม...:'(
     
  5. ศิษย์หลวงปู่กวย009

    ศิษย์หลวงปู่กวย009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,867
    ค่าพลัง:
    +17,327
    มาแย้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    มาพร้อม รูปหาชมยากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ของ หลวงปู่กวย ครับ

    ขออนุญาติ ท่านเจ้าของรูป ด้วยนะครับ
    เพื่อเผยแพร่ กิตติคุณ หลวงปู่กวย ครับ

    รูปนี้ น้อยคนที่เคยได้เห็น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 001.jpg
      001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      114.2 KB
      เปิดดู:
      89
    • 002.jpg
      002.jpg
      ขนาดไฟล์:
      125.5 KB
      เปิดดู:
      104
    • 003.jpg
      003.jpg
      ขนาดไฟล์:
      96.8 KB
      เปิดดู:
      63
  6. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    บทความ...การดูอริยบุคคล

    บุคคลผู้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลดูจากตรงไหน?รู้ได้อย่างไร?<o></o>
    <o></o>
    ถาม:~<o></o><o></o>
    เราจะทราบได้อย่างไรว่าพระองค์ไหน หรือบุคคลไหนมีภูมิธรรมสูงส่งถึงขั้นได้สำเร็จธรรมะเป็นพระอริยบุคคล เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เราได้พบว่า มีพระเถรานุเถระมากมายหลายรูป ที่ทรงยศ ทรงสมณศักดิ์ชั้นสูง ที่ท่านก็มีจิตใจฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนามาแต่เด็ก ๆ และได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์มาแต่เด็ก ๆ คือบวชเป็นสามเณรแล้วไม่เคยลาสิกขาเลย ตราบได้เป็นเจ้าคณะจังหวัดเจ้าคณะภาคหรือเจ้าคณะใหญ่ ฯลฯ ท่านเหล่านี้มีบ้างไหมที่ได้สำเร็จธรรมะเป็นพระอริยบุคคล จะมีข้อสังเกตอย่างไร อนึ่ง การที่ทรงยศทรงสมณศักดิ์ทรงตำแหน่งของพระสงฆ์นั้น จะเห็นว่ากว่าจะได้สมณศักดิ์ก็ใช่ว่าจะได้ง่าย ๆ ต้องได้อายุพรรษา อย่างน้อยก็ ๑๐ พรรษาขึ้นไป และปรากฎว่าเมื่อได้ยศศักดิ์ได้ตำแหน่งแล้ว ท่านก็เจริญมั่นคงในบวรพุทธศาสนาไปเป็นส่วนมาก น้อยนักน้อยหนาที่จะมีพระสมณศักดิ์สิกขาลาเพศไป นี่ก็น่าจะเป็นผลดีต่อความมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนาอย่างดีอยู่แล้ว การคิดปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใดใดจึงควรที่จะคำนึงตรงประโยชน์นี้ให้รอบคอบ มิฉะนั้นจะเกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรงขึ้นได้<o></o>
    <o></o>
    ตอบ:~ <o></o>
    ประเด็นที่ ๑เราจะทราบได้อย่างไรว่าพระองค์ไหนหรือบุคคลไหนมีภูมิธรรมสูงส่งถึงขั้นได้สำเร็จธรรมะเป็นพระอริยบุคคล<o></o>
    <o></o>
    ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับพระอริยบุคคล ไม่ว่าประเด็นไหน ก็ยากที่จะตอบให้ ท่านผู้สนใจหรือท่านผู้สงสัยได้เข้าใจหรือพอใจได้เลย เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องชั้นสูงเกินปัญญาใครจะตอบได้ หากจะพยายามตอบก็พอได้อยู่แต่เป็นเพียงคาดคะเนเอาตาม แนวแห่งวิชาการทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น<o></o>
    <o></o>
    ถามว่าทราบได้อย่างไร ขอตอบว่าทราบได้จากสติปัญญาของท่าน ทราบ ได้จากกรรมฐานของท่าน ทราบได้จากศีล-วัตรของท่าน<o></o>
    <o></o>
    ระดับพระโสดาบัน-สกิทาคามี จะเห็นท่านเคร่งครัดในศีล ในวัตร<o></o><o></o>
    ระดับพระอนาคามี ท่านจะเคร่งกรรมฐาน และงานทางสมาธิอย่างเอาเป็นเอาตาย<o></o>
    ระดับพระอรหันต์ จะแสดงออกทางปัญญาบริสุทธิ์<o></o><o></o> ถ้าเราเป็นพระอรหันต์ เราก็จะทราบได้โดยอัตโนมัติว่าพระหรือบุคคลใดบ้างเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอนาคามี เป็นพระสกิทาคามี และเป็นพระโสดาบัน พระอรหันต์องค์ที่มีภูมิปัญญาแตกฉานจริง ๆ ท่านเพียงแต่มองดู หรือเพียงฟังเสียงพูด ท่านก็รู้แล้วว่าเป็นบุคคลมีมรรคผลหรือไม่ อยู่ระดับใด<o></o>
    <o></o>
    ถ้าเราเป็นพระอนาคามี เราจะไม่สามารถทราบโดยแน่ชัดว่าบุคคลใดเป็นพระอรหันต์ แต่อาจคาดคะเนได้ถูก มากบ้าง น้อยบ้าง หรือผิดไป ๑๐๐%เลยก็มี เพราะพระอรหันต์นั้นมีอิสรภาพสูงสุด แม้ความตายก็ไม่อาจผูกมัดได้ รูปแบบย่อมอาจผันแปรไปได้ตามสิ่งที่แวดล้อม จึงมักไร้รูปแบบร่องรอย เว้นเสียแต่ได้รับมอบหมายภาระ ก็ดูจากวิธีที่ท่านปฏิบัติภาระนั้น ๆ คือจะมีความรับผิดชอบอย่างไม่จำกัดจนกว่าภาระที่มอบหมาย จะเสร็จสิ้นหรือตราบตัวเองหมดอายุขัยลง ท่านจะไม่มีความถดท้อไม่วางภาระหน้าที่ (ภาระนี้หมายถึงภาระแห่งมรรคผล)<o></o> แต่พระอนาคามีอาจรู้จักพระอนาคามีด้วยกันได้ถูกต้อง แต่อาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่สามารถรู้ได้ว่าบุคคลใดเป็นพระสกิทาคามีและพระโสดาบัน<o></o>
    <o></o>
    ท่านรู้ได้เพราะท่านเคยผ่านมาก่อน หรือแม้ไม่เคยผ่าน(ข้ามขั้นไป)ก็สามารถรู้ด้วยปัญญาอันมีระดับสูงกว่า<o></o>
    ถ้าเราเป็นพระสกิทาคามี เราจะไม่รู้จักว่าใครเป็นพระอนาคามีบ้าง พระอรหันต์บ้าง แต่แน่ละ เราอาจคาดคะเนเอาได้ ถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่เราจะ รู้จักแต่บุคคลเสมอ ๆ หรือต่ำกว่าตน เช่นพระโสดาบัน ค่อนข้างชัดเจน<o></o>
    <o></o>
    ถ้า เราเป็นพระโสดาบัน เราอาจจะไม่รู้จักพระอรหันต์เลย ซ้ำพระอรหันต์บางลักษณะที่เราเห็น เราอาจจะนึกว่าท่านเป็นบุคคลที่ใช้ไม่ได้เอาเลยทีเดียวก็ได้ ทั้งนี้เพราะปัญญาของ เสขบุคคล กับ อเสขบุคคลนั้นห่างไกลกันอย่างกับอยู่คนละฟ้า(เสขบุคคล:ผู้ยังศึกษาอยู่-ยังรู้ไม่หมด หมายถึงพระโสดาบันขึ้นไปถึงพระอนาคามี อเสขบุคคล:ผู้สำเร็จจบสิ้นการศึกษาแล้ว-รู้หมดแล้ว หมายถึงพระอรหันต์ประเภทเดียว)<o></o>
    <o></o>
    ถ้าเราเป็นคนธรรมดา ถ้ารู้คัมภีร์ รู้หลักศาสนาเราก็อาจสามารถเดาเอาได้ โดยถือแนวพระคัมภีร์เป็นหลัก อยากให้ถือหลักข้างต้น ที่ว่า พระอริยบุคคลพัฒนาไปตามหลักไตรสิกขานั่นเอง ระดับล่างสุดก็เป็นระดับที่ทำศีลให้เต็ม ระดับกลาง ๆ นับแต่สกิทาคามิผลไปถึงอนาคามิมรรค ก็ทำสมาธิให้เต็ม ระดับอนาคามิผลถึงอรหัตมรรค เจริญวิปัสนาล้วน ๆทำปัญญาให้เต็มแล้วก็บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ อันเป็นชั้นสูงสุด เป็นมนุษย์ผู้รู้แจ้งโลก<o></o>
    <o></o>
    จะลองเสนอแนะวิธีดูที่ง่าย ๆ แบบสูตรสำเร็จดังนี้<o></o>
    <o></o>
    พระโสดาบันจะมีปกติรำลึกบุญ จะชักชวนพาหมู่บำเพ็ญศีลและทานมาก ๆ นิยมการก่อสร้าง จะสร้างถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนาให้ใหญ่โตมโหฬาร บางองค์สร้างโรงพยาบาล โรงเรียน และช่วยเหลือคนยากคนจนตลอดชีวิต อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย และไม่รู้หยุดพักผ่อนหายใจ โดยไม่คิดเห็นประโยชน์ส่วนตนเลย เห็นคนยากคนจนเป็นสิ่งสมสร้างบารมี ปรีดาเมื่อพบคนยากคนจน มีความกลัวว่าคนจนจะหมดโลก แล้วจะไม่มีโอกาสสร้างสมบารมี พยายามจะตามรอยพระเวสสันดรให้ได้ บางองค์ไร้ทรัพย์ไร้ปัญญาก็อาจจะสร้างโบสถ์วิหารเอง เอาตัวเองเป็นแรงงานใครไปเป็นลูกน้องท่านก็อย่าหวังเลยว่าจะทำอะไรไปแล้วมีค่าตอบแทน หรือได้รางวัลเป็นเงินเป็นทอง ล้วนเป็นเรื่องการเสียสละ สละออกไปทั้งสิ้น พระโสดาบันนักสร้าง มักนึกสร้างอะไรให้ใหญ่โตมโหฬารเข้าไว้ ความคิดใหญ่เกินตัว บางองค์ไม่มีอะไรกับเขาเลยแม้กำลังกาย (เช่นสำเร็จเอาตอนแก่เฒ่า)ก็บำเพ็ญตนเป็นผู้ให้ทางอื่น เช่นวาจาคำพูดไพเราะ เต็ม<o></o><o></o>ไปด้วยความปรารถนาดี เต็มไปด้วยการอภัย ไม่ถือโทษโกรธเคืองใครทั้งนั้น มี<o></o>ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอย่างแท้จริง คนเข้าใกล้แล้วรู้สึกในมหาเสน่ห์ของท่าน รู้สึกในความเป็นกัลยาณมิตรของท่าน เข้าใกล้ท่านแล้วได้กำลังใจมามหาศาล(พระอริยบุคคลแต่ละระดับมีหลายประเภทตามพื้นฐานเดิมที่พัฒนามา)

    ถ้าฆราวาสเป็นพระโสดาบัน ก็ทำทานมาก บริจาคที่ดินสร้างวัด สร้างโบสถ์วิหาร ศาลาการเปรียญ สร้างสถานศึกษา โรงพยาบาล หรือบริจาคช่วยคนยากคนจน ชอบชวนคนไปทำบุญ สร้างสาธารณประโยชน์ ช่วยบรรเทาสาธารณภัยต่าง ๆ ทำสิ่งที่เป็นงานส่วนรวม งานสาธารณะอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย จะโกรธเกลียดคนบาป แม้ลูกเต้าตัวเอง เป็นบุคคลหลักทางบริษัทสี่ฝ่ายอุบาสกอุบาสิกา (ลักษณะการบำเพ็ญบุญ ความเป็นนักบุญอย่างแม่ชีเทเรซ่า ของคริสต์ศาสนา ก็เข้าข่ายเข้าแนวทางโสดาบันในพระพุทธศาสนา หากแต่จะยากในการก้าวสู่ระดับสกิทาคามี อนาคามีหรืออรหันต์ เพราะความเชื่อพื้นฐานยังไม่สู่สัมมาทิฏฐิ คือความจริงเกี่ยวแก่มนุษย์ ซึ่งยืนอยู่บนทิฏฐิที่ว่า มนุษย์สามารถทำได้ ต้องด้วยอุ้งมือมนุษย์ ไม่ใช่ด้วยการบันดาล ไม่ใช่ทำได้เพื่อถวายพระเจ้า แต่ทำได้แล้วผลที่ทำเป็นประโยชน์แก่ตัวเองเป็นเบื้องต้น ต่อผู้อื่นเป็นการพลอย และประโยชน์นั้นก็คือเพื่อตัวองบริสุทธิ์ ต้องรู้จักตัวเอง มองตัวเอง มองตนให้เห็นตนเองชัดเจนให้ได้ ในวันหนึ่งก็จะรู้ความจริง ว่าพระเจ้าแท้ที่จริงก็คือตัวเราในฐานะ มนุษย์ นี่เอง)
    <o>
    </o>
    <o></o>
    พระสกิทาคามี จะชอบการบูชา จะท่องเที่ยวไปสักการะปูชนียวัตถุทางพระพุทธศาสนา หากมีทรัพย์มากก็จะท่องเที่ยวไปในแผ่นดินต่าง ๆ ทั่วโลก ไปที่ไหน ๆ ก็ร้องไห้ในใจคิดถึงบุญคุณของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์แต่อดีต ที่ได้ทรงสร้างพระพุทธศาสนาไว้ในโลก เป็นเหตุให้ตนได้พบพระพุทธศาสนา จะเดินทางไปเคารพสักการะปูชนียสถานในอินเดีย ไปธิเบต ไปที่ใดใดที่มีสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ไปเยี่ยม อนุเคราะห์คนยากคนจน เห็นความยากความจนเป็นสิ่งสมสร้างบารมี ยังคงสร้างวัตถุอยู่แต่เพลาลง น้อยลงกว่าพระโสดาบัน หันมาทางปฏิบัติบูชามากขึ้น ในระยะสกิทาคามิผลจะค่อยหยุดการท่องเที่ยวไปในแดนโลก เริ่มหยุด เพราะจินตนาการภายในเริ่มเปล่งปลั่งเข้ามาแทน เริ่มจับจิตตัวเองได้ และจะตามจิตไป ๆ ดูอาการทางจิตของตัวเอง เป็นเหตุให้เริ่มสนใจทางสมาธิอย่างเอาจริงเอาจัง ถ้าเป็นผู้รู้อักษรศาสตร์มักชอบบันทึกประจำวัน จะบันทึกความดี ความชั่ว ความชอบ ความชัง ของตนเอง ของคนอื่นและเหตุการณ์ในสังคมเกี่ยวกับคุณธรรมเหล่านี้อย่างละเอียด การท่องเที่ยวของพระสกิทาคามี จะแตกต่างจากการท่องเที่ยวของพระอนาคามี พระสกิทาคามีท่องเที่ยวไปเพื่อดู เพื่อรำลึกความดีความงามของบุพการีชน เพื่อจำเริญจิตอธิษฐาน เพื่อการเจริญรอยตาม แต่พระอนาคามีท่องเที่ยวไป เพื่อหาที่อยู่อันเหมาะแก่การเจริญวิปัสนาญาณ และเพื่อการธุดงค์และกรรมฐาน<o></o>
    <o></o>
    พระอนาคามี จะรู้จักกรรมฐาน ศึกษากรรมฐานชนิดต่าง ๆ อย่างละเอียดเอาใจใส่ และติดตามอารมณ์กรรมฐานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย แม้ไม่รู้จากตำราก็รู้โดยธรรมชาติของการพัฒนาไปของฝ่ายจิต ที่ได้เข้าสู้เส้นทางที่ถูกต้องแล้ว สมาธิจะตั้งมั่น และระดับนี้ มักจะดุดัน กริยาท่าทางตรง ผาดโผนพูดจาตรงไปตรงมา ไม่คำนึงว่าสุภาพถูกหูคนหรือไม่ โยมสตรีอาจถูกด่าโดยไม่ไว้หน้า และโดยที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ (จนอาจจะนึกว่าพระบ้า) มีอำนาจดุจนักการทหารระดับนายพล ท่านจะชอบปลีกตัวจากสังคม เข้าป่าช้าบ้าง เข้าอยู่ห้องดับจิตบ้าง อดอาหาร หรือบำเพ็ญตะปะ มักละวางการสร้างวัตถุขนาดใหญ่โตลง หรือบางกรณีก็กลับตรงกันข้าม เป็นระยะที่เริ่มเข้าสู่โลกในมิติอื่น ๆ ที่เรียกกันว่าสวรรค์บ้าง นรกบ้าง ท่านจะพยายามวิเคราะห์ในปัญหาอันประหลาดลึกลับเช่นนี้ เพราะวิถีทางแห่งการบำเพ็ญสมาธิ จะไปเกี่ยวข้องกับนิมิตต่าง ๆมากมายหลายรูปแบบ ท่านจะต่อสู้กับสิ่งใหม่ ๆ เหล่านี้ที่พระสกิทาคามีหรือพระโสดาบันยังไม่สามารถพานพบได้ จะพูดน้อย หรือไม่พูดเลย นั่งมาก เดินจงกรมก็มาก มีความสุขอยู่กับสมาธิ และการท่องเที่ยวทางสมาธิจิต<o></o>
    <o></o>
    พระอรหันต์ รู้จักท่านทางปัญญาล้วน ๆ พระอรหันต์มีหลายประเภท ท่านที่บริสุทธิ์จริง ๆ ทางปัญญา ท่านก็จะพูดเรื่องปัญญาล้วน ๆ ในขณะที่อีกหลาย ๆ ท่านอาจพูดหลายเรื่องแกมกันไป เช่นพูดเรื่องศีลบ้าง สมาธิบ้าง พูดเรื่องฝ่ายโลกบ้าง ฝ่ายธรรมบ้าง เพราะการพัฒนามาแตกต่างกันนั่นเอง องค์ที่พัฒนามาตามขั้นตอนจะสามารถอธิบายธรรมภาคปฏิบัติได้ละเอียดกว่าองค์ที่ข้ามขั้นไป หากแต่ทางสติปัญญาอาจสู้องค์ที่ข้ามขั้นตอนไปไม่ได้ บางองค์ที่ท่านมีพื้นฐานการศึกษาน้อย รู้แล้วมักพูดมักสอนไม่ได้ เป็นต้นเหตุที่มาของคำว่า “ผู้รู้ไม่พูด ผู้พูดไม่รู้” (เพราะอรหัตผลเป็นวิทยาศาสตร์ ท่านที่เรียนมาทางไสยศาสตร์ไม่เคยรู้เรื่องวิทยาศาสตร์มาก่อนเลยเมื่อสำเร็จธรรม ผลที่ได้พบก็กลับกันไปจากเดิม ที่เคยเรียนมาอย่างไสยศาสตร์ จึงพูดไม่ได้ อธิบายไม่ได้เพราะไม่รู้เหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์ ก็สรุปเอาเองว่า ผู้รู้ไม่พูด ผู้พูดไม่รู้) พระอรหันต์ทั้งหลายมีสิ่งที่เหมือนกันคือ สิ้นกิเลส ข้าศึกไม่มีอีกแล้ว มีความสุขจริง โดยไม่อิงอาศัยโลกเลย ไม่มีความอิจฉาริษยาหลงเหลืออยู่ (ระดับอนาคามียังมีความอิจฉาริษยาอยู่) เป็นผู้ที่ตายไปก่อนตายจริง ๆ แล้ว พระอรหันต์ท่านมักจะมีความรู้ลับ ๆ ที่ท่านอาจจะไม่เปิดเผยให้ใครรู้เลย ตราบตายไปกับท่านก็มี แต่หมู่พระอรหันต์ท่านรู้เหตุผลดีว่าทำไม และท่านจะใช้ตรงนี้เป็นการวัดว่าใครอยู่ภูมิพระอรหันต์หรือไม่<o></o>
    <o></o>
    ข้อสังเกตสำคัญคิดว่าพระอรหันต์น่าจะยุติการสร้างสรรค์ทางวัตถุลง จะต่อต้านวัตถุนิยม กามนิยม และเกียรติ์นิยม มักไม่คบหากับบุคคลส่วนใหญ่ มักพอใจคบเฉพาะคนเป็นปราชญ์ โดยไม่จำกัดศาสนา การบังเกิดพระอริยบุคคลระดับต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนาเท่ากับ เป็นการแบ่งปันหน้าที่กันโดยอัตโนมัติระหว่างหมู่พระอริยบุคคลเหล่านั้น สิ่งที่พระโสดาบันทำ พระสกิทาคามีจะไม่ทำ สิ่งที่พระสกิทาคามีทำ พระอนาคามีจะไม่ทำ และสิ่งที่พระอนาคามีหรือพระอริยบุคคลอื่น ๆ ทำพระอรหันต์จะไม่ทำ ท่านจะทำสิ่งที่เป็นหน้าที่ของท่าน ด้วยเหตุนี้ พระอรหันต์จึงอาจจะมีชื่อเสียงในหมู่มนุษย์ชั้นต่ำสู้พระโสดาบัน หรือแม้คนธรรมดา ๆ คนหนึ่งไม่ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร (ในสังคมที่ไม่มีการจัดระเบียบทางธรรมะ)<o></o>
    <o></o>
    นี่เป็นเพียงข้อสังเกตุโดยรวม โดยประมาณการณ์ ไม่อาจกำหนดว่าตายตัวได้ หากแต่คงมีข้อยกเว้นอยู่ตลอดไปทุกประเด็น แต่มีความจริงอีกประการหนึ่งก็คือ สำหรับพระที่ดูยากที่สุด ก็คือพระอรหันต์นั่นเอง พอจะพูดได้เลยว่า เราดูไม่รู้หรอกว่าใครเป็นพระอรหันต์ เพราะถึงเราปักใจลงไปแล้วว่าท่านเป็นจริง ๆ แต่เราก็อาจจะสะดุดเข้าวันหนึ่งและเริ่มสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง เป็นธรรมดาเช่นนี้เอง สมัยก่อนมีพระพุทธเจ้าคอยชี้บอก ก็เชื่อพระพุทธเจ้า หาเชื่อด้วยตัวเองไม่ จนกว่าเราจะเริ่มเข้าสู่กระแสแห่งธรรมะชั้นสูง เราจึงจะพอดูอะไร ๆ ออกด้วยตนเอง และเชื่อ ด้วยตนเอง ด้วยความมั่นใจอย่างไม่คลอนแคลน นั่นแหละคือความศรัทธาที่แท้จริง ได้บังเกิดขึ้น และ ณ จุดนี้เองที่เป็นต้นกำเนิดแห่งความมั่นคงของศาสนจักร<o></o>
    <o></o>
    นอกจากนั้นยังมีความสลับซับซ้อน ของพฤติกรรมพระอริยบุคคลที่จะยากในการดู ก็คือ เมื่อพระอริยบุคคลเป็นประเภทที่ “หมดบุญ” คือพระระดับอนาคามีลงไป ที่ไม่สามารถพัฒนาไปสู่ระดับสูงได้ ด้วยเหตุใดก็ตาม ก็จะแปลกไปอีก จะดูยากขึ้นไปอีก และอาจจะไม่ตรงกับลักษณะที่แนะนำมาข้างต้นเลยก็ได้ พระประเภทหมดบุญมักจะเฉหรือเบี่ยงเบนออกไปนอกทางที่ถูกที่ควร รวมความถึงพระปุถุชนธรรมดาด้วย ซึ่งมีมากมายเหลือเกินจนสิ้นสภาพความเป็นพระไปแล้วก็มีมาก ซึ่งนี่แหละเป็นปัญหาใหญ่ของพุทธศาสนาในปัจจุบันนี้<o></o>
    <o></o>
    อย่างไรก็ตามแต่ เคยได้ยินท่านเล่าเรื่องประหลาดดังนี้คือ เมื่อพระอริยบุคคลท่านรู้จักกันแล้ว ท่านก็จะมีความเคารพกันขึ้นเองโดยอัตโนมัติ คำว่า “รู้แล้วจะหนาว” ก็มีใช้ในวงการอริยบุคคลด้วย คือเมื่อยังไม่รู้จักใครเป็นใครก็ไม่รู้สึกอะไร แต่พอรู้แล้วว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ก็หนาวขึ้นมาทันที เพราะอานุภาพพระอรหันต์พอจะทำให้คนอื่นรู้จักความต่ำต้อยของเขาได้ดีมาก ไม่ว่าในด้านใดใด (รู้จักคุณแล้วทำให้รู้จักความต่ำต้อยของผม)<o></o>
    <o></o>
    การเปิดตำราดูพระอริยบุคคล อาจเอาหลักอื่น ๆ มาจับอีกก็ได้ เช่นเอาเรื่องสังโยชน์ ๑๐ มาจับก็ได้ แต่เราจะเข้าใจยาก เมื่อท่านพูดถึงเรื่อง ฌาน เพราะคำ ๆ นี้ เป็นคำสากล แต่ในพุทธศาสนาพูดถึงเพียงส่วนนิดน้อยเท่านั้นเอง และไม่มีคำอธิบายไปมากพอ จนกระทั่งท่านที่เขียนตำหรับตำราอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ยังดูคลุมเครืออยู่ คำ ๆ นี้มีธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เรารู้ ๆ กันในตำรา จึงน่าจะเป็นคำ สากล ที่จะต้องอธิบายในแนวศาสนาสากลหรือแนวปรากการณ์แห่งธรรมชาติ<o></o>
    <o></o>
    แต่สิ่งที่ไม่ควรเอามาจับวัดมาตรฐานแห่งพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา ก็คือเรื่องอภินิหารต่าง ๆ แนวคิดที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรงก็คือแนวคิดที่ว่า พระอรหันต์ต้องเหาะเหินเดินอากาศได้(ดังเช่นคำท้าทายว่า "ให้เหาะมาให้เห็นจึงจะเชื่อว่าเป็นพระอรหันต์") พึงเข้าใจว่า นั่นผิด เดิมเราไม่เข้าใจว่า เรื่องการเหาะเหินเดินอากาศเป็นเรื่องของจินตนาการ เช่นหนุมาน ในรามเกียรติ์ หรือ ซึงหงอคง ในไซอิ๋ว เป็นต้น ซึ่งเราพิศูจน์ได้ชัดเจนแล้วในประเด็นที่ว่า ลิงมีฤทธิ์ทั้งสองนี้ที่สามารถ เหาะไปได้ทั่วทั้งโลกสวรรค์ มนุษย์ และบาดาล แต่ลิงทั้งสองก็ไม่เคยรู้เลยว่าโลกเรานี้มีสัณฐานกลม เช่นซึงหงอคงเหาะตีลังกาไปจนถึงที่สุดขอบโลก เห็นเสาจันทน์แดงอยู่ห้าต้นปักเป็นเครื่องหมายอยู่ (ตอนแสดงฤทธิ์อวดพระยูไลพุทธเจ้า ซึ่งแม้กระนั้นซึงหงอคงก็ยังคงเห็นโลกมีสัณฐานแบนราบอยู่) หรือหนุมานเหาะขึ้นไปหยุดรถพระอาทิตย์บนชั้นฟ้า ก็ยังไม่รู้ ไม่เห็นเลยว่าโลกและ ดวงดาวทั้งหลายมีสัณฐานกลม อย่างที่พวกเรามนุษย์ธรรมดารู้กันอยู่ทุกวันนี้ นี่คือข้อพิศูจน์ที่ควรหยุดความเชื่อในอภินิหารว่าเหาะได้ จึงไม่ควรนำมาอ้างเป็นมาตรฐานการวัดพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา แต่เรื่องอภินิหารนั้นมีความลับอยู่ลึกซึ้ง และค่อนข้างละเอียดอ่อน ยากจะมีผู้อธิบายได้ โดยง่าย เพราะแท้ จริงอภินิหารในบางอย่างก็มีจริงอยู่ แต่เราต้องศึกษาอย่างรู้ที่มาที่ไปแห่งอภินิหารนั้น ๆ อย่างวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณ<o></o>
    <o></o>
    อนึ่ง การมองที่ผิวพรรณ หรือรูปธรรมอย่างอื่นของคน เห็นรูปพรรณดี มีสง่า ราศีผุดผ่องลำยองใย อะไรเหล่านี้ ก็นึกว่าคงเป็นพระอริยบุคคลเสียแล้วนั้น ยังไม่รอบคอบพอ และไม่ใช่เหตุผลหลัก เพราะพระอริยบุคคลจริง ๆ นั้นท่านจะมีอุปมาดั่ง ทหารที่กรำศึก รูปธรรมที่เห็นที่ถูกต้องจึงจะออกมาในบุคคลิกภาพของนักสู้ ผู้ทรหดอดทน มีแววตาองอาจสามารถ ไม่ระย่อ จะมีความขึงขังมากกว่าความละมุนละไม มีความระแวงระวังภัยอย่างสูง ดูพระธุดงค์หรือพระป่าที่ท่านกรำแดดกรำฝน ทนอดทนอยากไม่เคยสบายเหมือนพระในเมืองใหญ่ หรือมีภาระการงานมากอดหลับอดนอน นอนไม่พอ ผิวพรรณท่านจะขาวผ่องลำยองใยหรือ อาหารก็ไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนพระในเมืองใหญ่ ๆ แล้วจะอ้วนท้วนสมบูรณ์ผุดผ่องได้หรือ ส่วนความเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ก็ลองสังเกตุดูท่านที่มีทรัพย์อยู่ดีกินดี นอนหลับสนิท เช่นนาย<st1>ห้าง นั่งรถเก๋งคันใหญ่</st1>หรือเจ้านาย ข้าราชการชั้นสูงทั้งหลาย ที่ท่านรู้สึกตัวว่าอุดมสมบุรณ์แล้ว พระก็เหมือนกัน เมื่อมียศ มีทรัพย์ ท่านก็ยิ้มหัวได้สบายใจ ผิวพรรณก็ผุดผ่อง แต่ถ้าทึกทักเอาที่ผิวพรรณว่าเป็นเครื่องหมายแห่งอริยบุคคล ก็จะยังไม่รอบคอบพอ ดังเหตุผลที่กล่าวมา พึงดูเหตุผลให้รอบด้าน รูปธรรม-นามธรรม<o></o>
    <o></o>
    ประเด็นที่ ๒ปัญหาพระเถรานุเถระที่บวชมาตลอดชีวิต ทรงยศถาบรรดาศักดิ์ มีตำแหน่ง มีบ้างไหมที่ได้สำเร็จธรรมะ ตอบยากมาก ใครจะอาจหยั่งรู้ไปได้ขนาดนั้นลองสังเกตจากคำพูดของท่าน หนังสือที่ท่านเขียน เอาหลักไตรสิกขาเข้าจับพร้อมกับสัญโยชน์ ๑๐ ก็คงจะเห็นได้ว่ามีอยู่ไม่น้อย แม้จวน ๆจะเข้าอรหัตมรรคก็มีอยู่ แต่ระดับอรหัตผลนั้นหายาก ท่านพุทธทาสภิกขุระบุว่ามีน้อยจนแทบหาทำยาหยอดตาไม่ได้ แต่กระนั้นก็ไม่สามารถจะนำหมู่ปฏิบัติเพื่อมรรคผลได้ แม้ว่าจะดำรงตำแหน่งสูงก็ตาม เพราะระบบสงฆ์ ที่มียศ มีฐานันดรกันไปทั้งสิ้นแล้วนั้นเป็นตัวปิดกั้นอย่างหนาทึบ เป็นตัวเฟืองแห่งจักรกลตัวใหญ่ที่พาตัวอื่นหมุนไป ซึ่งบรรดาท่านที่สำเร็จธรรมชั้นสูงท่านก็รู้ดีอยู่เต็มอก หากไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงที่ระบบยศพระนี้และระบบการอยู่ในตำแหน่งอย่างไม่จำกัดเวลาหรือตลอดชีพแล้ว การบรรลุธรรมในหมู่สงฆ์จะค่อยลดน้อยลงไปตามลำดับ ๆ จนหมดสิ้นไปในไม่ช้า ในทางตรงกันข้าม พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองมากในโลก หากเพียงแก้ไขปรับปรุงระบบสงฆ์เสียใหม่ โดยจะต้องไม่มีตำแหน่งตลอดชีพ และยศพระ แต่ต้องถือหลัก ความเสมอกันด้วยศีลอันเป็นเกณฑ์ ทางพระวินัย ที่กระตุ้นเตือนพระสงฆ์สาวกทุกรูปโดยเสมอหน้ากัน โดยไม่มีบรรดาศักดิ์หรือตำแหน่งมากีดกั้น ให้ฝักใฝ่ในมรรคผล อันเป็นหน้าที่โดยตรงของเหล่าพระสาวกได้เต็มที่ ทุกรูปโดยอิสระ(คือไม่ควรมีเจ้านายมาคอยกำกับอย่างโง่เขลาในเรื่องมรรคผล ตำแหน่งและยศเป็นเหตุให้เกิดอำนาจการสั่ง การบังคับ การระรานความเสมอกันด้วยศีล แต่ตำแหน่งและยศนั้นไม่อาจบรรดาลให้ใครสำเร็จมรรคผลได้ ศีลต่างหากที่เป็นปัจจัยหลักส่งสู่มรรคผลชั้นประตูธรรมได้) นั่นก็คือหน้าที่ที่จะต้องพยายามไปจนกว่าจะบรรลุมรรคผล เอามรรคผลเป็นหน้าที่ให้จงได้ ซึ่งจะต้องกลับใจเสียตั้งแต่บัดนี้ว่า มรรคผลไม่ใช่สิ่งสูงเกินวิสัยมนุษย์ เท่าที่ศีล ๕ ยังมีมนุษย์สามารถประพฤติตามได้อยู่ ฉะนั้นมรรคผลจึงเป็นเป้าหมายและเป็นหน้าที่แห่งชีวิตที่มนุษย์ทุกรูปนามพึงกระทำและอาจเอื้อมเอาให้ได้ ไม่ใช่สิ่งที่เกินวิสัยมนุษย์ เพียงแต่ต้องมีความมานะพยายาม อย่าท้อถอยทำตนให้เป็นประโยชน์แก่ตนเอง และผู้อื่นก็สามารถสำเร็จประโยชน์ได้ ในขณะที่มีชีวิตอยู่ ชาตินี้แหละ<o></o>
    <o></o>
    ประเด็นที่ ๓ระบบยศพระทำให้ศาสนจักรมั่นคง พระไม่ลาสิกขา ต้อง เข้าใจสัจธรรมเบื้องต้นเสียก่อนว่า นักบวชที่ปราศจากมรรคผลนั้น ไม่อาจจะต้านทานเพลิงกิเลสได้ เหตุผลในเรื่องนี้ เป็นเหตุผลที่คาบเกี่ยวไปถึงสัจธรรมสูงสุดในพระพุทธศาสนาที่ชาวพุทธจะต้องมีพื้นฐานความเข้าใจให้ได้เสียก่อนขอให้ย้อนไปอ่านบทวิเคราะห์ในเล่มเดือน กรกฎาคม ๒๕๔๐ อีกครั้ง ระบบยศพระปิดกั้นกระแสแห่งมรรคผลอย่างไร ได้วิเคราะห์ไว้แล้ว และเมื่อระบบยศพระไม่มีมรรคผล (เพราะความเป็นเจ้าคณะพระสังฆาธิการ หรือความเป็นเจ้าคุณผู้สูงศักดิ์ นั้นไม่ใช่ตัวเหตุที่จะพาไปสู่มรรคผล หากแต่เป็นภูเขาที่ปิดกั้นมรรคผลอย่างแน่นทึบยิ่ง ไม่งั้น เจ้าชายสิทธัตถะก็คงจะตรัสรู้อยู่ภายในพระราชวังสี่ฤดูพร้อม ๆ กับนางสนมนับร้อยแวดล้อมได้) ก็ต้านราคะ ต้านอำนาจโลภะไว้ไม่ได้ อะไรจะเกิ ดขึ้นเมื่อมีความกำหนัดจนล้น และเมื่อกระทำผิดไปแล้ว มีหรือที่จะยอมลาสิกขา นี่กล่าวมารชนิดเดียวคือราคะเท่านั้น ยังมีมารอีกหลายชนิดที่ต้องมีอาวุธประจำกายไปต่อสู้อีกหลายชนิดด้วยกันตามชนิดของมาร<o></o>
    <o></o>
    ตามสภาพวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทย การรับราชการถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของคนไทย เป้าหมายชีวิตคือ การเป็นเจ้าคนนายคน ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ปองประสงค์อันสูงสุดอยู่ พระก็เป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา เมื่อได้ตำแหน่งได้ยศแล้ว ก็เท่ากับบรรลุเป้าหมายแห่งชีวิตแล้ว สบายแล้วเพราะได้เป็นขุนนางพระแล้ว ก็ไม่ฝักใฝ่ในหน้าที่ ละเลยหน้าที่เสีย หรือแม้ขนาดที่ว่าไม่รู้จักหน้าที่ของตนเลยก็มีอยู่มากมาย<o></o>
    <o></o>
    ลองถามดูว่าหน้าที่ของพระสงฆ์คืออะไร ?<o></o><o></o>
    ยังมีคำตอบที่ถูกต้องอยู่หรือไม่ที่ว่า หน้าที่ของพระก็คือต้องพากเพียรให้บรรลุมรรคผลนิพพานให้จงได้ ตราบใดที่ยังไม่บรรลุมรรคผล พระสาวก จักต้องพยายามต่อไป จนกว่าจะถึงฝั่ง นั่นแหละจึ่งจะเรียกว่าหน้าที่ หน้าที่ของคนดี ตามบาลีว่า ํ นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญู กตเวทิตา (เครื่องหมายของคนดีคือความกตัญญูกตเวทิตา) ซึ่งถ้าเราถามต่อไปว่า กตัญญูกตเวทิตา อย่างไร<o></o><o></o>
    มีบ้างไหมที่รำลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และศาสนาของพระองค์ อย่างผู้มีความกตัญญูรู้คุณ<o></o> (แล้วเราก็จะเศร้าเสียใจ)<o></o>
    เพราะการที่พระสาวกบรรลุธรรมสูงสุดที่พระองค์สอนได้ นั่นแหละเรียกว่า คนที่มีความกตัญญูรู้คุณจริง คนที่รู้หน้าที่ของตนจริง<o></o>
    <o></o>
    "โลกรอดได้เพราะกตัญญู" ท่านพุทธทาสภิกฺขุ พูดไว้<o></o>
    <o></o>
    ประเด็นเกี่ยวกับพระอยู่มั่นคงในพระพุทธศาสนา ไม่ลาสิกขา เพราะได้สมณศักดิ์หรือตำแหน่งใดในระบบสงฆ์ปัจจุบันนี้ ไม่ควรเข้าใจผิดไปว่านั่นคือความหนักแน่นในพระธรรมเสมอไป แต่สาเหตุที่สำคัญนั้นกลับเป็นปัญหาเรื่องการทำมาหาเลี้ยงชีพ สำหรับชีวิตพระนั้น ท่านไม่ได้ร่ำเรียนมาในทางที่จะประกอบอาชีพเหมือนชาวบ้านญาติโยม การลาสิกขาจึงเป็นสิ่งที่ท่านต้องคิดมากเสมอ หากไม่ร่ำรวยพอหรือมีวิชาความรู้พอจะออกไปประกอบอาชีพได้แล้ว ท่านก็มักจะต้องทนอยู่ในระบบสงฆ์ต่อไป แม้ไม่มีมรรคผลนิพพานแต่อยู่ในระบบสงฆ์ก็สามารถเอาตัวรอดได้ และที่สำคัญสามารถทำมาหาเลี้ยงตนไปได้เรื่อย ๆ ด้วยบารมีแห่งพระพุทธศาสนา ตราบแก่เฒ่าชราไปก็ไม่หมดไม่สิ้นไร้อาหารการกินอยู่ เพียงแต่ต้องทนอดทนกล้ำทนกลืนไปอย่างไม่รู้อนาคตเท่านั้น ยุคนี้จึงเป็นยุคแห่งความสับสนของนักบวช สับสนว่าจะเอาอะไรกับการบวช ถ้าบวชไปจนแก่เฒ่าแต่ไม่ได้หรือไม่รู้อะไรของมรรคผลนิพพานเลย ก็จะอยู่ไปอย่างทนระทมทุกข์ มีความกดดันต่าง ๆ มากมาย หาความสุขมิได้ และนำไปสู่ประตูแห่งความเสื่อมในที่สุด อันเนื่องมาจากกิเลสร้าย ๆ จูงใจให้จำต้องแสวงหาเงิน หรือจำต้องประพฤตตกต่ำ และเมื่อจำต้องนำระบบยศ-ตำแหน่งเข้ามา ปัญหาก็กลายรูปไปอย่างใหญ่หลวงในประการที่เพิ่มทวีความเสื่อมทรุดลงไปตามลำดับ ดังที่ วิเคราะห์ข่าวในวงการฯ ได้นำมาสู่ความเข้าใจเป็นลำดับมาแต่ต้นแล้ว<o></o>
    <o></o>
    สิ่งที่ควรสังเกตเกี่ยวกับวิธีมองพระอริยบุคคลยังมีอีกมาก อย่างหนึ่งก็คือวิธีมองตัวเอง หากคิดว่าตัวเองสำเร็จธรรมเป็นพระโสดาบันแล้ว เมื่อคนสำเร็จธรรม เป็นพระโสดาบันแล้วนั้น จะเท่ากับได้ชีวิตใหม่ ผู้สำเร็จจะมีความรู้สึกเหมือนเกิดใหม่ มีเลือดใหม่ มีลักษณะเหมือนเกิดในกองบุญอันบริสุทธิ์ ชีวิตอยู่ในความดีแต่ส่วนเดียว จะรักความดียิ่งชีวิต มีชีวิตแห่งความเสียสละ มีแต่จาคะคือการสละออกไปโดยตลอดอย่างไม่มีการหวังสิ่งตอบแทน ด้วยมุ่งหมายไปอย่างสุดฤทธิ์สู่มรรคผลสูงสุด คือความเป็นพระอรหันต์เป็นผู้ที่ได้กลิ่นแห่งพระนิพพานแล้ว นี่คือความมั่นคงอย่างยิ่ง ที่ไม่มีการลงทุนลงแรงเลย ประชาชนไม่จำต้องเสียภาษีเพื่อค่าความมั่นคงชนิดนี้ และบุคคลชนิดนี้แหละที่จะเป็นปราการหลัก ขุนพล และแม่ทัพพระพุทธศาสนาที่แท้จริงต่อไป อันเป็นหน้าที่ของท่าน ๆ โดยอัตโนมัติ แต่นี่เป็นความมั่นคงระดับประตูที่๑ คือโสดาบันเท่านั้นเอง ก็ทรงคุณประเสริฐมากแล้ว<o></o>
    <o></o>
    ประเด็นที่ ๔ ประเด็นความรอบคอบ จะทำอะไรต้องรอบคอบ นั้น ความรอบคอบอยู่ที่ภูมิปัญญา คนลังเลสงสัยอยู่ก็เพราะความไม่รู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องของมรรคผล จนกระทั่งเห็นไปอย่างป่าเถื่อนไปสุด ๆ ว่ามรรคผลไม่มีในโลก ซึ่งแท้จริงแล้วไม่น่าเป็นความคิดหรือคำพูดของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ควรเป็นศาสนาอื่นเขาพูดมากกว่า เมื่อไม่ยืนยันในเรื่องมรรคผลแล้วศาสนาของพระพุทธเจ้าก็ไม่มีขึ้นในโลกนี้ จะไม่มีศาสนาพุทธเกิดขึ้นมาในโลกนี้ หากไม่มีการตรัสรู้ว่าด้วยเรื่องมรรคผล และหากมรรคผลไม่อาจมีต่อไปอีกแล้วศาสนาพุทธก็จบลง เพราะสาระแห่งความดีความประเสริฐไม่มีอีกแล้วจะเผยแผ่พุทธศาสนาไปอย่างไร เพราะอะไรที่จะบ่งบอกคุณค่าของพระพุทธศาสนาไปอวดไปอ้างแด่ชาวโลกผู้เจริญ ไม่มีอีกต่อไปแล้ว อะไรที่บอกคุณค่าของการบวชไม่มีอีกต่อไปแล้ว และหากสิ้นสัมมาทิฏฐิ คือความเชื่อว่ามรรคผลอาจเอื้อมเอาได้ด้วยความพยายาม ก็เป็นอันสิ้นศาสนา<o></o>
    <o></o>
    แต่สิ่งที่สงฆ์ไทยอวดชาวโลกอยู่ปัจจุบันนี้ก็คือ ยศ-ตำแหน่ง อันเป็นของฝ่ายโลกเป็นโลกธรรม และซ้ำเป็นโลกยุคเก่า ในระบบเจ้าขุนมูลนายอัน เป็นระบบการปกครองที่ล้าหลัง ไม่ทันยุคทันสมัย ซ้ำพลอยฉุดสังคมยุคใหม่ ยุคประชาธิปไตยประชาชนให้ล้าหลังทางการเมืองการปกครองไปอีกด้วย หากเราไม่ตระเตรียมการปรับปรุง พาการคณะสงฆ์ไปสู่เป้าหมายแห่งมรรคผลนิพพาน แห่งเสรีภาพของความเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ หรืออริยบุคคลแล้ว ต่อไปจะลำบากแก่หมู่สงฆ์เอง จะเป็นทางหายนะในระดับสากลโลก เพราะสถานการณ์การศาสนาโลกขณะนี้ได้หมุนไปอย่างเกรี้ยวกราด อาจทำลายสิ่งดีสิ่งงามสิ่งมีค่าของพระพุทธศาสนาได้โดยง่าย เพราะขณะนี้กลายเป็นระบบศาสนาที่ไม่มีพลังแห่งศาสนาที่แท้จริง มีแต่พลังเทียม ๆ ที่แอบอาศัยพลังอย่างอื่น-ระบบอื่นอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2010
  7. พุทธิวงษ์

    พุทธิวงษ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,200
    ค่าพลัง:
    +7,879
    มาแย้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อ่านแล้วนึกว่าโหน่งมา....ที่แท้พี่หนึ่งนี่เอง... สวัสดีครับพี่ หายไปหลายวัน มีเรื่องเด็จๆมัยครับ:cool:
     
  8. namo_2009

    namo_2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,432
    ค่าพลัง:
    +10,228
    ท่านพี่หนึ่งร้านหมูย่างเกาหลี ที่ขอนแก่นอร่อยไหมครับพี่ อิอิ
     
  9. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    กาหลงซาก

    [​IMG]นานมาแล้ว มีซากช้างลอยไปตามกระแสน้ำ กาตัวหนึ่งพบเข้าก็ดีใจ คิดว่าตนเป็นผู้โชคดีเพราะจะได้อาหารกินฟรีโดยไม่ต้องออกแรงไปอีกนาน จึงโผลงจับที่ซากช้างนั้น จิกกินเนื้อช้างที่เน่าเปื่อยอิ่มแล้วก็หลับอยู่บนซากช้างนั้นเอง ตื่นขึ้นก็กินอีก กินๆ นอนๆ อยู่กับซากช้างนั้นอย่างมีความสุข โดยไม่เคยมองรอบตัวบ้างเลย นานวันเข้ากระแสน้ำก็ไหลออกสู่ทะเล ซากช้างก็พลอยไกลฝั่งออกไปเรื่อยๆ จนถึงกลางมหาสมุทร


    พอซากช้างเปื่อยเน่าสื้นไปกาก็มองไม่เห็นฝั่งเสียแล้ว ถึงจะพยายามบินกลับอย่างไรก็ไม่สามารถพ้นจากมหาสมุทรได้ จึงหมดแรงจมน้ำตายในที่สุด


    ในทางธรรม ซากช้างที่ลอยไปตามกระแสน้ำนั้นท่านเปรียบเหมือนกามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส ที่น่าพอใจ ทำให้เกิดสุข ซึ่งเป็นเรื่องที่ปุถุชนมุ่งแสวงหา เพราะที่มนุษย์ต้องการเงินทองข้าวของ อาหารการกินหรือที่อยู่อาศัย ก็เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือให้ชีวิตเข้าถึงรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส ที่ทำให้เกิดสุขทั้งสิ้น ไม่นับวัตถุสิ่งของเครื่องปรนเปรอความสุขส่วนเกินที่มีอยู่อีกกลาดเกลื่อนมากมาย กามคุณ ๕ จึงเป็นของคู่กับชีวิตมนุษย์ โดยเฉพาะมนุษย์ปุถุชนด้วยแล้วก็เปรียบเหมือนอาหารที่จำเป็นกับชีวิตนั่แหละ


    ข้อควรระวังในเรื่องนี้ก็คือ แม้ต้องมีกามคุณเป็นอาหารของชีวิต แต่ไม่ควรหลงใหลเผลอสติ ต้องนึกไว้เสมอว่า ชีวิตที่ผูกพันกับกามคุณ ก็เหมือนการอยู่บนซากช้างที่ลอยไกลออกไปทุกที แล้วฝึกคิดให้เห็นด้านที่เป็นโทษของกามคุณเสียบ้าง ยินดีในความสุขเหล่านั้นแต่พอประมาณ จึงจะไม่ต้องพบชะตากรรมเหมือนกาหลงซากตัวนั้น
     
  10. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    <table align="center" border="0" width="633"><tbody><tr> <td width="295" height="153"> ชีวิตไร้ สาระ ขณะนี้
    แม้ชีวิต เหลือน้อย ลงเพียงใด






    มีคนเห็น หรือไม่ เป็นไรเล่า

    มีคนเห็น หรือไม่ ไม่สำคัญ

    </td> <td width="322"> ยังไม่สาย เกินที่ คิดแก้ไข
    ควรภูมิใจ ที่เรา ได้ทำดี





    ควรเลือกเอา ความดี ที่สร้างสรรค

    ใจเรานั้น รู้ว่าดี เท่านี้พอ

    </td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2010
  11. พุทธิวงษ์

    พุทธิวงษ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,200
    ค่าพลัง:
    +7,879
    ครับพี่หนุ่ม................
     
  12. ศิษย์หลวงปู่กวย009

    ศิษย์หลวงปู่กวย009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,867
    ค่าพลัง:
    +17,327

    รูปนี้ บริษัท ผม สร้างถวาย วัดโฆสิตาราม (หลวงปู่กวย)

    ชื่อ"อธิฐาน ถาดสีทอง"

    อีกรูป

    ชื่อ "พระราหู บรรพชา"

    ทางคนทำเค้าบอกอย่างนั้น ครับ

    และทางคนทำพิมพ์ ชื่อ บริษัท ผม ขาดหายไป แม้น่าโมโห ฮื่มๆๆ มาเห็นตอน เอารูปขึ้นติด ผนังไปแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN0387.JPG
      DSCN0387.JPG
      ขนาดไฟล์:
      804.7 KB
      เปิดดู:
      55
    • DSCN0389-1.jpg
      DSCN0389-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      516.3 KB
      เปิดดู:
      70
  13. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    มีเรื่องเล่าว่าในรัชสมัยที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงครองกรุงศรีอยุธยา นับได้ว่าเป็นยุคที่บ้านเมืองมีความสงบสุขจากข้าศึกสงคราม และเปี่ยมไปด้วยประชากรที่มีระเบียบวินัย เพราะการปกครองของพระองค์ใช้ทั้งกฎหมายและระเบียบ ข้อบังคับ โดยที่ข้อบังคับใดพระองค์ทรงวางไว้ใครจะมาล่วงละเมิดไม่ได้ และเพราะเหตุที่บ้านเมืองมากไปด้วยระเบียบวินัย ประชาชนบางพวกไม่พอใจ จึงขอให้พระเถระรูปหนึ่งเข้าเฝ้าเพื่อขอให้พระองค์ทรงลดหย่อนเรื่องระเบียบวินัยลงเสียบ้าง สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเมื่อได้สดับเช่นนั้น จึงทรงรับสั่งว่า “ เรื่องที่พระคุณเจ้าขอร้องมานี้โยมขอเวลาผัดผ่อนไปสัก ๗ วัน แล้วโยมจะให้คำตอบ ”




    <table align="right" border="0" width="149"> <tbody> <tr> <td width="293">
    </td></tr></tbody></table> และก่อนพระเถระจะกลับทรงถวายลิงตัวหนึ่งแก่พระเถระไปโดยขอร้องว่าอย่าล่ามโซ่ เมื่อพระเถระนำลิงมาเลี้ยงที่วัดโดยไม่ล่ามโซ่ก็สร้างความโกลาหลวุ่นวายขึ้นตามประสาลิง จนพระเถระทนไม่ไหว สามวันต่อมาจึงนำลิงไปส่งคืน สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเมื่อทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงทรงตรัสถามพระเถระก็เพราะว่าทั้งพระองค์และพระเถระมีข้อตกลงกันว่าล่วงไปเจ็ดวันถึงจะให้คำตอบ แต่เมื่อทราบว่าพระเถระมาครั้งนี้เพราะเอาลิงมาคืนมิใช่มาขอคำตอบ จึงทรงพระสรวลแล้วตรัสว่า


    “ พระคุณเจ้า เอาลิงตัวเดียวไปเลี้ยงโดยไม่ล่ามโซ่ มันยังทำความเดือดร้อนถึงเพียงนี้ แต่โยมเลี้ยงคนทั้งประเทศ คนทั้งประเทศเหมือนกับลิง ... กฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับคือ โซ่.. การปกครองคนโดยไม่ใช้กฎหมายเหมือนกับการเลี้ยงลิงโดยไม่ล่ามโซ่ เพียงลิงตัวเดียว พระคุณเจ้ายังแย่ ถ้าโยมปกครองคนทั้งประเทศโดยไม่ใช้กฎหมายและระเบียบวินัยแล้ว บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร..” เมื่อได้รับฟังดังนั้น พระเถระก็ยอมรับความจริงว่า การปกครองคนหมู่มาก จำเป็นต้องมีกฎหมาย ข้อบังคับและระเบียบวินัย มิฉะนั้น บ้านเมืองจะวุ่นวายเหมือนการเลี้ยงลิงโดยไม่ล่ามโซ่นั่นเอง

    อุทาหรณ์ของเรื่องนี้ จึงสอนให้รู้ว่าความมีระเบียบวินัยเป็นสิ่งที่จะต้องนำมากวดขันและปฏิบัติกันอยู่ทุกเมื่อ เพราะระเบียบวินัยเป็นเครื่องฝึกให้คนรู้จักระวังตัว รู้จักควบคุมตัวเอง และรู้จักเชื่อฟัง ตลอดจนคนมีวินัย จึงเป็นคนที่มีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่การงานทุกประการ ฉะนั้น คนทำงานที่ดี... ต้องมีระเบียบวินัย เหมือนมีโซ่ผูกใจตนเองไว้มิให้ไปทำชั่ว ทุจริตเสียหายให้เกิดความวุ่นวาย เสื่อมเสียแก่ตนเองและหน่วยงาน ฉะนั้น ท่านทั้งหลาย จึงพึงระลึกไว้เสมอว่า “ ทุกคนจะต้องมีวินัยที่ดี และต้องรักศักดิ์ศรีของหน่วยงาน”
     
  14. พุทธิวงษ์

    พุทธิวงษ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,200
    ค่าพลัง:
    +7,879

    ครับพี่ อยู่นี่เอง ผมอยากได้ต้นฉบับที่พี่มีอีกมัยครับ จะเอามาติดบ้านครับพี่ ถ้าไม่มีไม่เป็นไรนะครับ ผมว่าจะไป Plot เอาที่บริษัท
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2010
  15. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    ในขณะที่การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกกำลังเป็นไปอย่างเข้มงวดเข้าไปทุกทีและทุกคนที่เป็นแฟนของสโมสรต่าง ๆ กำลังติดตามรับชม โดยที่ยังมีผู้ชมบางคนนั้นไม่ได้เป็นเพียงผู้ชมอย่างเดียวแต่ยังมีการเล่นพนันติดตามมาด้วย เมื่อกล่าวถึงการพนันในทางพุทธศาสนานับว่าเป็นอบายมุขคือหนทางแห่งความเสื่อม และเป็นเหตุแห่งความฉิบหายแก่ผู้เล่น



    เพราะขึ้นชื่อว่าการพนันแล้วเป็นสิ่งที่ไม่ดี ล้วนแต่จะนำตนและครอบครัวให้ได้รับความเดือดร้อน และถึงซึ่งความพินาศฉิบหายโดยฝ่ายเดียว ในเรื่องของการเล่นการพนันนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงโทษของการพนันไว้ถึง ๖ ประการด้วยกันนั่นก็คือ.....


    <table align="right" border="0" width="200"> <tbody> <tr> <td>

    </td></tr></tbody></table> ๑. ผู้ชนะย่อมก่อเวร หมายถึง การพนันนั้น ย่อมมีการแพ้ย่อมมีการชนะ และเป็นเหตุแห่งการก่อเวรได้ทั้งนั้น เพราะผู้ชนะอาจนำไปใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยเกินกว่าเหตุ ตลอดจนผู้แพ้เพราะการเสียทรัพย์ ก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ โกรธแค้นตัวเอง โกรธแค้นผู้ชนะและเสียใจอยากเอาคืน คืออยากได้ทรัพย์นั้นกลับคืนมา จึงเกิดการอาฆาตจองเวรหาทางเอาชนะ

    ๒. เมื่อแพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ที่เสียไป หมายถึง เกิดความเสียดายในทรัพย์นั้น และอาจเสียอนาคตเพราะการคดโกง และทุจริตคิดไม่ชอบ เพื่อหาทรัพย์ไปเล่นแก้ตัว สุดท้ายก็หมดตัวไปในที่สุด

    ๓. ทรัพย์ที่หามาได้ย่อมฉิบหาย หมายถึง เมื่อเล่นการพนันแพ้แล้ว ทรัพย์ที่เคยหามาได้นั้นย่อมฉิบหายไป ดังที่คำโบราณกล่าวไว้ว่า....... “โจรปล้นเพียงแต่หมดของใช้ ไฟไหม้เพียงแต่หมดทรัพย์สิน ถ้าการพนันกัดกิน จะไม่มีแผ่นดินอาศัย ”

    ๔. ไม่มีใครเชื่อถือถ้อยคำ หมายถึง เวลาเสียทรัพย์แล้วจะไปออกปากยืมเงินใคร เขาก็ไม่ให้ เพราะไม่มีใครเชื่อถือ บางคนหาทางออกไม่ได้ถึงกับก่ออาชญากรรมต่าง ๆ หรือบางทีถึงกับทำลายชีวิตตนเองก็มี

    ๕. ไม่มีใครประสงค์จะแต่งงานด้วย หมายถึง ไม่มีใครประสงค์จะร่วมชีวิตเป็นคู่ครองด้วย เพราะกลัวว่าจะพาครอบครัวไปสู่ความฉิบหายล่มจม

    ๖. เป็นที่หมิ่นประมาทของเพื่อน ไม่มีเพื่อนจะคบหาสมาคมด้วย เพราะจะบากหน้าไปหาเพื่อนคนไหน เพื่อนก็พากันเบือนหน้าหนี ขาดความไว้วางใจเชื่อถือจากเพื่อน และมักจะได้รับคำติฉินนินทาอยู่ร่ำไป ฉะนั้น หากคิดจะเล่นการพนัน ก็โปรดคิดไว้ในใจเสมอว่า.......

    ปล้นสิบครั้งยังไม่ถึงหนึ่งไฟไหม้ เหลือบ้านไว้เพียงหลังน้อยค่อยสร้างสรรค์ ไหม้สิบครั้งยังไม่ถึงหนึ่งพนัน เล่นทุกวันเดือดร้อนทั่วทุกครัวเรือน

    อัคคีภัยยังปราณีที่ดินเหลือ พอจุนเจือจำนองได้ไม่ร้ายเหมือน
    การพนันนั้นเหลือร้ายจึงได้เตือน ทั้งบ้านเรือนทรัพย์สินหมดสิ้นเอย ​
     
  16. iamTHA.chincho

    iamTHA.chincho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2009
    โพสต์:
    380
    ค่าพลัง:
    +835
    พี่หนุ่มครับ จากที่พี่เคยแจ้งไว้ ว่าช่วงสิ้นเดือน ส.ค. น่าจะมีความคืบหน้า โครงการที่เปิดรับสมัคร ผู้ที่สนใจที่จะกลับไปทำงานรับใช้บ้านเกิด ไม่ทราบพอจะมีความคืบหน้าบ้างหรือยังครับพี่ อยากมีโอกาสกลับไปช่วยพัฒนาบ้านเกิดอ่ะครับ
     
  17. ศิษย์หลวงปู่กวย009

    ศิษย์หลวงปู่กวย009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,867
    ค่าพลัง:
    +17,327

    ไม่ได้ไปไหนเลยครับ ขับรถ 6 ชม. ถึงที่ ก็ พักได้ ชม. ก็ออกไป ดูน้องๆ ทำงาน ครับ
     
  18. พุทธิวงษ์

    พุทธิวงษ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,200
    ค่าพลัง:
    +7,879
    ดูแลสุขภาพด้วยนะครับพี่...............อ๊ะเอารูปใหญ่ได้มัยครับดูไม่ชัดเลย......:cool:
     
  19. ศิษย์หลวงปู่กวย009

    ศิษย์หลวงปู่กวย009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,867
    ค่าพลัง:
    +17,327
    ก็พอดูได้ ครับ 5555 กินแล้วหายหิว 5555 (ล้อเล่งน่า)

    แต่ เด็ก เชียร์ เบียร์เชียร์ แจ่มๆๆๆๆๆ หน้ารูปไข่ จมูกโด่ง ขาว หุ่นดี มากๆ นั่งกินไป มองไป 555 แต่ไม่ได้ดื่ม น้องเค้าเลยไม่ค่อย เดินมาที่โต๊ะ 555 ได้แต่ มอง ระยะไกลๆๆ 555
     
  20. namo_2009

    namo_2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,432
    ค่าพลัง:
    +10,228
    ไปดูน้องๆทำงาน หรือไปชิมของอร่อยเมืองขอนแก่นครับ 555+
     

แชร์หน้านี้

Loading...