รวม ธรรมะสั้นๆ เข้าใจง่าย ของครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น - พระป่าธรรมยุติ etc.

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย kennek, 30 มีนาคม 2012.

  1. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    "ปาก จมูก เป็นประตู...หู ตา เป็นหน้าต่าง...
    เราต้องคอยปิดเปิดให้ถูกกาลเวลา จึงจะได้รับประโยชน์และปลอดภัย"

    ...ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    "...ความสนใจของบุคคลผู้ไม่มีสมาธิภาวนา โดยมากย่อมจนใจอยู่ในข้อที่ว่า
    ทำบุญล้างบาป ก็ล้างไม่ได้หรือคำว่าทำบุญแก้บาป ก็แก้ไม่ได้เมื่อเช่นนี้
    บุคคลผู้จะละบาปบำเพ็ญบุญนั้น จะต้องทำอย่างไรกัน

    ข้อนี้ตอบได้ง่ายๆ ว่า ต้องนั่งสมาธิภาวนานอกจากนั่งสมาธิภาวนา
    แล้ว ไม่มีวิธีอย่างอื่นจะพึงแก้ได้

    เพราะเหตุว่า การนั่งสมาธิภาวนานี้มีอานิสงส์มากเป็นวิธีแก้จิตที่เป็นบาป
    ให้กลับเป็นบุญได้ตลอดจนแก้จิตที่เป็นโลกีย์ให้เป็นโลกุตรได้ เมื่อแก้จิตให้บริสุทธิ์แล้ว
    บาปอกุศลก็หลุดหายไปเอง อุทาหรณ์ข้อนี้ พึงเห็นพระองคุลีมาล เป็นตัวอย่าง..."

    หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    อิฐก้อนหนึ่งมีน้ำหนัก 10 กิโล
    แล้วเอาทองคำแท่งหนึ่งมาวางลงเทียบกัน น้ำหนัก 10 กิโล
    ทองคำกับอิฐทั้งสองก้อนนี้
    เมื่อยกขึ้นแล้ว จะมีน้ำหนักเท่ากัน

    ถ้าว่าเป็นทุกข์เพราะความหนักในการยกอิฐ
    และยกทองคำก็เป็นทุกข์เท่ากัน
    เพราะฉะนั้น เพื่อความไม่เป็นทุกข์
    จึงไม่ยกทั้งทองคำ ไม่ยกทั้งอิฐ ปล่อยไว้ตามเป็นจริง

    อิฐหรือทองคำเทียบกับความนินทา และความสรรเสริญ
    ความนินทาเท่ากับอิฐก้อนหนึ่ง
    มันก็มีน้ำหนักของมันเท่านั้น
    ความสรรเสริญแม้ว่าเป็นของดี
    มันก้มีน้ำหนักเช่นเดียวกัน
    ไปยกขึ้นก็หนักเท่ากัน


    เพราะงั้นจึงปล่อยเสียทั้งหมด โดยสิ้นเชิง
    เมื่อไม่ยกอะไรแล้ว ก็หาความทุกข์ไม่ได้
    เช่น พระพุทธเจ้าทรงปล่อยวางหมดแล้ว
    พระอรหันต์ปล่อยวางหมดแล้ว
    ความทุกข์ทางจิตใจ เพราะอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นท่านจึงไม่มี
    เปิดออกหมดไม่มีอะไรเหลือ

    ธรรมเมื่อเข้าสุ้หัวใจใดแล้วย่อมพอ
    ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าคำว่า พอ
    คำว่า นิพพาน แปลว่า ดับกองทุกข์ทั้งหลายนั้นแลจากจิตใจ
    เมื่อสมมุติดับโดยสิ้นเชิงแล้ว ใจก็พอ

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    ผิดถูกต้องเดินไปตามแถวธรรม 2 ตุลาคม 2545
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    [​IMG]


    อุบายธรรมของพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านให้ห้อยพระไว้ที่คอ ก็เพราะว่า เวลาที่จิต คิดไม่ดี
    คิดอกุศล ทำไม่ดี ทำอกุศลต่างๆ ก็จะได้มีความละอาย มีความเกรงกลัวต่อบาป เพราะว่า
    พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านอยู่ต่อหน้าเรา อยู่ใกล้ใจเรา ถ้าเราทำผิด คิดอกุศล ก็ถือว่าเรา
    ทำผิดต่อหน้าพ่่อแม่ครูอาจารย์ ผิดต่อธรรม ผิดต่อพระพุทธเจ้า

    หลวงปู่ยังบอกอีกว่า พวกที่ห้อยพระเยอะๆ ของขลังเยอะๆๆ มีพระเยอะ
    พวกบาป เลยต้องหาพระมาแขวน ของขลังมาแขวน หลวงปู่พูดไปก็หัวเราะไป.....

    หลวงปู่อุดม ญาณรโต
     
  5. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    [​IMG]


    "อย่าคิดว่าสิ่งใดจะวิเศษวิโสกว่าการงานคือการแก้กิเลส
    และอย่าไปสนใจกับสิ่งใดวัตถุสมบัติใดว่าเป็นสิ่งวิเศษวิโส
    ยิ่งกว่าสมบัติคือธรรมที่ได้เกิดขึ้นมาโดยลำดับๆจนกระทั่งถึงวิมุตติสมบัติ
    อันนี้เลิศประเสริฐไม่มีสมบัติใดเสมอในไตรโลกธาตุนี้"

    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี
     
  6. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    [​IMG]


    "หวังพระนิพพานด้วยความเพียรเท่าฝ่ามือนั้น
    ลองคิดดูกิเลสเท่ามหาสมุทร แต่ความเพียรเท่าฝ่ามือนั้น
    มันห่างไกลกันขนาดไหน"

    หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
    พระอาจารย์ใหญ่พระธุดงคกรรมฐานไทย
     
  7. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    [​IMG]


    "ศรัทธาที่เกินหน้าปัญญา กลายเป็น งมงาย
    ปัญญาที่เกินหน้าสติ กลายเป็น หลงตัวเอง
    สมาธิที่เกินหน้าปัญญา กลายเป็น เกียจคร้าน"

    หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี
     
  8. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    [​IMG]


    "พระพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องของการอ้อนวอน ร้องขอ หรือให้กันได้
    ทุกคนจะต้องทำด้วยตนของตนเอง จึงจะได้รับผล"

    ....ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
     
  9. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    [​IMG]


    ถ้าผู้นับถือมีจิตใจสูง ความดึงดูดของจิตใจก็ทำให้วัตถุนั้นๆ มีคุณค่าสูงตามไปด้วย
    คนที่ไม่นับถือถึงมีของดีอยู่กับตัวก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะกระแสธาตุแห่งความดึงดูดของจิตไม่มี

    ...ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    ภาพชุดประวัติศาสตร์ขณะอาราธนาองค์หลวงปู่มั่นขึ้นคานหาม
    จากวัดป่าบ้านหนองผือสู่วัดป่ากลางโนนภู่



    [​IMG]



    [​IMG]

    [​IMG]


    ตามปูมประวัติหมู่บ้านบอกว่า ชาวบ้านผือได้ให้ความเคารพและผูกพันกับหลวงปู่มั่นมาก เมื่อหลวงปู่มั่นแสดงเจตนาที่จะทิ้งวัดเพื่อไปปลงสังขารที่สกลนคร เนื่องจากท่านได้พิจารณาเห็นว่า หากท่านมรณภาพที่วัดป่าบ้านผือ ชาวบ้านคงต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอีกเป็นจำนวนมากเลี้ยงดูผู้ที่มางานปลงศพของท่าน ทำให้ท่านเกิดความเมตตาสงสารสัตว์เหล่านั้นมาก ในที่สุดท่านจึงปรารถนาการปลงสังขารที่อำเภอเมืองสกลนคร เพราะเห็นว่าที่นั่นมีตลาดที่ทำมาค้าขายกันเป็นปกติอยู่แล้ว อาหารการกินก็หาซื้อได้ง่าย

    หลวงปู่มั่นได้สั่งเสียชาวบ้านผือครั้งสุดท้ายด้วยถ้อยคำภาษาอีสานที่กินใจอย่างยิ่งว่า

    “เมือเสียเด้อ หมดทอนี่หละเด้อ เอาน้ำไปหดไม้แก่นล่อน ให้มันป่งเป็นใบ บ่มีดอกเด้อ ให้พากันเฮ็ด พากันทำตามที่อาตมาเคยพาเฮ็ดพาทำนั้นเด้อ อย่าลืมเด้อ...ให้พากันรักษาศีลห้า ถ้าผู้ใด๋รักษาศีลห้าได้ตลอดชีวิต ผู้นั้นเลิศที่สุด หมดทอนี้หละ”

    จากบันทึกของหลวงตาทองคำ จารุวณฺโณผู้อุปฐากองค์หลวงปู่มั่นในช่วงอาพาธได้บันทึกเหตุการณ์ในช่วงที่ท่านมาพักอาพาธไว้ในหนังสือ " บันทึกวันวาน " ไว้ดังนี้

    "... คืนวันที่ ๑๑ ที่มาพักวัดกลางบ้านภู่ เวลาตีสามเห็นจะได้ ท่านพระอาจารย์มีอาการไม่สบายมาก ท่านโบกมือขวาบอกว่าไปสกลฯ ไปสกลฯ จนอาการทุเลาลง คณะคิลานุปัฎฐาก ( ผู้ปฏิบัติภิกษุไข้ ) ก็ทำการเช็ดตัว ถวายน้ำล้างหน้า เช็ดหน้า ห่มผ้า ก็รุ่งสว่างพอดี

    อาหารบิณฑบาตพระป่วยก็นำมา ผู้เล่าตักถวาย ท่านอาจารย์วันประคองข้างหลัง อาหารช้อนแรก ท่านเริ่มเคี้ยวพอกลีนได้ครึ่งหนึ่ง ก็มีอาการไอ ไอ ไอติดต่อกัน อาหารช้อนแรกยังไม่ได้กลีนก็ต้องคายออก

    ตักถวายช้อนที่สอง ท่าน ยังไม่ได้เคี้ยวเกิด ไอ ไอ ไอใหญ่ ท่านคายลงกระโดนแล้วบอกว่า

    " เรากินมา ๘๐ ปีแล้ว กินมาพอแล้ว "

    ผู้เล่าถวายน้ำอุ่นให้ดื่มเพื่อระงับอาการไอ

    ท่านบอกว่า " เอากับข้าวออกไป "

    ผู้เล่าอ้อนวอนท่าน อีก " เอาอีกแล้ว ทองคำนี้ พูดไม่รู้จักภาษา บอกว่า เอาออกไป มันพอแล้ว " ก็จำใจนำออกไป

    พอท่านบ้วนปากเสร็จ จึงเข้าไปประคองแทนท่านอาจารย์วัน ท่านบอกว่า " พลิกเราไปด้านนั้นทางหน้าต่างด้านใต้ " แล้วบอกว่า " เปิดหน้าต่างออก "

    ผู้เล่ากราบเรียนว่า " อากาศยังหนาวอยู่ สายๆ จึงค่อยเปิด "

    "เอาอีกแล้ว ทองคำนี้ไม่รู้ภาษาจริงๆ บอกว่าให้เปิดออก หูจาวหรือจึงไม่ได้ยิน"

    พอเปิดหน้าต่างออกไป อะไรได้คนเต็มไปหมดทั้งบริเวณ ประมาณได้เป็นร้อยๆ คน ทุกคนที่มาจะเงียบหมดไม่มีเสียงให้ปรากฏ ถ้าเราอยู่ที่ลับตาจะไม่รู้ว่ามีคนมาทุกคนก้มกราบประนมมือ

    ท่านพระอาจารย์กล่าวว่า

    "พวกญาติโยมพากันมามาก มาดูพระเฒ่าป่วยดูหน้าตาสิ เป็นอย่างนี้ละญาติโยมเอ๋ย ไม่ว่าพระไม่ว่าคน พระก็มาจากคน มีเนื้อมีหนังเหมือนกัน คนก็เจ็บป่วยได้ พระก็เจ็บป่วยได้ สุดท้ายก็คือ ตาย ได้มาเห็นอย่างนี้แล้วก็จงพากันนำไปพิจารณา เกิดมาแล้ว ก็แก่ เจ็บ ตาย แต่ก่อนจะตาย ทานยังไม่มีก็ให้มีเสีย ศีลยังไม่เคยรักษาก็รักษาเสีย ภาวนายังไม่เคยเจริญ ก็เจริญให้พอเสีย จะได้ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ด้วยความไม่ประมาท นั้นละจึงจะสมกับที่ได้เกิดมาเป็นคน เท่านี้ละ พูดมากก็เหนื่อย" นี้คือ โอวาทที่ท่านฯ ให้ไว้แก่ชาวพรรณานิคมตั้งแต่นั้นจนวาระสุดท้ายท่านไม่ได้พูดอักเลย ..."

    ภายหลังญาติโยมทางวัดป่าสุทธาวาสได้จัดรถมารับองค์ท่านและมรณภาพที่วัดป่าสุทธาวาสในคืนวันนั้นเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2012
  11. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    [​IMG]


    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านสารภาพว่า ท่านดื่มด่ำในการภาวนามาก ท่านใช้คำบริกรรม "พุทโธ" อย่างเดียวมิได้ใช้ "อานาปานสติ" หรือกำหนดลมหายใจ เข้า-ออก ควบคู่กับพุทโธเลย สิ่งที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น สิ่งที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้ สิ่งที่เป็นอสาธารณแก่ปุถุชนธรรมดาก็กลับปรากฏขึ้นเป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง... !

    ท่านเล่าว่า จิตของท่านรวมลงสู่ความสงบได้โดยง่ายมาก และเกิดความรู้พิสดาร การนี้เริ่มปรากฏแก่ท่านตั้งแต่ขณะที่ท่านยังเป็นสามเณรอยู่ ท่านสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่แปลกลึกลับได้ดีเกินกว่าสายตามนุษย์สามัญจะรู้เห็นได้ ได้ล่วงรู้ความคิดความนึกในจิตใจของผู้อื่น ไม่ได้นึกอยากเห็นก็เห็นขึ้นมาเอง ไม่ได้นึกอยากรู้ก็รู้ขึ้นมาเอง รวมทั้งการรู้เห็นสิ่งแปลกๆ เช่น พวกกายทิพย์ คือ เทวบุตร เทวธิดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ นาค ครุฑ... หรือการรู้วาระจิตคนอื่นที่เขาคิดเขานึกอยู่ในใจ ก็สามารถได้ยินชัด...

    สิ่งเหล่านี้...แรก ๆ ท่านก็ทั้งตกใจ ทั้งประหลาดใจ แต่เมื่อเป็นมาระยะหนึ่งก็ได้รู้ว่า อะไรคือความจริง อะไรคือภาพนิมิต ก็ระงับสติได้ มีสติว่านี่เป็นเรื่องพิสดาร แต่ไม่ควรจะให้ความสนใจมากนัก นี่เป็นเหตุหนึ่งที่เมื่อได้บวชเป็นภิกษุแล้วท่านก็บากบั่นมุ่งมั่นต่อไปในแดนพุทธาณาจักรอย่างไม่ย่อท้อ

    ครูบาอาจารย์ก็ช่วยให้ความมั่นใจว่า เมื่อท่านเป็นผู้มีนิสัยวาสนาทางนี้แล้ว ก็ควรจะเร่งทำความพากความเพียรต่อไป ไม่ควรให้ความสนใจต่อสิ่งที่เป็นเหมือน "แขกภายนอก" เหล่านี้ อย่านึกว่าตนเป็นผู้วิเศษผู้เก่งกล้าอะไร ผู้ใดมีวาสนาบารมีสร้างสม อบรมมาอย่างไรก็จะเป็นไปอย่างนั้น เปรียบเสมือนการปลูกต้นผลไม้ หากเราเอาเมล็ดมะม่วงมาเพาะ ปลูกลงดิน รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย บำรุงต้นไม้นั้นไป วันหนึ่งก็จะออกดอกออกช่อให้ผลเป็นมะม่วง จะกลายเป็นมะปรางหรือมะไฟก็หามิได้ หรือผู้ที่ไม่เคยเพาะเมล็ดมะม่วง ไม่เคยปลูกมะม่วง แต่จะนั่งกระดิกเท้ารอให้เกิดต้นมะม่วง มีผลมะม่วงขึ้นมาเอง ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน

    ท่านเป็นผู้มีวาสนาบารมีธรรม สร้างสมอบรมมาแต่บรรพชาติ จิตจึงเกรียงไกรมีอานุภาพ แต่ก็ควรจะประมาณตนอยู่ เพราะความรู้สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของผู้กระทำความเพียรภาวนา นักปราชญ์จะไม่มัวหลงงมงายอยู่กับความรู้ภายนอกอันเป็นโลกียอภิญญา จุดหมายปลายทางของปวงปราชญ์ราชบัณฑิตนั้น อยู่ที่การกำจัดอาสวกิเลสที่หมักดองอยู่ในกมลสันดานของเราให้หมดไป สิ้นไปโดยไม่เหลือแม้แต่เชื้อต่างหาก



    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
    พ่อแม่ครูอาจารย์พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
    จากหนังสือแก้วมณีอีสาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2012
  12. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    [​IMG]


    เชือกที่ผูกหย่อนๆ แต่แก้ยาก

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! เครื่องจองจำที่ทำด้วยเชือก เหล็กหรือโซ่ตรวนใดๆ เราไม่กล่าวว่าเป็นเครื่องจองจำที่แข็งแรงทนทานเลย แต่เครื่องจองจำคือ บุตร ภรรยา และทรัพย์สมบัตินี่แล ตรึงรัดมัดผูกสัตว์ทั้งหลายให้ติดอยู่ในภพอันไม่มีที่สิ้นสุด เครื่องผูกที่ผูกหย่อนๆ แต่แก้ได้ยากคือบุตร ภรรยา และทรัพย์สมบัตินี่เอง รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะนั้นเป็นเหยื่อของโลก เมื่อบุคคลยังติดอยู่ในรูปเป็นต้นนั้น เขาจะพ้นจากโลกมิได้เลย ไม่มีรูปใดที่จะรัดตรึงใจของบุรุษได้มากเท่ารูปแห่งสตรี"

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ผู้ยังตัดอาลัยในสตรีไม่ได้ ย่อมจะต้องเวียนเกิด เวียนตายอยู่ร่ำไป แม้สตรีก็เช่นเดียวกัน ถ้ายังตัดอาลัยในบุรุษไม่ได้ย่อมประสบทุกข์บ่อยๆ กิเลสนั้นมีอำนาจควบคุมอยู่โดยทั่ว ไม่เลือกว่าวัยใด และเพศใด"

    พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน
     
  13. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    [​IMG]


    “ผู้ใดขยี้กามราคะ ตัณหา อันเป็นเหมือนเปือกตมได้
    ขยี้หนามคือกามราคะ ตัณหาไปเสียได้ ผู้นั้นนับได้ว่าเป็นผู้หมดโมหะไม่สะทกสะท้านในฃนินทา สรรเสริญ ทุกข์หรือสุข ถ้าใครปฏิบัติได้มันก็เป็นอย่างนั้น”

    ...หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท
     
  14. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    ภาพเก่าหายาก หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ


    [​IMG]


    ...ขณะที่หลวงปู่พรหมมองเห็นหลวงปู่มั่นเป็นครั้งแรก ท่านก็นึกประมาทอยู่ในใจว่า “พระองค์เล็กๆ อย่างนี้นะหรือ...ที่ผู้คนเข้าร่ำลือว่าเก่งนัก ดูแล้วไม่น่าจะเก่งกาจอะไรเลย”

    ท่านเพียงแต่นึกอยู่ในใจของท่านท่านั้น ครั้นพอสบโอกาส หลวงปู่พรหมก็เข้ามนัสการ คำแรกที่หลวงปู่มั่นท่านกล่าวขึ้นท่านถึงกับสะดุ้ง เพราะว่าหลวงปู่มั่นท่านได้กล่าวทำนองที่ว่า

    “การด่วนวินิจฉัยความสามารถของคนโดยมองดูแต่เพียงร่างกายเท่านั้นไม่ได้ จะเป็นการตั้งสติอยู่ในความประมาท”

    คำพูดของหลวงปู่มั่นนี้เองทำความอัศจรรย์ให้เกิดขึ้น บังเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะต้องให้ความเคารพนับถือ นี้เพียงแต่นึกคิดในใจอยู่เท่านั้น หลวงปู่มั่นก็สามารถทายใจได้ถูกเสียแล้ว หลวงปู่พรหมก็ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    ภายหลังจากได้อยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่นแล้ว หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านได้สละกำลังกายและกำลังใจทุ่มเทให้แก่การประพฤติธรรมอย่างหมดชีวิตจิตใจ ดูเหมือนว่าเวลาแห่งการปฏิบัติธรรมเท่านั้น ท่านได้กำหนดจดจำ เรียนรู้กฎปฏิบัติปฏิปทาข้อวัตรของพระฝ่ายธุดงคกรรมฐานในสายของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถระ เริ่มตั้งแต่เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ครองผ้าสามผืนเป็นวัตร เที่ยวไปตามภูเขา ถ้ำ ป่าช้า โคนไม้เป็นวัตร อันเป็นสิ่งที่คณะศิษย์ทั้งปวงกระทำอยู่เป็นนิจ

    หลวงปู่พรหมท่านได้ถือภาคแห่งการปฏิบัติธรรมหักโหมขั้นอุกฤษฏ์ก็ในปี พ.ศ. ๒๔๘๐ นี้เอง ครูบาอาจารย์ผู้เป็นศิษย์บอกเล่าต่อกันมาดังนี้

    เมื่อหลวงปู่พรหมท่านได้มาอยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่นแล้ว ท่านถือว่าตัวของท่านได้มาอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ผู้เลิศแตกฉานในทางธรรม ดังนั้นหลวงปู่พรหมท่านได้เร่งทำความเพียรอย่างเต็มที่ คือ ท่านได้ถืออิริยาบถ ๓ ประการ ได้แก่ ยืน...เดิน...นั่ง..ตลอดไตรมาสท่านไม่ยอมนอนให้หลังแตะพื้นหรือพิงเลยโดยถือคติธรรมของหลวงปู่มั่น ว่า...ธรรมอยู่ฟากตายถ้าไม่รอดตายก็ไม่เห็นธรรม เพราะการเสี่ยงต่อชีวิตจิตใจอันเกี่ยวกับความเป็นความตายนั้น ผู้มีจิตใจมุ่งมั่นต่ออรรถธรรมแดนหลุดพ้นเป็นหลักยึดของพระผู้ปฏิบัติพระกรรมฐานจริงๆ

    ฉะนั้น อุปสรรคต่างๆ ย่อมได้พบอยู่เสมอ ดังครูบาอาจารย์หลายๆ องค์ถ้าแม้จิตใจไม่แน่วแน่มั่นคงจริงๆ ก็จะทำไม่ได้ บางคราวผู้อดหลับอดนอนมากๆ สูญประสาทเสียจริตไปก็มี บ้างก็เดินชนต้นไม้ใบหญ้าให้วุ่นวาย หรือไม่เวลาออกบิณฑบาตเที่ยวตะครุบผู้คนก็มี เพราะเดินหลับใน เกิดอาการตึงเครียดไม่สามารถทรงสติตนเองได้ อย่างไรก็ตาม ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำให้ปฏิบัติเพิ่มสติกำลังให้แก่กล้าจริงๆ จึงจะทำได้ เมื่อถึงคราวเร่งความเพียรก็ย่อมจะได้พบความสำเร็จโดยไม่ยาก

    ปฏิปทาของหลวงปู่พรหมในเรื่องนี้ สมัยแรกพบกับหลวงปู่มั่นใหม่ๆ ท่านก็เคยคิดทำความเพียรเช่นนี้เหมือนกัน แต่ถูกหลวงปู่มั่นท่านห้ามไว้ก่อน เพราะจะเป็นการหักโหมเกินกำลัง โดยท่านแนะให้นั่งสมาธิฝึกจิตเสียก่อน ครั้นเมื่อกำลังจิตแก่กล้าแล้วท่านมาเร่งทำความเพียรอย่างหนักหน่วง ผลประโยชน์จึงบังเกิด แก่หลวงปู่พรหม ท่านสามารถสำเร็จธรรมขั้นสูงในภาคเหนือนี้เอง อันยังประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตัวท่านและหมู่คณะเป็นอันมาก

    หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านเป็นอริยเจ้าผู้มีคำพูดน้อย ถือสันโดษ มักน้อย ไม่มีจิตฟุ้งซ่านกับสังคมภายนอก หลวงปู่ท่านไม่ประสงค์ให้ผู้หนึ่งผู้ใดต้องเดือดร้อนเป็นการรบกวน ยุ่งยาก อนึ่ง ท่านก็อยู่จำพรรษาในดงลึก ยากแก่การเข้าถึง (สมัยนั้น) เมื่อมีคณะญาติโยมสู้อุตส่าห์เดินทางไปจนถึงที่พักของท่าน ท่านก็จะพูดจาปราศรัยเพียงประโยคเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นที่เข้าใจ ท่านก็ให้รีบกลับทันที

    ในระยะหนึ่ง บรรดาพระเถระทั้งหลายพากันไปกราบมนัสการท่านอาจารย์ใหญ่มั่น ซึ่งมีพระอาจารย์พรหมรวมอยู่ด้วย ได้ฟังโอวาทของท่านอาจารย์ใหญ่มั่นแล้ว เฉพาะต่อหน้าพระเถระทั้งหลายที่ร่วมฟังโอวาทด้วยกัน ท่านอาจารย์ใหญ่มั่นถามท่านอาจารย์พรหมขึ้นว่า ท่านพรหม มาแต่ไกลเป็นอย่างไรบ้าง การพิจารณากาย การภาวนาก็ดี เป็นอย่างไร ท่านอาจารย์พรหมเรียนถวายว่า “ไม่มีอกถังกถี” (สิ้นสงสัย) แล้ว ท่านอาจารย์ใหญ่มั่นได้ยกย่องชมเชยท่านอาจารย์พรหมต่อหน้าพระเถระทั้งหลายว่า ท่านพรหมเป็นผู้มีสติ ทุกคนควรเอาอย่าง

    โอวาทธรรมครั้งสุดท้ายของหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ พระอริยเจ้าแห่งบ้านดงเย็น

    ท่านได้แสดงแก่โยมอุปัฏฐากใกล้ชิดคนหนึ่ง คือ ครูชาย วงศ์ประชุม ก่อนท่านมรณภาพ ๒ วัน ดังบทเรียบเรียงของครูชายดังนี้

    ในวันอาทิตย์ที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๑๒ ข้าพเจ้ามานั่งตรงต่อที่ท่านนั่ง ท่านจึงได้เทศนาให้ข้าพเจ้าฟังว่า

    “คนเราเกิดมาทุกรูปทุกนามรูปสังขารเป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วล้วนตกอยู่ในกองทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าพระราชา มหากษัตริย์ พระยานาหมื่น คนมั่งมี เศรษฐีและยาจก ล้วนตกอยู่ในกองทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น มีทางพอจะหลุดพ้นทุกข์ได้ คือ ทำความเพียร เจริญภาวนา อย่าสิมัวเมาในรูปสังขารของตน มัจจุราชมันบ่ไว้หน้าผู้ใด ก่อนจะดับไป ควรจะสร้างความดีเอาไว้”

    ท่านเทศนาใจความสั้นๆ ดังนี้แล้ว จึงได้สนทนากับท่านต่อไปอีก และได้เรียนถานท่านว่า ช่างทำฟันมาแต่ฟันให้แล้วรู้สึกเป็นอย่างไร ท่านได้ตอบว่า “หายเจ็บแล้ว คือสิได้คุณดี”

    ข้าพเจ้าเรียนถามต่อไปอีกว่า ท่านอาจารย์ฉันยาที่นำมาถวายแล้วเป็นอย่างไร (ยาที่นำมาถวายท่านนี้เอามาจากสูตรผสมยาของคุณหมออวย ปรุงถวายท่านอาจารย์ใหญ่ขาว วัดถ้ำกลองเพล) ท่านได้ตอบว่า

    “ยานี้ได้คุณดี แต่ว่าเวลานี้มัจจุราชมันบ่ได้ว่ายาให้แล้ว”

    เมื่อท่านพูดเช่นนั้นข้าพเจ้ารู้สึกตกใจ จึงได้อาราธนานิมนต์ท่านอยู่ต่อไปว่า กระผมขอนิมนต์ให้หลวงปู่อยู่ไปก่อนถึงอย่างไรก็ขอให้เจดีย์ที่กำลังก่อสร้างนี้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน ท่านได้ตอบข้าพเจ้าว่า

    “ชายเจ้ามาโง่แท้ เทศนาให้ฟังหยกๆ ยังไม่เข้าใจ”

    ได้เวลา ๑๕.๓๐ น. ท่านได้สั่งให้ข้าพเจ้ากลับเพราะจะค่ำแล้ว ข้าพเจ้าไม่รอช้า เพราะทราบดีว่าเมื่อท่านสั่งต้องปฏิบัติตาม ก่อนจะกลับก็กราบมนัสการท่าน ขณะที่กำลังกราบมนัสการท่านอยู่นั้น ท่านยังได้ย้ำอีกว่า

    “ให้พากันเจริญภาวนาทำความเพียรจึงจะพ้นทุกข์”

    ในตอนเช้ามืด วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๑๒ ท่านได้เข้าห้องน้ำตั้งแต่เช้า ท่านปิดประตูใส่กลอนเงียบอยู่ จนเวลาที่จะต้องออกบิณฑบาต ผู้ที่เฝ้ารออยู่หน้าห้องน้ำก็นั่งเฉยๆ ครั้นจะบุ่มบ่ามเข้าไปก็ไม่กล้า นั่งรออยู่จนกระทั่งประตูห้องน้ำเปิด หลวงปู่ท่านโซเซออกมา ก่อนพ้นประตูท่านล้มลงไป พระผู้อยู่ใกล้วิ่งเข้าไปรับแล้วประคองท่านเข้ามานอนในห้อง วันนั้นแทบไม่ได้ออกบิณฑบาตกันเลย ต่างก็มีหน้าที่ของตนคอยรับใช้ครูบาอาจารย์อย่างใกล้ชิดก่อนที่ท่านจะสิ้น ชีพจรของท่านแทบจะไม่เต้น เพราะทุกคนคอยตรวจเช็คกันอยู่ตลอดเวลา

    กาลเวลาค่อยๆ ผ่านไปๆ แต่ละวินาทีดูเหมือนว่าโลกจะหยุดนิ่ง คนที่อยู่ใกล้ๆ ท่านต่างก็เพ่งมองดูอาการแทบไม่หายใจ เพราะความรู้สึกเป็นอย่างนั้นจริงๆ ขณะที่ท่านจะสิ้นใจ ท่านได้รวบรวมพลังจิตอันแก่กล้าลืมตาขึ้นมามองลูกศิษย์ทั้งหลาย มีทั้งพระ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ทุกคน คล้ายกับกล่าวอำลาแล้วท่านก็ยกมือขึ้นพนมเหนืออก เพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จากนั้นหลวงปู่พรหม จิรปุญโญ ได้จากโลกนี้ไป ชีพจรของท่านหยุดเต้น มือที่ยกขึ้นพนมตกลงข้างกาย

    บัดนี้ หลวงปู่พรหมได้จากบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทุกคนไปด้วยอาการสงบระงับ จิตเข้าสู่แดนอนุปาทิเสสนิพพาน เมื่อเวลา ๑๗.๓๐ น. ของวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ ด้วยโรคชรา สิริอายุได้ ๘๑ ปี พรรษา ๔๓
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2012
  15. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    [​IMG]


    “การขอโทษอาจทำให้เรารู้สึกเสียหน้า แต่แท้จริงแล้วตัวที่เสียหน้านั้นคือกิเลสมารต่างหาก
    เมื่อเราขอโทษ สิ่งที่จะเสียไปคืออหังการของอัตตา แต่สิ่งที่เราจะได้มานั้นมีคุณค่ามหาศาล
    นอกจากมิตรภาพแล้ว เรายังฟื้นความเป็นมนุษย์และความรู้สึกผิดชอบชั่วดีให้กลับคืนมา”

    พระไพศาล วิสาโล
     
  16. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    [​IMG]


    "แม้ภูเขาสูงแสนสูง หากบุคคลผู้มีความเพียรพยายามปีนป่ายขึ้นไปจนถึงยอด
    ภูเขาสูงแสนสูงก็ต้องอยู่ใต้ฝ่าตีนของคนผู้นั้น"

    หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
     
  17. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    [​IMG]


    "เมื่อเราเป็นมนุษย์ เราไม่ควรนอนใจ
    อย่าให้กาลกินเรา ให้เรากินกาล
    ให้เร่งทำคุณงามความดี"

    หลวงปู่ขาว อนาลโย
     
  18. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    [​IMG]

    "การพูดมาก แก้ปัญหาใดๆ ไม่ได้เลย
    แม้กับปัญหาที่พอจะแก้ไขได้"

    หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป
     
  19. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    [​IMG]


    "ดีก็ทีปาก ชั่วก็ที่ปาก จนก็ที่ปาก รวยก็ที่ปาก ก็ต้องหัดพูดดี ดี ก็ไม่ใช่ดีเฉพาะเวลาเราพูดนะ มันต้องดีตลอด ทุกเวลา"

    หลวงพ่อสนอง กตฺปุญโญ
     
  20. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    เจ้ามามือเปล่า เจ้าก็กลับไปมือเปล่า


    [​IMG]

    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ชีวิตนี้เริ่มต้นด้วยเรื่องที่หน้าละอาย ทรงตัวอยู่ด้วยเรื่องที่ยุ่งยากสับสนและจบลงด้วยเรื่องเศร้า อนึ่ง ชีวิตนี้เริ่มต้น และจบลงด้วยเสียงคร่ำครวญ เมื่อลืมตาขึ้นดูโลกเป็นครั้งแรกเราก็ร้องไห้ และเมื่อจะหลับตาลาโลกเราก็ร้องไห้อีก หรืออย่างน้อยก็เป็นสาเหตุให้คนอื่นหลั่งน้ำตา

    เด็กร้องไห้พร้อมด้วยกำมือแน่น เป็นสัญลักษณ์ว่าเขาเกิดมาเพื่อจะหน่วงเหนี่ยวยึดถือ แต่เมื่อจะหลับตาลาโลกนั้น ทุกคนแบมือออกเหมือนจะเตือนให้ผู้อยู่เบื้องหลังสำนึกและเป็นพยานว่า เขามิได้เอาอะไรไปด้วยเลย

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการพลัดพราก จากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจนั้น เป็นเรื่องทรมานยิ่ง และเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพราก ก็เป็นสิ่งสุดวิสัย ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ไม่วันใด ก็วันหนึ่ง”

    โอวาทก่อนปรินิพพาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...