ประสบการณ์ขนหัวลุก No2

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 24 พฤศจิกายน 2005.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>หลอนที่ตามมาจาก..................
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เพราะมันน่ากลัวมาก !!!!!!!!เราเตือนคุณแล้วนะ!!!!!!!!!!! วันนั้นเป็นวันที่ญาติของเมเม้จังตายและสิมาเละจังก้อได้ไปงานศพที่วัดโตนหมากลิ้ง (ตาย) บรรยากาศภายในงานน่ากลัวมาก หลังจาที่สิมาเละจังได้ช่วยงานศพของญาติเมเม้จังเสร็จก้อได้ชวนกันไปกินอาหารอีสานร้านอีสานโฮแซวแต่ระหว่างทางที่เดินทางกลับก้อมีความรู้สึกเหมือนมีอะไรตามมาจึงหันกลับไปมองแต่ก้อไม่มีครัยทำให้รู้สึกสยองไปตามๆกัน พอกลับถึงบ้านก้อไปส่องกระจกแล้วก้อได้เห็น......ใช่แล้วมันตามมาจิงๆด้วยเหมือนอย่างที่คิดไว้เลยมัน...มัน...มันคือ ไม่ไม่จิง เราทั้งสองช๊อกมากมันเป็น.....เป็น..... เม็ดข้าวเหนียวจากร้านอีสานโฮแซว... </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>เรื่องเล่าบนเรือ (ผี)
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>ความมืดเปนสิ่งที่น่าค้นหาว่ามีอะไรบ้างที่อยุ่ภายใต้ความมืด เราเปนคนนึงที่รุ้ เห็นแร้วว่าภายใต้ความมืดนั้นมันไม่น่ากลัวหรอก เพียงแต่เราไม่ยอมรับมัน แระรุสึกหลอนไปเอง ...คืนนึงเราได้พายเรืออยุ่ที่กลางน้ำ เพราะเหงาไม่รุจะทำไร พายไป เหม่อไป บรรยากาศ ความมืดช่างเปนใจเหลือเกิน บนฝั่งก็เปนวัด อีกทางก็วัด น่ากลัว ลมเย็นๆ โชยมาเป็นระยะ เสียงหมาหอน เหมือนเห็นอะไร สักพักเรารู้สึกว่าเรือของเราอยู่ดีๆ ก็โคงเครง โยกไปมา เราบังคับเรือไม่ได้ รู้สึกหนัก พายก้อไม่ไป เราพายามมองฝ่าความมืดไปยังหัวเรือ ว่ามีอะไรอยู่กันแน่ แต่เราก้อไม่เห็นอะไร เราแทบช็อคเมื่อยู่ ๆ ร่างหญิง สวยงามปรากฏอยู่ตรงหน้า ทามอะไรไม่ถูก ได้แต่นึกบทสวดมนต์ สวดผิดสวดถูก หลับตาปี๋ ตลอด พอตัดสินใจลืมตาขึ้น ร่างนั้นก็หายไป รู้สึกโล่งอก แร้วรีบพายกับบ้านทันที รีบนอนเรย ทามไมเราถึงกล้าที่จะเผชิญความมืดนะหรอ...ก็ไม่ใช่ไรหรอก ก็เพราะว่ามันม่ายช่ายเรื่องจิงๆ นะสิ่....</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>บ้านผม...น่ากลัว
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>ครับผมวันนั้นผมได้อยู่ที่บ้านคนเดียวที่บ้านผมอะมีป่าช้าติดอยู่อะนะแต่ควรเรียกว่าป่ากล้วยมากก่านะผมจะไปเข้าห้องน้ำหลังบ้านทู้กๆๆคืนเลยผมบังเอินไปเยี่ยวในห้องน้ำเข้าผมชาเง้อคอบังเอินไปเห็นเสียงแปลกๆคือมันดัง ซี้ดๆๆๆๆอู๊ยๆๆๆอ่ะนะ..ผมกลัวมากเลยชงโอวัลตินของน้องพลับกินยี่ห้อน้องพลับขอ2ผมจับช้อนกวนๆไปมาใส่นมข้นหวานตราดอกมะลิลงไปประมาณ3-5ช้อนแล้วใส่ผงโอวัลตินของน้องพลับยี่ห้อน้องพลับขอ2ลงไปในแก้วน้ำสีแดงของผมที่ตั้งอยู่หลังตู้เย็นในบ้านผมยี่ห้อฮิตาชิครับผมลืมบอกไปตู้เย็นบ้านผมมีสีเขียวแล้วก็เฮี้ยนมากพอผมเปปิดนะครับผมก็ได้รู้สึกไอเย็นๆในตู้เย็นมันแผ่มามันหลอกผมพอผมปิดมันมันก็ไม่เย็นแล้วก็เรื่องหลังบ้านคือว่ามีแมวน้ำมันมาเล่นเซ็กกันหนะครับจบแว้ว</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>ปราจีนบุรีย์
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>เมื่อคืนนี้ ผมขึ้นบ้านนอนแล้วเห็นดาวตกด้วย มันผ่าลงมาเป็นเส้นตรงตัดหน้าบ้านผมเลย แต่ผมไม่คิดอะไรมาก จนรุ่งเช้า ผมออกมาเปิดบ้าน สิ่งที่ผมเห็นก็แทบช็อค เพราะที่ริมบ่อนำหน้าบ้านมีรูปปั้นพญานาคราชตั้งไว้ด้วย ไม่รู้มาจากไหน พ่อเขาเลยตั้งรูปปั้นนั้นไว้กลางบ่อนำ และไปปรึกษาพระ พระบอกว่ารูปปั้นนั้นอาจเป็นสิ่งมงคลที่จุติลงมาก็ได้ และเป็นจริงเช่นนั้น พ่อได้งานหลังจากตกงานมานาน และบ้านเราก็ถูกหวย แล้วพ่อก็เล่าว่า เมื่อก่อนหน้านั้นพ่อฝันเห็นงูสีทองเลื้อยเข้ามาในบ้านด้วย นับบัดนี้ครอบครัวเราก็มีเงินขึ้นเพราะพ่อนาคราช</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>สยองห้องเช่า
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>วันนี้ได้มีโอกาศมาเล่าเรื่องให้ฟังกัน ครับ แต่ว่าเรื่องที่เกิด ขึ้นนี้เกิดขึ้นกับแฟนผมนะครับ สมัยนั้นประมาณ1-2 ปีที่ผ่านมาผมได้มาเช่าห้องอยู่กับเพื่อนผม ครับอยู่ด้วยกัน4 คนครับคือผมและแฟนและก้เพื่อนกะแฟนมันนะครับ ห้องที่อยู่นั้นอยู่แถวบางบัวทอง ครับ อยุ่ก่อนถึงบางใหญ่ซิตี้ ครับ แต่ทางเข้าบ้านผมนั้นมันแสนจะมืดและกันดาน ครับคือมีแต่ นา กะ สวนครับ ห้องที่อยู่มีขนาดพอๆกะห้องเช่าทั่วไป นะครับมีห้องน้ำในตัว ครับ ในวันก่อนเกิดเหตุนั้น พวกผมทั้ง หมดได้ไปกินเหล้ากันครับแถวๆไทรน้อย ครับ พอกินกันไดที่แล้วนั้นพวกเราก็กลับมานอนกันครับ พอมาถึงก็หลับกันเลยครับ ( โดยเฉพาะผมที่เมามากๆ ) แล้วทีนี้พอนอนๆๆกันอยู่แล้วแฟนผมก็รู้สึกว่าอากาศมันร้อนก็เลยว่าจะมาอาบน้ำก็ลุกขึ้นนังกำลังจะถอดเสื้อ ครับ ( แต่ว่าไม่ได้เปิดไฟนะครับ ) แล้วทีนี้แฟนผมก็รู้สึก ว่าเพื่อน ผม( ผู้ชาย นะครับ ) จะขยับตัว แฟนผมก็เลยล้มตัวลงนอน และก็เห็นเงาคนแบบว่ามันมืดเห็นเป้นเงาดำๆ แต่ตอตนั้นเข้าใจว่าคงจะเป้นเพื่อนผมเดินมาผ่านปลายเท้าพวกผมเดินเข้าห้องน้ำไปทั้งๆที่ยังไม่เปิดไฟ แฟนผมก็นึกว่าเอ้อ!! คงจะเข้าห้องน้ำอยุ่ก็เลยรอ ทีนี้พอรอซักเริ่มจะนานก็ยังไม่ออกมาซักทีก็เลยตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปเปิดไฟแล้วมองไปที่ห้องน้ำปรากศว่าไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำเลย และมองไปที่เพื่อนที่นอนอยู่ก็เห็นว่ายังนอนอยุ่ที่เดิมอยู่เลย แล้วใครล่ะที่เข้าไปอาบน้ำใน "ห้องน้ำ" ขอต่ออีกซักนิดนึงนะครับ ห้องเช่าเดิมครับแต่ว่าเป้นตอนกลางวันครับเป้นเรื่องจากแฟนผมเหมือนเดิม ครับทีนี้ช่วงกลางวันที่แฟนผมจะอยู่ที่ห้องคนเดียวครับ ขณะที่นอนอยู่ก็ได้ยินเสียงเปิดน้ำใน ห้องน้ำครับ ตอนแรกก้ไม่คิดอะไรครับแต่ ซักพักก็ได้ ยินอีก ครับก็นึกว่าตัวเองลืมปิดน้ำก็เลยเดินไปที่ห้องน้ำจะไปปิดน้ำแต่ พอเดินไปในห้องน้ำกลับไม่มีอะไรเลยครับ รอยน้ำหยดก็ไม่มี หรือน้ำที่อาจจะกระเพื่อมในถังน้ำก็ไม่มีครับ !!! นั่นคือเรื่องที่เกืดขึ้นกับแฟนผมครับไว้โอกาศหน้าผมจะส่ง เมล์ มาเล่าให้ฟังกันอีกนะครับ </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>ใครอยู่ในห้องนั้น
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>เรื่องมันเกิดขึ้นในปี46 คับ เรื่องมีอยู่ว่า ผมอยู่หอพักกับเพื่อน หอผมมีอยู่2ตึก อยู่เกือบท้ายซอย ซอยที่ผมอยู่มีกรงเหล็กสีเขียว เพื่อนผมอยู่อีกตึกหนึ่งห้อง 301 วันนั้นเพื่อนผมเปิดน้ำทิ้งไว้ในห้องน้ำแล้วออกไปข้างนอก แล้วเพื่อนผมก็โทรหาผมบอกว่าปิดน้ำให้ด้วย เพราะว่ากุญแจไขห้องกันได้ เวลานั้นก็ประมาณ 4-5 ทุ่ม ผมก็เปิดประตูเช้าไปในห้อง ไปเปิดไฟ ไฟก็ไม่ติด เปิดยังไงก็ไม่ติด ดูเบรกเกอร์ก็ ไม่ได้เอาลง ทั้งๆที่ไฟข้างนอกห้องยังติดเลย ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรก็เลยจะไปปิดน้ำในห้องน้ำ ห้องของเพื่อนผม ห้องน้ำจะอยู่หลังห้องต้องเปิดประตูออกนอกระเบียงก่อนถึงห้องน้ำ พอเดินไปที่ประตู มันเปิดไม่ออกทั้งๆที่ด้านล๊อกอยู่ในห้อง ซึ่งผมจับไว้อยู่และประตูถ้าเปิดได้ส่วนของประตูจะเข้ามาหาตัวเรา พยายามอยู่นานเหมือนกันเหมือนกับว่า มีใครล๊อกไว้ข้างนอก ผมก็เลย แง้มดูที่กระจกบานเกล็ด เห็นผู้หญิงนั้นชั้นเข่าเอาหน้าฟุบกับเข่าของตัวเอง ผมก็คิดว่าใครมานั้งอยู่แถวนั้น ซักพัก โทรศัพท์ เพื่อนผมก็ดังขึ้นมา ผมเลยนึกว่า เป็นแฟนเพื่อน นึกว่าเพื่อนผมคงแกล้ง มันคงดึงประตูไว้อยู่ ผมก็เลย ตะโกนบอกว่า ไอ้โก้ (เพื่อนผมชื่อโก้) ปิดน้ำให้หน่อย แล้วผมก็เดินออกจากห้องไป แล้วพักใหญ่เพื่อนผมซึ่งเป็นเจ้าของห้องกลับมา มาว่าผมว่าทำไมไม่ไปปิดน้ำ ผมก็บอกว่า โก้อยู่ไม่ให้มันปิดหละ เพื่อนผมก็บอกไม่มีใครอยู่ในห้อง โก้ไปกับเพื่อนผมข้างนอก ผมได้ยินแบบนั้นขนผมลุกหมดเลย แล้ว ที่ผมเห็น เค้าเป็นใคร แล้ว มานั้งทำไมตรงนั้น ผมไม่ได้ตาฝาดแต่อย่างใด ห้องนี้ เพื่อนผมก็เจอบ่อย แต่ไม่ชัดเท่าที่ผมเจอ หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่ค่อยไปห้องนั้นคนเดียวอีกเลย </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>ห้องที่หายไป
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>ที่โรงเรียนสายปัญญารังสิตมีเรื่องเล่าแปลกๆอยู่หลายเรื่อง แต่ที่น่ากลัวมากที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องของห้องปฏิมากรรมเก่าที่อยู่บนฝั่งซ้ายชั้นสามอาคารสองซึ่งปัจจุบันเป็นห้อง ม.1/8 ตำนานว่าเป็นเวลาที่ ร.ร.เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆห้องนั้นจึงถูกใช้เป็นที่เก็บรูปปั้นต่างๆ เพื่อรอที่จะเอาไปไว้บนหอศิลป์ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้สร้าง เขาบอกว่าในจำนวนปฏิมากรรมนั้น ได้มีอะไรบางอย่างปนอยู่ด้วย ตำนานเล่าว่ามันเป็นรูปปั้นเศียรนางอัปสราที่มีคนบริจากมาไว้ให้เด็กศึกษา พวกคนงานหรือใครไม่ทราบแน่ชัดได้ขนย้ายปฏิมากรรมทั้งหมดไปตั้งไว้บนโตะในห้องดังกล่าว และปล่อยทิ้งไว้ไม่มีใครดูแลจนถึงคืนวันเพ็ญ พวกคนงานได้ยินเสียงดนตรีคล้ายงานบวงสรวงสักอย่างดังแว่วมาเลยออกไปดู เสียงนั้นดังมาจากบนอาคารสองที่ปิดล็อกกุญแจแล้วเพราะตอนนั้นดึกมาก แต่ค่อนข้างยังมองเห็นเพราะมีแสงจันทร์ คนงานเขาเลยออกมาเป็นกลุ่ม แล้วเอากุญแจจากภารโรงไปไขดู เสียงดนตรียังดังอยู่ขณะที่เขายกประตูแบบรูดขึ้น แล้วเปิดไฟทั้งอาคาร พอขึ้นไปถึงชั้นสามเท่านั้นแหละไฟทั้งอาคารก็ดับลงแล้วมีลมกระโชกแรง แต่พวกคนงานเขาเล่าว่าพอขึ้นไปปุ๊บถึงห้องนั้นที่อยู่ฝั่งซ้ายของบันไดพอดี พวกเขาเห็นผู้หญิงสูงเกือบจรดเพดานสวมมงกุฏที่มีเดือยยาวโง้งๆตามแบบของเขมรกำลังรำอยู่หน้าห้องเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆในความมืดแต่ดวงตากลับแดงโร่เป็นประกาย เท่านั้นแหละคนงานวิ่งจนแทบตกบันไดลงมาแต่เสียงดนตรีกลับดังขึ้นอีกทั้งคืนจนถึงเช้า พอเช้าพวกเขาเลยลองไปดูอีกแต่ปรากฏว่าปฏิมากรรมทั้งห้องหายไปหมด แม้แต่ไม้กวาด ที่ตักผงหรือไม้ถูพื้นรวมทั้งโต๊ะก็หายไปจนเกลี้ยงเหลือแต่ห้องว่างเปล่าๆ เท่านั้นคนงานก็ไม่กล้าขึ้นไปบนอาคารนั้นอีกเลย อีกอย่างเล่าว่ามีการแจ้งความว่าของหายแต่ตำรวจเองก็ไม่สามารถสืบหาได้ เรื่องเลยเงียบไปจนกระทั่งเย็นวันหนึ่งตอนที่คนทำความสะอาดเขาขึ้นไปทำที่ชั้นสอง แต่พอเปิดประตูเข้าไปแกก็หงายหลังเมื่อพบว่าในนั้นไม่ใช่ห้องเปล่าๆ แต่กลับมีปฏิมากรรมตั้งอยู่เต็ม รวมทั้งอุปกรณ์ความสะอาดที่หายไปด้วย และตรงกลางห้องก็มีเศียรนางอัปสราตั้งอยู่ แกลองปิดประตูแล้วเปิดใหม่แต่ห้องนั้นกลับเป็นห้องเปล่าๆอีกครั้ง เท่านั้นแกก็ช็อกลงตรงนั้นเลย กว่าจะมีคนมาพบก็นานมากแล้ว ตำนานยังไม่จบลง ห้องนั้นยังปรากฏอยู่ทางโน้นทีทางนี้ทีราวกับมันเคลื่อนที่ได้ บางครั้งมันก็ปรากฏที่ชั้นสองทั้งๆที่ฐานเก่าของมันอยู่ชั้นสาม บางครั้งก็อยู่ทางขวาหรือบางครั้งก็อยู่ทางซ้ายจนทำให้ไม่มีใครกล้าขึ้นไปที่นั่นหลังอาทิตย์ตกดินแล้ว แต่มันยังคงสร้างความผวาไม่เลิกโดยการปรากฏร่างของนางรำเขมรรำไปมา จนกระทั่ง ลูกของคนงาน2คน เป็นเด็กอายุราว5-6ขวบ ขึ้นไปวิ่งเล่นกันโดยที่พ่อแม่ไม่รู้ เป็นเด็กชายกับหญิงเล็กๆ ในตอนนั้นเย็นมากแล้ว คนงานเริ่มกลับที่พัก พ่อแม่ของเด็กก็ไม่รู้จนมีเสียงกรีดร้องดังมาจากบนอาคารทำให้คนงานตื่นตกใจ พอไปถึงอาคารทุกคนก็เล่าว่าบนอาคาร ณ ระเบียงทางเดินหน้าห้องนั้นได้มีนางรำคนนั้นที่ใส่มงกุฏกับชุดเขมรยืนก้มหน้าลงมามองพวกเขาก่อนจะเดินหายไปในห้องนั้น พวกคนงานวิ่งขึ้นไปดูและพบสิ่งที่น่าขนลุกขนพองมากๆ บนชั้นสาม ได้ปรากฏโครงกระดูกเด็ก2โครงนอนอยู่คู่กันหน้าห้องนั้น ไม่มีเนื้อหนังหรืออวัยวะติดหลงเหลืออยู่เลย ผู้เป็นแม่ร้องไห้แทบขาดใจ ส่วนผู้เป็นพ่ออาละวาดเตะประตูห้องนั้นเป็นการใหญ่จนประตูเปิดออก ภายในนั้นคือห้องเปล่าๆนั้นเอง หลังจากเด็กสองคนนั้นตายลง ห้องก็ไม่ปรากฏอีกเลยราวกับว่ามันอิ่มจนถึงทุกวันนี้ พวกคนงานที่เหลือก็พากันปิดข่าวนี้เพราะกลัวว่าจะไม่มีเด็กมาสมัครเรียน ตราบทุกวันก็ไม่พบว่าห้องนั้นไม่เปิดอีกเลย ..................................................... ตำนานนี้ได้มาจากรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว ครั้งแรกที่ผมฟังก็ไม่เชื่อเพราะมันเหมือนเรื่องลวงโลก แต่พอผมถามพี่คนอื่นๆ เขาก็เล่าตรงกันทุกคนจนทำให้ผมเองไม่แน่ใจ พวกเขาเล่าเหมือนกันหมดยกเว้นรูปปั้น บางครั้งเขาก็บอกว่าเป็นรูปปั้นทั้งตัว บางครั้งก็บอกว่าเป็นรูปปั้นพญานาค แต่อันนี้ไม่ทราบแน่ชัดจึงต้องใช้วิจรณญาณ์ในการรับฟังเรื่องพวกนี้ ฟังหูไว้หูนะครับ อย่าเชื่อจนงมงาย แต่อย่าไม่เชื่อจนเหมือนลบหลู่ เรื่องพวกนี้มันเหมือนเรื่องในหลักมายาศาสตร์ที่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ แต่บางทีเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องที่รุ่นพี่เขาแต่งขึ้นเพื่อรับน้องใหม่หรือต้องการสอนให้เป็นคนดีก็ได้ แต่จงคิดไว้นะครับว่าเรื่องแบบนี้อย่าลบหลู่และอย่าเชื่อจนเกินเหตุ และขอบคุณมากๆที่เปิดอ่านกระทู้นี้และใช้วิจรณญาณ์ในการรับชม ขอบคุณมากๆครับ </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc> วิญญาณ...เพื่อนหนูเอง
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>หนูมีเพื่อนคนนึงชื่อ เก่ง เขาเป็นเพื่อคนแรกของหนูที่สระบุรีพ่อหนูได้ย้ายมารับตำแหน่งที่จังหวัดนี้ เราสองคนสนิทกันมากเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ ป.4 เก่งเขาเป็นคนที่เก่งสมชื่อพ่อ-แม่เค้าแยกทางตั้งแต่ยังเล็ก เขาอยู่กับยายซึ่งบ่อยครั้งเขาก็มีปัญหากับทางบ้านพ่อหนูก็เลยชวนเขามาอยู่ด้วยในฐานะลูกคนนึง พ่อส่งเขาเรียนและให้เงินกินขนมวันนึงเท่ากับหนูด้วยความที่เขาเป็นคนขยันทำให้พ่อ-แม่หนูรักเขาเหมือนลูกคนนึงเก่งอยู่ที่บ้านหนูได้ 2 ปี เขาก็กลับไปอยู่กับยายในช่วงเวลาที่เขากลับไปอยู่บ้านหนูก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันเท่าไหร่เพราะเขาเริ่มติดเที่ยวกินเหล้าสูบบุหรี่และทำงานที่พัทยาตัวหนูเรียนหนังสืออยู่จึงทำให้ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่มารู้อีกทีตอนที่เค้าโทร.มาหาว่าเขามีแฟนเป็นคนต่างชาติและแฟนส่งตังค์ให้ใช้หนูก็ดีใจกับเขาด้วย เก่งเป็นคนสวยหุ่นดีใครเห็นก็ชอบ เขาหลงระเริงไปพักใหญ่ เขาก็กลับมาอยู่ที่บ้านยาย เขาบอกหนูว่าแฟนไม่ค่อยติดต่อมาเก่งเริ่มเครียดเริ่มสูบบุหรี่มากขึ้น มีอยู่วันนึงหนูไปหาเขาด้วยความที่เขาเป็นคนตลกขี้เล่นเขาบอกว่า เฮ้ย...แจง...เนี่ยมีอะไรจะอวด..เขาก็หยิบขี้มูกมาโชว์และก็บอกว่าเนี่ยคนมีบุญเท่านั้นนะที่จะมีขี้มูกเป็นแบบนี้(เป็นก้อนแข็งใส ๆ )หนูก็ขำนะแต่เออก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน พักหลังเขาไอและเป็นหวัดบ่อยไม่เคยไปหาหมอซื้อแต่ยามากิน จนหนูชวนเขาเรียนต่อ ปวส.ด้วยกันเขาก็เรียนแต่เราอยู่คนละห้องและเขาโดดเรียนไป กรุงเทพบ่อย ทำให้ไม่ค่อยได้เจอกัน จน...ยายเก่งโทรมาบอกว่า แจง...เก่งช็อกเข้าโรงพยาบาลอยู่ไอซียูนะ หมอบอกว่าไวรัสลงปอดหนูก็ไปเยี่ยมเขาวันแรกที่ไปหนูไปกะแฟนซึ่งแฟนหนูกะเค้าก็สนิทกันดีเห็นสภาพเขาแล้วยังสดใสยังยกเท้าจะเตะแฟนหนูเลยทั้งที่เค้าต้องใช้ อ๊อกซิเยน อยู่ตลอดพอถอดออกมาพูดกะเพื่อนเก่งดูจะเหนื่อยมาก หลังจากครั้งที่นั้นไปเยี่ยมหนูก็ติดสอบและทำรายงานเยอะจึงไม่ค่อยมีเวลาไปจนวันสุดท้ายที่ไปอาการเขาแย่นะเก่งนอนมองแต่พัดลมที่เพดานดูเหนื่อย ผอมลงมาก ห้องที่เก่งอยู่เป็นห้องรวมมีแต่อาการโคม่าวันแรกที่ไปเยี่ยมมีคนอยู่ประมาณ4-5เตียงแต่วันนี้ไปไม่มีใครอยู่แล้วยายบอกว่าเสียชีวิตไป3คนอีกคนอยู่ไอซียูและห้องนั้นไม่มีทีวี ทำให้เงียบและน่ากลัวนั่งคุยกะเก่งไปสักพักหนูก็เลยถามเขาว่าเหงาไหม เขาบอกว่าไม่อยากนอนเตียงนี้เลยรู้สึกไม่ดีนอนไม่หลับบอกกะยายแล้วแต่ยายบอกให้นอนไปก่อน หนูก็เลยบอกเขาว่าเราอยู่แป๊บเดียวเองเดี๋ยวเก่งก็กลับบ้านแล้วจะได้ไปเรียนหนังสือด้วยกันไง สักพักหนูก็ขอตัวกลับ หลังจากกลับมาถึงบ้านหนูก้เล่าให้พ่อกะแม่ฟังว่าอาการแย่ลงกว่าครั้งแรกที่ไปเยี่ยมพ่อบอกพ่อไปก็ยังดูดีอยู่ หนูพูดไปว่าเก่งคงไม่ได้กลับบ้านหรอก ไม่ได้กลับแน่ ด้วยความที่เราดูรู้ไม่ได้แช่งเพื่อนนะ พอตกดึกหนูก็นั่งพิมพ์คอมไปเรื่อย ๆ จนเที่ยงคืนหนูก็ write CD เพลง ปกติแผ่นนึงจะแค่ 5 นาที นี่มันล่อไป ครึ่งชั่วโมง นั่ง ๆ อยู่รู้สึกขนลุก หมาที่บ้านเริ่มหอนปกติมันก็หอนอยู่แล้วเลยไม่คิดอะไร นั่งไปสักพักแผ่นก็ยังไม่เสร็จ สักพักได้ยินเสียงคนเดินข้างบนพ่อลงมาก่อนและก็แม่ เขาเดินมาหาหนูที่โต๊ะ เขาบอกว่า แจงยายโทร.มาบอกว่าเก่งเสียแล้ว หนูขนลุกเลย แผ่นที่รออยู่เสร็จพอดี หนูก็โทร.ไปบอกแฟนว่าเก่งเสียแล้วนะเช้ามารับด้วยจะไปรับศพเก่งที่ รพ. กับยาย เช้าก็ไปรับศพเข้าไปเขากำลังฉีดยาอยู่เลย หนูร้องไห้สงสารเพื่อนมาก ก็เคลื่อนศพไปวัดกัน ยายบอกว่าสวด 2 คืนแล้วเผา โอเคนะคืนแรกไม่มีอะไร คืนที่ 2 พ่อไปฟังสวดด้วย ขากลับมาบ้านนั่งรถมาได้กลิ่นธูปมาตลอดทางได้กลิ่นกันทุกคน พอลงรถเข้าบ้านแม่ถือธูปมากำนึง หนูก็ยืนมอง แม่ไปไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่แล้วพูดว่า เก่งนะ...ถ้าตามแม่มาจากวัดก้เข้ามาในบ้านได้นะลูก...พ่อก็ตะโกนบอกเข้ามาได้นะ...ด้วยความที่พ่อ-แม่รักเหมือนลูกเขาจึงไม่กลัว วันนั้นหนูให้แฟนมานอนค้างที่บ้านด้วยหนูก็เปิดทีวีข้างล่างดูกัน หลังที่ตั้งทีวีจะเป็นหน้าต่างกระจก หนูเล่นคอมอยู่ตอนนี้เวลาก็ 4 - 5 ทุ่มแล้ว หนูก็คุยกะแฟนไปเล่นคอมไป สักพักจะหันไปดูทีวี ขนหัวลุกเลยพี่ เก่งมายืนอยู่ที่หน้าต่างหลังทีวี เขาใส่ชุดโรงพยาบาลสีชมพูมองมาที่หนู หนูก็มองหน้าแฟน แฟนหนูเค้ากระพริบตาบอกว่าอย่าพูด หนูกลัวมาก หนูไปนอนห้องแม่ แฟนนอนข้างล่าง และพ่อไปนอนห้องพระ ประมาณตี 3-4 แม่ได้ยินเสียงคนเรียกแม่ ดังมากแม่นึกว่าหนูเรียกหันมามองหนูเห็นหนูหลับอยู่ก็เลยลงมาข้างล่างมาเล่าให้แฟนหนูฟังแฟนหนูก็ไม่ได้บอกใคร พอเช้ามาพ่อตื่นมาก็พูดว่าเมื่อตอนตี 3-4 เก่งมาเรียกพ่อ เท่านั้นแหละ แม่ขนลุกเลยแม่ก็เลยเล่าให้พ่อฟัง หนูก็เลยบอกเรื่องที่หนูเจอก่อนใครเลยที่หน้าต่างหลังทีวี ก็เลยถามแฟนว่าทำไมเมื่อคืนห้ามพูดหล่ะ แฟนบอกว่าเห็นนานแล้ว เห็นก่อนหนูอีก หลังจากนั้นเราก็ไปเผาศพเก่งกัน แต่พอมาวัดตอนเช้า เกือบทุกคนเลยพูดเป็นทำนองเดียวกันว่าเมื่อคืนเจอกันทั้งนั้น ก็ถามยายว่าทำไมอยู ๆ เก่งถึงไปง่ายจังหล่ะ ยายเล่าให้ฟังว่าตอน4-5ทุ่มเก่งบอกว่าแน่นหายใจไม่ออกยายก็เลยกดปุ่มเรียกพยาบาล เขาบอกให้เปลี่ยนเตียงเข้าห้องไอซียู น้องชายเก่งบอกว่าตอนเปลี่ยนเตียงเก่งดิ้นเพราะหายใจไม่ออกประกอบกับทุกคนกำลังชุลมุนปั๊กอ๊อกซิเจนที่เสียบอยู่หลุดไม่ถึง 5 นาที พยาบาลหันไปเห็น ไม่ทันแล้ว เก่งสิ้นใจไปแล้ว หนูเสียใจนะที่ต้องมาเสียเพื่อนรักที่สนิทอย่างนี้ไปขอให้เขาไปสู่สุขคตินะ นี่เป็นเรื่องจริงที่สะเทือนใจที่สุดใครอ่านอยู่ถ้าไม่สบายไอหรือเป็นหวัดขอแนะนำให้ไปหาหมอจะดีกว่า เพราะหนูไม่อยากให้คุณเป็นเหมือนหนูเลย</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>ผีต่าง ๆ
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>ไทย ผีฟ้าและเทพารักษ์ ชอบอยู่ตามป่าตามเขา ในถ้ำ ในน้ำ หรือบนต้นไม้ บางทีเรียกว่า เทวดาหรือเจ้า เช่น เจ้าทุ่ง เจ้าท่า เจ้าป่า เจ้าเขา ผีชนิดนี้จัดเป็นผีธรรมชาติ ผีไทย ผีนางตะเคียน ว่ากันว่าเป็นผีหญิงสาวและสวย มีอิทธิฤทธิ์มากมาย สิงสถิตประจำต้นตะเคียน โดยเฉพาะต้นที่เก่าแก่ มีอายุหลายปี คนไทยสมัยก่อนมักไม่นิยมเอาไม้ตะเคียนมาปลูกบ้าน ผีไทย ผีกระสือ เป็นผีผู้หญิง ส่วนมากมักเป็นคนแก่ กลางวันเป็นคนธรรมดา ออกหากินเวลากลางคืนดึกๆ โดยมีหัวและตับไตไส้พุงไปด้วย เห็นเป็นดวงไฟสีเขียวโตๆส่องวาบๆ ชอบกินของสดๆคาวๆและอุจจาระ ผีกระสือเวลาจะตาย จะต้องมีทายาทมาสืบต่อโดยการคายน้ำลายถ่ายเข้าปากลูกหลานคนใดคนหนึ่ง จึงจะตายได้อย่างสงบ ผีไทย ผีกระหัง เป็นผีชนิดเดียวกับผีกระสือ ต่างกันตรงที่เป็นผู้ชาย ชอบกินของสกปรกต่างๆ เวลาไปไหนมักเอากระด้งสองใบทำเป็นปีกบินได้ โบราณว่ายังเอาสากตำข้าวแทนขา เอาสากกระเบือแทนหาง ผีไทย เปรต เป็นคนที่ตายไปแล้วเป้นผี มีรูปร่างสูงโย่งเย่ง ผอมโซ คอยาว กินเลือดและหนอง เชื่อกันว่าสมัยเป็นคนนั้น ทำบาปไว้อย่างมหันต์ เช่น เนรคุณ ด่าตีพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ หรือทำลายผู้ทรงศีล ในนิทานว่าจะมีกงจักรพัดอยู่บนหัว ทำให้เลือดไหลไม่หยุด และต้องยืนตัวสั่น ขาแข็งอยู่ในขุมนรกจนกว่าจะหมดบาป เป็นอาการที่ถือว่าเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของผี เวลานอนหลับอยู่ มีความรู้สึกเหมือนมีใครมานั่งหรือนอนทับ และตรึงแขนขาทั้งสองไว้ จนกระดุกกระดิกหรือเคลื่อนไหวไม่ได้เลย ทำให้อึดอัด หายใจไมออก ต้องพยายามดิ้นรนต่อสู้จนเหนื่อยกว่าอาการนี้จะหายไป ผีไทย ผีถ้วยแก้ว เป็นการเล่นกับผีโดยวิธีจุดะปเชื้อเชิญวิญญาณผีที่รู้จัก และเป็นผีนิสันดีมาร่วมเล่นผีถ้วยแก้ว โดยมีการทำตารางตัวอักษร สระ พยัญชนะ และตัวเลข ใช้ถ้วยตะไลคว่ำลงบนกระดาษ มีคนเล่นสี่คน ใช้ปลายนิ้วแตะที่ก้นแก้ว ตั้งคำถามให้ผีตอบ เมื่อวิญญาณอยู่ในถ้วยแล้ว ถ้วยนั้นจะเดินประสมอักษรเป็นคำ ผีไทย ผีตายท้องกลม เป็นผีผู้หญิงที่ตั้งท้องอยู่แล้วตายไปพร้อมกับล๔กในท้อง จัดเป็นผีตายโหงด้วย เพราะตายแบบผิดธรรมดา จึงมีความดุร้ายมาก เช่นผีแมนาคพระโขนง ผีไทย ผีตายโหง เป็นผีที่ดุร้ายเพราะตายแบบผิดธรรมดา เช่นถูกฆ่าตาย ถูกรถทับตาย ตกน้ำตาย วิญญาณไม่สงบเท่าที่ควร ไม่ไปผุดไปเกิดง่ายๆ ต้องรอให้มีคนมาตายตรงนั้นแทนจึงจะไปเกิด บริเวณที่มีคนตายโหงแล้วจึงมีคนตายอยู่เรื่อยๆ คนส่วนมใหญ่มักโดนผีประเภทนี้หลอกหลอนมากที่สุด ผีไทย ผีทะเล เป็นผีที่สิงสถิตอยู่ในทะเลทำให้เกิดคลื่นลม ชาวเรือมักจะคอยสังเกตที่เสากระด้งเรือ ถ้ามีแสงเรืองขึ้นมา แสดงว่าถูกผีทะเลเล่นงาน ต้องรีบหาทางเอาตัวรอด เพราะเรือต้องจมแน่ๆ </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>เล่าเรื่องผี
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อแต่จริง เพราะผมเจอเอง เรื่องมีอย่างนี้ วันนั้นผมเข้าไปซ้อมดนตรีในห้องดนตรีของร.ร. มันค่อนข้างมืด เพราะแดดส่องไม่ถึง ตอนนั้นวินเพื่อนผมตีกลองดังบ้านแตก ปอก็บอกว่าให้ตีเบาเบาหน่อย วินก็บอกว่ากลองก็ดังอย่างนี้แหละ เดี๋ยวนั้นแหละครับ ประตูห้องมันคิดอะไรของมันก็ไม่รู้ มันก็ค่อยค่อยเปิดเองดังแอ๊ด พวกผมสันหลังวาบกันไปพักนึง แล้วปอก็พูดว่าสงสัยโต้ง(โต้งอยู่ข้างนอก)มันแกล้งมั้ง ผมก็เดินไปปิดประตู แล้วเริ่มซ้อมกันต่อ สักพักมันก็เป็นอย่างนี้ต่อกัน2-3 ครั้ง ปอบอกว่าท่าจะไม่ดีแล้วนะทุกคนนิ่งกันไปอีกพักใหญ่ ผมก็บอกว่าเราออกไปดูกันเถอะ ทุกคนออกมาดู ก็..ไม่พบอะไร แม้แต่เงาก็ไม่มี วินมันก็เริ่มขวัญเสียทำหน้าแหย ผมก็พูดกลบว่า อาจจะลมพัดมั้ง มาซ้อมกันต่อเถอะ ทุกคนก็ซ้อมกันต่อ สักพักก็มีเสียงทุบกำแพงมาจากห้องพระข้างข้าง ปรัด (เพื่อนที่ซ้อมด้วยอีกคน)ก็ทุบกลับไปแล้วด่ากลับว่า******** ห้องข้างข้างก็หยุดทุบ สักพักห้องข้างข้างก็ทุบต่ออีก พวกผมก็ฟิวส์ขาด โมโหมากรีบเดินไปดูห้องข้างข้างก็ไม่พบอะไร ทุกคนก็งงไปตามๆกันล่ะครับ พอกลับไปที่ห้องแล้ว ซ้อมดนตรีต่อไปอีกสักพัก ผมก็นึกขึ้นได้ว่าตรงกำแพงของห้องข้างๆ มันมีตู้พระขวางอยู่ก็เลยบอกเพื่อนๆว่าใครจะทุบล่ะ ทุกคนมองหน้าเลิ่กลั่กไปตามกัน เดี๋ยวนั้นละครับ มันก็เริ่มทุบต่อ ปรัดก็โกรธมากทุบตอบไปไม่รู้ว่าที่แขวนมันไม่ดีหรืออะไรทำกันแน่ นาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างๆตกลงมาเสร็จแล้วทุกคนก็กลัวมาก ไปหลบที่มุมห้อง(ตามความคิดเด็กๆละครับ) สักพักฉาบมันก็จี้เส้นดังแฉ่งขึ้นมาเฉยๆ หลังจากนั้น พวกผมก็โกยอ้าวทิ้งของกระจัดกระจาย ลืมปิดไฟปิดพัดลมปิดทุกอย่าง วิ่งมาถึงห้องพักครู ปอก็นึกได้ว่าลืมรองเท้าไว้หน้าห้องดนตรี ก็เลยขอร้องเพื่อนๆให้รีบกลับไปเอาด้วยกัน พอถึงหน้าห้องพบว่าของทุกอย่างถูกเก็บไว้เรียบร้อย ไฟฟ้าและพัดลมถูกปิด ปลั๊กกีตาร์ที่เสียบไว้ก็ถูกถอดออกหมด ไม้กลองที่กระจัดกระจายก็เก็บเข้าที่ตามเดิม ในเวลาไม่ถึง 3 นาที ขอความคิดเห็นกับเรื่องนี้หน่อยซิครับ </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>ตำนานผีกองกอย
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>กองกอยเป็นชื่อของผีป่าพวกหนึ่ง มีชื่อเสียงอยู่ทากภาคอีสานและทางฝั่งประเทศลาว ที่มีชื่อเช่นนี้เพราะว่ามันร้อง "กอกกอย" แต่บางแห่งว่าเรียกตามลักษณะของมันคือ มันมีตีนเดียวไปโหนก็เขย่งเกงกอยโป แต่ก็ยังมีความคิดเห็นเพิ่มเติมกันขึ้นมาอีกว่า ผีกองกอยนั้นนอกจากมีเท้าข้างเดียวแล้วเท้าข้างนั้นก็ยังเป็นเท้าปุกอีกด้วย ส่วนไทยทางภาคพายัพ (ภาคตะวันออก) เรียกผีกอกกอยว่า ผีตองเหลือง ผีกองกอยกองชาวลาวนั้น มีเรื่องเล่าอยู่ 2 เรื่อง เรื่องหนึ่งเล่าว่า มีขายคนหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านเชิงเขา มีอาชีพจับปลาในแม่น้ำเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ กับหมู่บ้าน เช้าวันหนึ่งเมื่อเขาไปตรวจดูตาข่ายดักปลาปรากฏว่าไม่มีปลาติดเลย จนกระทั่งตกเย็นเขาก็ต้องกลับบ้านมือเปล่า เพราะไม่ได้ปลากลับไปแม้สักตัวเดียว เช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็ไปดูตาข่ายดักปลาอีกเช่นเดิม แต่แล้วผลก็คือไม่ได้ปลาสักตัว เป็นอย่างนี้ซ้ำ ไปซ้ำมา สร้างความฉงนสนเท่ห์ให้กับตัวเองยิ่งนัก เขาพยายามที่จะเสาะหาต้นสายปลายเหตุด้วยการเดินดูตาม ฟื้นทรายในบริเวณนั้นจนทั่วทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียดแล้วก็ได้พบกับรอยเท้าเล็กๆ ขนาดเท่ากับเท้าเด็กย่ำไปมา เขาจึงได้เดินตามรอยเท้านั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงถ้ำแห่งหนึ่ง เขาหยุดอยู่เพียงชั่วครู่เพื่อชั่งใจ แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจเดินเข้าไป ในนั้น แล้วก็ได้พบกับหญิงลาวร่างเล็ก มีเส้นผมสีแดง แต่เท้ากลับไปอยู่ด้านหลัง ซึงต่างจากคนปกติทั่วไป ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง ไม่คิดว่าภาพที่เห็นตรงหน้านั้นจะเป็นคนแม้แต่น้อย ใช่แล้ว เขาคิดว่ามันคงเป็นผีกองกอยแน่นอน เมื่อหล่อนหันมาเห็นเขา เขาก็ถึงกับทรุดตัวอ้อนวอนร้องขอชีวิต ผีกองกอยจึงได้ขอคำสัญญาจากเขาว่า นอกจากจะต้องเชื่อฟังคำของหล่อนแล้ว ยังต้องยอมเป็นสามีของหล่อนอีกด้วย และสิ่งที่เขาจะได้จากการยอมทำตามนั้นก็คือทรัพย์สมบัติต่างๆ มากต่อมากตราบเท่าที่ใจต้องการ ส่วนหน้าที่ก็แทบจะไม่ต้องคิดคำนึงถึงเรื่องของความลำบาก เพราะมีหน้าทีแค่เฝ้าถ้ำระหว่างที่หล่อนออกไปหาอาหารข้างนอก เขายอมตกลงในที่สุดเพราะคิดไปถึงวันหนึ่งข้างหน้าว่า เขาจะต้องหาทางหนีรอดไปจนได้ หลายวักผ่านไป เขาก็เริ่มสังเกตว่าผีกองกอยนั้นมักพูดจาตรงข้ามกับความเป็นจริงเสมอ หากบอกว่าหล่อนจะหายไปนาน แต่ก็จะกลับมาอย่างเร็ว และเมื่อบอกว่าจะกลับมาเร็วก็หมายความว่าหล่อนจะหายไปอีกนานเลยทีเดียว เย็นวันหนึ่งผีกองกอยออกจากถ้ำและบอกเขาว่า จะออกไปข้างนอกสักครู่หนึ่งประเดี๋ยวก็กลับ เขาฉุกคิดว่าคงใช้เวลาอีกนานกว่าที่หล่อนจะกลับมา และนี่เป็นโอกาสทองที่เขาจะหนีหล่อนแล้ว คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็เก็บทองใส่ถุงหนีออกจากถ้ำไป หลังจากที่ชายหนุ่มหนีไปไม่นานนัก ผีกองกอยก็กลับมาและเมื่อเห็นว่าถ้ำว่างเปล่าจึงรีบติดตามเขาไปทันที และด้วยเหตุที่ไม่ใช่คน ผีกองกอยนางนี้ สามารถตามชายหนุ่มผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีจนทัน ชายหนุ่มเองก็มีความเฉลียวฉลาดพอตัวจึงแกล้งทำเป็นล้มลง แล้วเอาศีรษะซุกเข้าไปในโพรงดิน เมื่อผีกองกอยตามมาทันก็ร้องบอกให้เขากลับไปอยู่กับหล่อน แต่ชายหนุ่มไม่ยอมขยับเขยื้อนตัวเลย ในที่สุดผีกองกอยก็เปลี่ยนท่าทีใหม่ เมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ก็ใช้ไม้อ่อนเสียหล่อนหันมาพูดกับเขาอย่างอ่อนหวานและสัญญากับเขาต่างๆ นานา เพื่อจะให้เขาออกมาจากโพรงดินนั้น แต่เขาก็ยังคงนิ่งเฉย จนกระทั่งผีกองกอยเอานี้วจี้ไปที่ร่างของเขา เพื่ออยากรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่ชายหนุ่มก็ทำตัวแข็งทื่อไม่ยอมกระดุกกระดิกตัวเช่นเดิม ทันใดนั้นเอง ผีกองกอยก็ได้กลิ่นตุๆ ลอยขึ้นมาจากร่างของชายหนุ่มกลิ่นนั้นทำให้ผีกองกอยคิดว่าสามีของหล่อนตายแล้ว หล่อนมีความเสียใจมากร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่เป็นเวลานาน แล้วจัดการฝังศพของขายหนุ่ม เอาถุงทองวางไว้ข้างๆ ตัวเขาด้วย เสร็จแล้วก็กลับไปยังถ้ำของหล่อน ชายหนุ่มทนอึดอัดอยู่จนถึงเวลาค่ำ จึงได้ลุกขึ้นเดินกลับบ้านไป เมื่อเขากลับไปถึงบ้านก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครต่อใครฟังหลายคนและ ในจำนวนเพื่อนบ้านเหล่านั้นมีชายคนหนึ่งเป็นคนขี้อิจฉาประกอบกับมีความละโมบ จึงคิดจะเอาอย่างบ้าง เขาได้ทำตามชายหนุ่มคนแรกทุกอย่าง เริ่มด้วยการเอาตาข่ายไปดักปลา แล้วก็เดินตามรอยเท้าบนผื่นทรายไปจนถึงถ้ำผีกองกอย กระทั่งได้เป็นสามีนางกองกอย มีหน้าที่เฝ้าสมบัติไม่ต่างกันกับคนเดิม ต่อมาก็หาจังหวะหนีโดยได้ขนเงินทองหนีออกจากถ้ำ แต่ไม่นานนักผีกองกอยก็ตามทันแต่ให้บังเอิญด้วยความละโมบของเขาที่โลภขนเงินขนทองมา หลายถุงจึงทำให้หนักวิ่งไม่สะดวก เมื่อหันไปเห็นผีกองกอยวิ่งไล่กระชั้นชิดเข้ามาก็จำเป็นต้องโยนทึ้งเสียบ้าง กระทั่งวิ่งมาถึงไร่เขาก็ทรุดตัวลง แล้วเอาศีรษะชุกเข้าไปในหลุม แกล้งทำเป็นหมดความรู้สึกเช่นเดียวกับที่คนแรกได้เคยทำมาแล้วผีกองกอยเข้ามาถึงก็พูดเช่นเดียวกันกับที่เคยพูดกับขายคนแรก และเมื่อเห็นเขาไม่เคลื่อนไหว ผีกองกอยก็เอานิ้วจิ้มไปที่ตัวของชายคนนี้ แต่เขาเป็นคนบ้าจี้พอถูกจี้เข้าก็หัวเราะออกมา ผีกองกอยก็พลอยหัวเราะไปด้วย และได้ร้องออกมาว่า "กองกอย กองกอย" แล้วก็กินตับไตไส้พุงของชายโลภคนนี้จนหมดสิ้น นิทานลาวเรื่องนี้ได้ความรู้เรื่องผีกองกอยว่ามีเลียงร้อง "กองกอย" มีเท้ากลับไปทางด้านหลังกินของคาวสด มีทรัพย์สมบัติมาก และรูปร่างคล้ายคนแต่ตัวเล็ก มีนิทานลาวเรื่องผีกองกอยอีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า... มีชายคนหนึ่งไปดักปลาแต่ไม่เคยได้ปลาเลยจึงตรวจดูตามบริเวณนั้นก็พบรอยเท้าเล็กๆ ขนาดไม่เกินสามนิ้ว (แสดงว่าเท้าปุก) เขาแน่ใจว่าจะต้องเป็นผู้ที่มาขโมยปลาของเขาไปแน่ๆ คิดแล้วก็เลยแอบเฝ้าดูอยู่จนเกือบสว่าง จึงได้ยินเสียงคนเดินมาเบาๆ แล้วเขาก็ได้เห็นผีกองกอยมายืนอยู่ริมตลิ่ง เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ผมยาวเหมือนแม่มด ผีกองกอยไม่ได้นุ่งผ้า ตัวเปล่าเปลือยเมื่อเขาเห็นผีกองกอยจะเข้าไปลักปลาเขาก็วิ่งเข้าไปจับ แต่จับไม่อยู่เพราะผีกองกอยมีแรงมากกว่า ในที่สุดเขาเองกลับถูกจับและถูกบังคับให้เป็นสามีของ หล่อนจนได้ ทุกครั้งที่ผีกองกอยออกไปหากินมันจะเอาหินขนาดใหญ่มีน้ำหนักหลายตันปิดปากถ้ำไว้อย่างแน่นหนา ชายหนุ่มอยู่กับผีกองกอยหนึ่งปีก็มีลูกด้วยกันหนึ่งคน ชายหนุ่มมีหน้าที่คอยเลี้ยงลูกในตอนที่ผีกองกอยไม่อยู่ เขาต้องทนอยู่เป็นเช่นนี้เป็นเวลาถึงสามปี และแล้ววันหนึ่ง ลูกชายของเขาก็พยายามผลักหินปิดปากถ้ำนั้นออกได้ ทั้งๆ ที่ผู้เป็นพ่อเองผลักไม่ไหว ทั้งนี้เป็นเพราะลูกได้รับกำลังและอำนาจมาจากผีกองกอยนั่นเอง ชายหนุ่มไม่รอช้าเขารีบวิ่งหนีออกจากถ้ำทันที แต่เมื่อผีกองกอยตามทันเขาก็แกล้งทำเป็นตายอย่างชายหนุ่มในเรื่องแรก ผีกองกอยก็เอามือจี้สีข้าง เขาทนได้และได้ผายลมออกมา ผีกองกอยได้กลิ่นตุๆ ก็นึกว่าตายแล้วจริงๆ เลยเอาฆ้องใบหนึ่งวางไว้ข้างๆ ตัวแล้วพูดว่า "ถ้าเธอต้องการอะไร ก็ตีฆ้องนี้ขึ้นแล้วจะได้สมดังใจ" พอผีกองกอยจากไปแล้ว ชายหนุ่มก็กลับไปบ้าน เมื่อเขาต้องการเงินทองจะตีฆ้องขึ้นก็จะได้มาซึ่งส่งที่ปรารถนา จากนิทานเรื่องที่สองนี้ ได้ความรู้เพิ่มเติมขึ้นอีกอย่างหนิงว่า ผีกองกอย เปลี่อยกาย ไม่นุ่งผ้า และมีลูกกับคนได้อีกด้วย เรื่องผีกองกอย ในสมัยก่อนเชื่อกันมากมักพูดคุยเล่าสู่กันฟังอยู่เสมอ พระยาราชเสนาได้เล่าว่า เมื่อ พ.ศ. 2460 ได้ไปตรวจป่าเร่วและ ต้นอบเชยที่จังหวัดชัยภูมิ และไปพักแรมทีภูเขาเขียว คืนหนึ่งเวลาราว 21:00 น. ทุกคนก็หลับกันไปหมดแล้ว คงเหลือแต่พระยาราชเสนากับนายด้วงปลัดอำเภอที่ยังนอนคุยกันอยู่ กับราษฎรที่สมัครไปด้วยอีกคนหนึ่งอายุกลางคน ชื่อ ตาไข้ประพฤติตนเป็นผู้ใหญ่ยังไม่นอน แกนั่งจักไม้สานตะกร้าสำหรับใส่ของป่าที่จะหาได้ และคอยชนไฟที่ก่อไว้ไม่ให้ดิบ พระยาราชเสนากับนายด้วงได้ยินเสียงอะไรดัง จ๊อก จ๊อก ระยะห่างๆ เสียงนั้นเหมือนเสียงคนจุ๊ปาก หรือเสียงจึ้งจก แต่ดังกว่ามาก เสียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มีเสียงใบไม้ดังสวบๆ ตามเสียง จ๊อก ด้วยทุกจังหวะคือดัง จ๊อกสวบจ๊อกสวบ เป็นคู่กันดังนี้เรื่อยมา เหมือนหนึ่งตัวที่ร้องนั้นกระโดดบนกิ่งใบไม้ตามเสียงร้องนั้นทุกครั้ง พระยาราชเสนาถามนายด้วงว่าเสียงอะไร นายด้วงก็บอกว่าไม่รู้จัก เพิ่งเคยได้ยินเสียงเดี๋ยวนี้เอง พระยาราชเสนาก็เตรียมปืนให้พร้อม นายด้วงก็ตามคอยดูว่า เมื่อเห็นตัวถนัดจะ ลั่นไกให้ได้ตัวมาดูเพื่อให้รู้ว่ามันเป็นตัวออะไรกันแน่ จนกระทั่งเสียงนั้นเข้ามาถึงต้นไม้ในบริเวณที่พวกพระยาราชเสนาพัก พอจับเสียงได้ว่าอยู่ที่ต้นใด และพอเห็นต้นไม้ได้ถนัด ส่วนเจ้าของเสียงอยู่บนต้นไม้ซึ่งมืดมากมองไม่เห็นตัว พระยาราชเสนาผู้หันปากกระบอกปืนไปทางต้นไม้รู้สึกกระหยิ่มว่า ถ้ามันลงมาต่ำๆ คงได้เห็นอะไรแปลกๆ เป็นแน่ แต่ผิดหวังเพราะตาโข้อุตริออกเสียงเรียกชื่อคนขึ้น แล้วเจ้าตัวประหลาดก็ส่งเสียงดัง "จ๊อก" บนต้นไม้นั้นอีกครั้งเดียว และมีเสียงเหมือนลมพัดแรงๆ ลู่ใบไม้ดังซู่เป็นเสียงยาวประมาณ 5 วินาทีแล้วก็เงียบลง พระยาราชเสนาเข้าใจว่ามันไปเสียแล้วจึงถามตาโข้ว่า แกเรียกใคร ตาโข้บอกว่าเรียกชื่ออ้ายอะไรจำไม่ได้ ซึ่งตายไปนานไม่ทราบว่ากี่สิบปีแล้ว แต่เป็นชื่อที่ผีชนิดนี้กลัวมาก แกจึงออกชื่อให้อ้ายตัวที่แกว่าเป็นผีนั้นได้ยินเพื่อให้หนีไปเสียพระยาราชเสนารีบถามตาโข้อีกว่าผีอะไร ที่ไหน แกจึงบอกว่า อ้ายที่มันร้องจ๊อก จ๊อกนั่นแหละ ผีกองกอย มีตีนเดียว ใครพบรอยที่ไหนก็จะมีแต่รอยเท้าข้างเดียว เหมือนกันทุกแห่ง รอยเท้ามันเท่ารอยเท้าเด็กเล็กๆ และผีอย่างนี้มันแปลงตัวให้ เล็กเท่าลูกลิงก็ได้ เมื่อมันเห็นคนเดินทางในดงในป่า หากนอนหลับแล้วมันก็จะลงมาหาของกิน ถ้าไม่ได้กินเลือดคนเพราะเขายังไม่ถึงที่ตาย มันก็ขโมยเขียดหรือ อึ่ง (อึ่งยาง) ที่เขาจับใส่หม้อขังไว้เป็นอาหาร ทั้งนี้คนที่ไปด้วยหลายคนรับรองคำ ตาโข้ว่า ได้เคยเห็นรอยเท้าและเคยถูกขโมยเขียดมาแล้วเช่นกัน ตกลงว่าในครั้งนั้น พระยาราชเสนาก็ไม่ได้เห็นผีกองกอยตัวจริงเลย </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>แมวดำ
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>เรื่องแมวดำกับผีนับว่าเป็นเรื่องน่ากลัวคู่กับไสยศาสตร์หรือจะ พูดว่าคู่กับคนกลัวผีมายาวนานก็ว่าได้ โดยเฉพาะคนไทยที่เชื่อว่าหากงานศพใดมีแมวดำเข้ามาเพ่นพ่านล่ะก็ สมควรแก่การขับไล่ไปให้พ้น เพราะหากวันดีคืนซ้าย เจ้าแมวดำตัวนี้ดันมากระโดดข้ามโลกศพมีหวังแขกเหรื่อแตกตื่นวิ่งกันไปคนละทิ ศคนละทาง เหตุเพราะเป็นการปลุกคนตายให้ฟื้นคืน หากเป็นการฟื้นคืนมาพร้อมลมหายใจก็คงจะไม่มีใครเตลิด แต่เพราะเป็นการเรียกวิญญาให้หวนคืน แถมฟื้นมาคราวนี้จะมาพร้อมกับความอาฆาตพยาบาท อาละวาดหลอกหลอนคนอืน หรือว่าจะมาดีก็ยังโม่รู้ เป็นใครก็ต้องวิ่งไว้ก่อนตามประสาคนกลัวผี นั่นเป็นความเชี"อหนิ่งของคนรักไลยคาสตร์ พิธีศพต่อให้เป็นพิธีกรรมที่อยู่ในเมืองอันคึกคักอย่างไร แต่ในงานพิธีแล้วความจริงก็วังเวงและเต็มไปด้วยความโศกสลด เฉพาะแค่บรรยากาศก็ชวนให้ขนลุกขนพองแล้ว ผสมปนเปไปกับเจ้าแมวสดำกับแววตาลุกโชน อีกทั้งเสียงร้องเมี์ยวที่ก้องกังวานทั่วศาลาการเปรียญในยามที่ทุกคนตกอยู่ในความนิ่งเงียบ ก็ยิ่งเป็นเรื่องชวนให้ขนพองสยองเกล้ากันไปใหญ่ แต่เรื่องที่ศพจะฟื้นตื่นจากการปลุกของเจ้าเหมียวกดำหรือไม่นั้น ข้อนีไม่มีการยืนยันให้อุ่นใจในแนวทางของวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด นอกจากเมื่องไทยแล้ว แมวดำก็ยังคงป็อปปูล่าร์เรื่องศาสตร์ลี้ลับในประเทศ เพื่อนบ้านอีกหลายๆ ประเทศ อาทิ ในตำนานเก่าแก่ของอินเดียโบราณ เชื่อกันว่าแมวดำเป็นสัตว์ผี อันเป็นพาหนะของพระษัษฐีชึ่งคนอินเดียเขารู้จักกันดีว่าเป็นเทวีแห่งความดายของทารก หรือผีแม่ชื้อปรเะจำตัวเด็กนั่นเอง ว่ากันว่าหากใครเห็นแมวดำที่ไหนในทุกวันที่ 6 ก็มักต้องเห็นพระษัษฐีปรากฏกายอยู่ ณ ที่นั่น และหมายถ็งว่าจะมีเด็กหรือมีคนตายที่นั่นด้วยเช่นกัน มาถึงพิธีศพก็เช่นกัน ทางอินเดียเองก็พร้อมจะขับไล่ไสส่งแมวดำที่เข้ามาป้วนเปี้ยนเป็นแขกในงานคพทั้งๆ ที่ไม่ได้รับเชิญ เพราะหากมันบังเอิญไปถูกเนี้อต้องตัวศพเข้า ก็เชื่อกันว่าจะกลายเป็นรอยมลทีนกับศพนั้นๆ ไปตลอด นั่นเป็นความเชื่อของฝ่ายเอเชียใต้อย่างอินเดียคราวนี้ก็เป็นเรื่องของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อนบ้านของไทยอย่างจีน และในคติความเชื่อของจีนโบราณ ก็ถือกันนักว่าหากแมวข้ามศพผีนั้นจะฟื้นคืนชีพและกลายเป็นผีที่ดุร้ายมาก ไม่ต่างกับชาวไทยดังที่กล่าวไปแล้วตอนต้น แต่ความพิเศษที่ไม่เหมือนกันก็คือ ต้องเอากรรไกรหรือเหล็กวางไว้บนอกศพ เพื่อเป็นเหมือนดังการสะกดวิญญาณไว้ไม่ให้ลุกขึ้นมาเกรี้ยวกราดแม้ว่าจะมีแมวดำมาข้ามโลงศพก็ตาม และวิธีการนำกรรไกรวางไว้บนอกศพนี้ก็ยังพบเห็นได้ในงานพิธีศพของชาวมลายูด้วยความเชื่ออย่างเดียวกัน ความจริงแล้ว แมวจัดว่าเป็นสตว์เลี้ยงที่มีความน่ารักในตัวของมันเอง แต่ที่นอกเหนือจากความเป็นสัตว์เลี้ยงธรรมดาก็คือความพิเศษในลักษณะและ เป็นสัญลักษ์ทางความเชื่อมากมาย รวมถึงความลึกลับในดวงตาแวววาว และเสียงร้องที่ชวนให้คนรู้สึกกันไปต่างๆ นานา อีกทังยังเป็นตัวแทนความศักดิ์สิทธิ์และเหนือจริง จนมีคำโบราณกล่าวไว้ว่า "หากฆ่าแมวสักตัวถือว่าบาปนักหนาเท่ากับฆ่าเณรรูปหนึ่งเลยทีเดียว" </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>เรื่อง นางตานีโกรธ
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>เมื่อผ่านช่วงเวลาของการสอบเอนทรานซ์มาทุกคนคงจะจำภาพ ในบรรยากาศรับน้องได้ว่ามีแต่ความสนุกสนานเฮฮา และทำให้รุ่นพี่รุ่นน้อง ได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นแต่สำหรับบางคนคงจะไม่มีวันลืมวันนั้นได้เลย เรื่องราวเกิดขึ้นที่สถานที่ๆเราไปยังจังหวัดกาญจนบุรี เป็นรีสอร์ทเล็กๆ เพราะมันไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเลย แต่พวกพี่น้องก้อต่างบอกกันว่า เหมาะเป็นสถานที่ไว้ก๊งเหล้าตอนกลางคืน และตอนช่วงบ่ายๆหลังจาก ที่คนอื่นได้พาน้องๆไปตะลุยเข้าฐานต้อนรับน้องใหม่กันแล้วก็ถึงหน้าที่ ของคนที่ต้องคอยจัดขั้นตอนพิธีการ และพวกเราทั้ง 5 คน ต้องไปตัดต้นกลัวย เพิ่ม เพื่อที่จะนำใบตองมาตกแต่งบายศรีเพิ่มเพราะที่นำมาจากกรุงเทพฯ พออยู่บนรถก็มีความเสียหายไปบ้าง ใน 5 คนนั้นมีตัวดิฉันเองและเพื่อนผู้ชาย ซึ่งเรียนรุ่นเดียวกัน 1 คน และยังมีรุ่นน้องตามไปด้วยอีก 3 คน เป็นญ 2 ช 1 พอเห็นว่าได้ที่ตัดต้นกล้วยแล้วต่างก็ยกมือขอเจ้าที่เจ้าทางว่าขอตัดใบตอง ไปเพื่อใช้ทำพิธีทำอะไรผิดพลาดไปก็ขออภัยไว้ก่อนจากนั้นจึงเป็นหน้าที่ของ ผู้ชาย 2 คนที่ต้องตัดต้นกล้วยพวกผู้หญิงจะมาช่วยกันแบกเฉยๆ แต่แล้ว ที่สุดน้องผู้หญิงที่ไปด้วยคนหนึ่งกลับพูดว่า ทำไมต้นนี้ตัดยากตัดเย็นเสียจริง ยางก้อเยอะ ซึ่งทุกคนก็บอกเออน่า !!! อย่าเที่ยวบ่นไปหน่อยเลย แต่ใครจะไปรู้ว่าคำพูดของน้องผู้หญิงคนนั้นจะกลายเป็นความเดือดร้อน ในเวลาต่อมา เพราะอยู่ๆเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่เคบเจอ และไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อกำลังจะทำพิธีบายศรีสู่ขวัญให้กับน้องๆ จู่ๆ น้องคนนั้นก็มีอาการโวยวาย แล้วนั่งตัวสั่นขึ้นมา ทุกคนก็ไม่มีใครรรู้สาเหตุว่าเธอเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร บรรยากาศจากความเงียบสงบกลายมาเป็นความโกลาหลในทันที เพราะ ทุกคนนึกว่าเธอจะเป็นลมบ้าหมู หรือเป็นโรคอะไร ช่วยกันปฐมพยาบาลกัน ยกใหญ่จนไปยุ่งกับเขามากมีการตวาดไส่มาว่าไม่ต้องมายุ่งกับกู พวกแก ทำอะไรลงไปทำไมไม่ขออนุญาตฉันก่อน แถมมาว่ากันอีกที่เคยนั่งล้อมกัน เป็นวงกลมใหญ่กลายเป็นกลุ่มเป็นก้อนกันหมดเพราะทุกคนต่างก็มา กระจุกตัว เบียดเสียดอยู่ด้วยกันคราวนี้หัวหน้ารุ่นพี่ที่เหมือนเป็นคนดูแล ทุกคนพูดออกมาว่าตอนเย็นใครไปทำอะไรมาหรือเปล่าได้ขอโทษเจ้าที่ เจ้าทางหรือยังจนดิฉันนึกถึงคำพูดของน้องผู้หญิงคนนั้นได้ รุ่นน้องคนหนึ่ง ได้ถอดสร้อยพระนำมาคล้องคอให้กับน้องผู้หญิงรู้สึกว่าน้องเค้ามีอาการสงบ เงียบลง แต่นั่งหน้าตาซึมตลอด จนตลอดทั้งคืนนั้นพวกรุ่นพี่เองก็นอนกัน ไม่ค่อยหลับทุกคนเลยตัดสินใตว่าจะพารุ่นน้องคนนั้นกลับกรุงเทพฯ เพื่อไปปรึกษากับพ่อแม่แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้ปกครองของน้องคนนั้น ฟังน้องคนที่เป็นเจ้าของสายสร้อยไดติดตามมาด้วยจากกาญจนบุรีแนะนำ ให้ไปหาหลวงพี่ที่เขาสนิทสนม เผื่อท่านจะช่วยอะไรได้บ้างเพราะพ่อแม่ของ น้องเห็นสภาพลูกเขาที่ได้แต่นั่งตาซึม มองซ้ายมองขวาแต่ไม่มีการพูดจาสนทนา ตอบหากใครไปมองเข้านานๆจะมีอาการจ้องตาเขม็งตอบทุกคนจะกลัวกัน มากหลังจากพาน้องไปพบกับหลวงพี่จึงได้รู้ว่า คนที่ตามน้องมาด้วยนั้น เค้าโกรธมากที่ไปพูดดูถูกเขา หลวงพี่บอกว่าเทอเป็นนางตานีตอนนั้น ให้รีบถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้เขา และกล่าวคำขอขมาลาโทษไปด้วย พร้อมกับกรวดน้ำ จากนั้นพวกเราก็นั่งในวัด พูดคุยกับหลวงพี่ไปเรื่อยๆ ในที่สุดน้องเขาก็หายเป็นปกติ งงว่าทำไมถึงมาทำอะไรกันที่วัดนี้ภาพสุดท้าย ที่เธอจำได้คือ กำลังนั่งทำพิธีกันอยู่ในคืนรับน้องพวกเราเลยเล่าเรื่องทั้งหมด ให้เจ้าตัวฟัง เธอถึงกับขนลุกซู่ขึ้นมาเลยและบอกว่าวันหลังจะระวังคำพูด ให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่น้องคนนั้นหรอกค่ะที่กลัวทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ หวาดกลัวกันหมด จากนั้นทุกคนก็ได้แกย้ายกันไปพักผ่อนเพราะทุกคนได้ ตรากตรำ อดตาหลับขับตานอนกันมาเป็นเวลา 2 วัน 2 คืนเต็มๆ ทีเดียว ---
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>เรื่อง สัมภเวสี
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>หน่อยเป็นเพื่อนสนิทของนิดเขาอาศัยอยู่ที่วัดแถวสะพานควายมีหลวงพ่อเป็นคนคอย ส่งเสียให้เล่าเรียน วันหนึ่งที่วัดมีงานประจำปี หน่อยชวนผมไปเที่ยวและนอนค้างที่วัด วันรุ่งขึ้นค่อยไป โรงเรียนพร้อมกัน หนังกลางแปลงเลิกประมาณตี 2 ภายในงานคนเริ่มทยอยกลับกันแล้ว นิดกับหน่อย พากันกางมุ้งนอนตรงระเบียงกุฏิเพราะในกุฏิมีแต่พระนอน พอหัวถึงหมอนนิดกับหน่อยก็หลับสนิท ประมาณตี 3 นิดก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะ เสียงกรีดร้อง นิดรู้สึกกลังมากเอาผ้าห่มคลุมโปง แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นนิดจึงกวาดสายตาไปยังต้นเสียงซึ่งข้างๆกุฏิที่นิดนอนอ ยูนั้นติดกับคลอง นิดแว่วเสียงหวีดร้องดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงน้ำดัง จ๋อมๆ นิดรีบ แนบตากับมุ้งดูด้วยความอยากรู้ผสมกับความกลัว ทันใดนั้นนิดก็ต้องนอนตัวแข็งทื่อ เพราะเห็น คล้ายๆ ต้นไม้สูงมากเป็น ตะคุ่มๆ ขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นิดต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นชัดเจนว่าเงาตะคุ่มๆ ที่เดินตามริมคลองเข้ามานั้นเป็น เปรตตัวสูงใหญ่มาก มีขายาวมากเล็กๆ เดินตามคลองไปมานิดพยายามปลุกหน่อยให้ตื่นขึ้นมาดู แต่ทำยังไงก็ไม่ตื่น พอตอนเช้านิกก็เล่าเหตุการณ์ที่เจอให้หลวงพ่อฟัง ท่านบอกว่านั่นแหละคือเปรต เขา มาขอส่วนบุญ เป็นเรื่องธรรมดาเพราะคนจะเห็นบ่อยมากทางศาสนาเรียกว่า "สัมภเวสี</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>เรื่อง สองผู้เฒ่าในยามราตรี
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>เมื่อประมาณ 2 -3 ปีที่แล้ว เพื่อนบ้านของส่วนใหญ่ จะไปทำงานก่อสร้างที่กรุงเทพฯ ทำให้หมู่บ้านที่อยู่เงียบพอสมควร และป้าแอ๋วก็เป็นเพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งไปทำงานก่อสร้างกับเขาด้วย ก่อนไปก็มาฝากให้ยาย...ของดิฉันไปนอนเฝ้าบ้านให้หน่อยเพราะขณะ นั้นบ้านยังสร้างไม่เสร็จ สงสัยป้าแกกลัวของหายน่ะ ยายแกก็รับปาก ถึงตอนค่ำยายก็เลยชวนยายทา ไปนอนด้วยที่บ้านป้าแอ๋ว ในตอนค่ำ ก็ไม่มีอะไร แต่พอตีสาม ตีสี่เท่านั้นแหละได้เรื่องเลย ตอนนั้นยายตื่น ขึ้นมา เห็นยายแก่ๆ คนหนึ่งนั่งคุยกับตาแก่ๆ ข้างนอก จะอยู่ใน ลักษณะหัวโผล่ออกไปนอกมุ้ง สักพักตาแก่ก็มองเข้ามาในมุ้งหน้าแก ขาวมาก พอมองเสร็จแล้วก็คุยกันต่อ ตอนนั้นคิดว่าเป็นยายทา ก็เลย ถามว่า "ยาย เช้าแล้วเหรอ " ยายที่นั่งคุยก็ตอบว่า "อือ" เช้ามายาย...ก็ ถามยายทาว่า "เมื่อคืนคุยกับใคร" ยายทาบอกว่า "เปล่า ฉันก็นอนอยู่ ข้างๆ แกเนี่ยพอเห็นแกลุก ฉันถึงลุก" และบังเอิญป้าแอ๋วกลับมาพอดี ยายก็เล่าให้ฟัง ป้าก็เลยบอกว่า "คงจะเป็นพ่อกับแม่ของแก ที่ออกมา ทักทาย" เพราะลักษณะที่ยายเจอ ก็ตรงรูปร่างของพ่อแม่ของป้าแอ๋ว เท่านั้นแหละ ยาย...ก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรและขณะนี้ทีบ้านของป้าแอ๋วก็ มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ บ่อยจนจะเป็นเรื่อปกติ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>ศพตายท้องกลม
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>ในหมู่บ้านมีผู้หญิงคนหนึ่งมีอาชีพหาปลาขาย ชื่อน้าน้อเป็นผู้หญิง อายุประมาณ 40 ปี แกรู้จักชอบพอกับครอบครัวของผมเป็นอย่างดี เวลา แกเอาปลามาขาย แกมักพายเรือตามคลองมาชนกับเสาเรือนผมที่อยู่ติด คลอง ถ้าได้ยินเสียงเสาเรือนดังก็แสดงว่าน้าน้อมา ผมยังจำได้ว่าเห็นน้าน้อครั้งสุดท้ายตอนน้าน้อท้อง 5 เดือนแฟน น้าน้อเป็นคนเจ้าชู้มาก จนในที่สุดน้าน้อก็จับได้ ความเสียใจทำให้น้าน้อ ฆ่าตัวตาย โดยใช้เขมขัดนาคโบราณรัดคอตัวเองแขวนกับต้นก้ามปู เป็น ภาพที่สยองมาก แล้วที่ๆ แกตายก็อยู่ห่างจากบ้านผมไม่ไกลนัก วันที่แก่ ตายผมก็ไปดูด้วย แกแขวนคอกับต้นก้ามปู นัยน์ตาเหลือกโพลน ลิ้นจุกปากมีเลือด ออกมาด้วย เป็นภาพที่ติดตาผู้พบเห็นมาก ทุกคนที่เห็นแทบจะไม่กล้านำ ศพแกลงมาจากต้นก้ามปู ขนาดสัปเหร่อของหมู่บ้านยังไม่กล้าขึ้นไปนำ ศพลงมาคนเดียว ต้องพึ่งบริการของตาฉ่ำขี้เมาประจำหมู่บ้านให้มาช่วย พอถึงวันเผาศพซึ่งตามบ้านนอกไม่มีเมรุ จึงต้องใช้เผาแบบเชิง ตะกอน ก่อนเผาเป็นประเพณีที่ต้องให้ญาติพี่น้องไปล้างหน้าศพด้วยน้ำ มะพร้าว ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมจึงไปดู ศพของน้าน้อหน้าเขียว คล้ำ มีเลือดผุดขึ้นมาจากปาก ลิ้นยังจุกปากอยู่ เพราะว่าห่างไกลจาก ความเจริญจึงไม่ได้ฉีดยากันเน่า เวลาผ่านไป 3 วัน บรรยากาศภายในหมู่บ้านเต็มไปด้วยความโศก เศร้า วันนั้นเวลาประมาณตี 5 ครึ่ง ปกติผมเป็นคนตื่นเช้าเพื่อมาหุงข้าว สักพักก็ได้ยิงเสียงคนจอดเรือชนกับเสาเรือนดัง โครม พร้อมกับมีเสียง ร้องแว่วมาว่า "เอาปลามั้ย" ผมตกใจมาก รีบวิ่งเข้าไปหาพ่อกับแม่ในห้องแล้วเล่าเหตุการณ์ ให้ฟัง แม่บอกว่าน้าน้อคงยังไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว พอเรื่องนี้เงียบไปสักพัก มีแม่ของเพื่อนผมคนหนึ่งชื่อยายทอง วันนั้นแกไปตกปลาตรงบ่อริมครองใกล้ๆกับต้นก้ามปูที่น้าน้อผูกคอ ตาย จู่ๆก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งใช้ผ้าคลุมหน้าสวมงอบ ตามธรรมดาของ ชาวบ้านนอกเพื่อกันแดด ผู้หญิงคนนั้นพายเรือมาแล้วถามว่า "ยายๆแถวนี้มีหมอตำแยไหม" ยาทองรีบตอบว่า "เดี๋ยวนี้เขาไม่มีหมอ ตำแยแล้ว มีแต่สถานีอนามัย อยู่ในหมู่บ้านโน่นแน่ะ" แล้วก็ชี้บอก แต่พอหันกลับมาอีกครั้งก็ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นแล้ว </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>เรื่อง ท่องนรก
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>เวลาประมาณตี 2 ผมต้องสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะมีเสียงวัยรุ่นทะเลา กัน เสียงดังมาก ผมจึงเปิดประตูออกไปดูก็ไม่เห็นมีใคร จึงกลับมานอน ต่อ แต่แล้วเสียงเจี๊ยวจ๊าวก็ดังขึ้นอีก เสียงนั้นเปลี่ยนมาดังอยู่หน้าห้อง ผม สักพักก็เข้ามาดังในห้องผมซึ่งปิดประตูอยู่ ผมจำได้ว่ามองเห็นเหมือนกับมีวัยรุ่น 3 คนเข้ามาในห้องผมจึง หยิบร่มที่อยู่แถวนั้น กะว่าจะเอามาตีพวกมัน แต่แล้วพวกมันก็หายไป แล้วผมก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น จึงถามแฟนที่นอนค้างๆว่าเห็นผมทำ อะไรรึเปล่า เขาบอกว่าเห็นผมเดินไปเปิดประตูหลัง 2 ครั้งและไม่ได้ ยินเสียงอะไรเลย จากนั้นผมจึงนอนต่อ คราวนี้คลิ้มหลับฝันไปว่าเดินไปในที่ แห่งหนึ่ง ระหว่างทางมีลำคลองเงียบสงบมาก เป็นคลองไม่กว้างนัก รอบๆ มีบ้านไม้เก่าๆ เรียงรายติดๆกัน หน้าบ้านแต่ละหลังมีราวตาก ของบางอย่างเอาไว้ดูแล้วคล้ายๆ กับเขียงหมูในตลาด แต่พอเข้าไป ใกล้ๆ ก็เห็นว่าของที่แขวนอยู่นั้นเป็นชิ้นส่วนอวัยวะของคน เช่น แขน ขา หัว ซึ่งตากแห้งแล้ว บรรยากาศช่วงนั้นเยือกเย็นมาก ผมรู้สึกว่าตัวเบาๆ แล้วก็ ตกใจตื่นขึ้นมา เหงื่อชุ่มไปหมด ผมมานึกทบทวน จึงรู้ว่าผมกับแฟนคงจะลบหลู่เจ้าที่ๆ อยู่ใต้ ต้นโพธิ์ เพราะตอนเอารถไปจอดใต้ต้นโพธิ์ ผมกอดจูบกับแฟน ท่าน คงเตือนและมาดลบันดาลให้ผมเห็นภาพการลงโทษสำหรับผู้ที่ไม่ เคารพสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>เรื่อง เสียงปริศนา
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 5-6 ปีที่ผ่านมา บ้านผมทำบุญขึ้นบ้าน ใหม่บ้านเขาอยู่ที่รังสิต โดยนิมนต์พระมาทำพิธีจาก อ.พนัสนิคม ซึ่งเป็น พระที่นับถือเป็นการส่วนตัว ระยะทางค่อนข้างไกลกว่าท่านจะมาถึงก็บ่ายหลังจากทำพิธีเสร็จก็ เกลือบค่ำ พ่อของผมจึงอาสาขับรถไปส่งท่าน พอพ่อขับรถจะเข้าชลบุรี บรรยากาศมืดมาก ครึ้มฟ้าครึ้มฝนลมพัดแรง ส่อเค้าว่าจะมีพายุ ผมรู้สึก วังเวงมาก รถสวนทางนานๆกว่าจะมาสักคัน ทุกคนในรถนั่งเงียบ บรรยากาศในรถเริ่มมืดสลัว มีเพียงแสงไฟ หน้ารถสองดวง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง "ตึกๆ" ความเร็วขณะนั้นก็ประมาณ 120 กม./ชม. เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะมาเคาะรถ ครั้งแรกผมก็ไม่ติดใจ แต่พอครั้งที่ 2 ผมทนไม่ไหวจึงถามพ่อว่า "พ่อเคาะรถหรือเปล่า" พ่อตอบว่า "เปล่า พ่อนึกว่าแกเคาะซะอีก" แล้ว เสียงเคาะก็หายไป พ่อขับรถมาได้อีกสักพักเสียงเคาะก็ดังขึ้นมาอีก ผมจึง ถามป้าว่าเคาะรถหรือเปล่า ป้ารีบปฏิเสธทันที "เปล่าป้าจะเคาะรถไปทำ ไม" พระท่านรีบพูดว่า "โยมไม่ต้องเถียงกัน ขับรถไปเรื่อยๆ พอถึงวัดข้าง หน้าให้จอด อาตมาจะลงไปทำพิธี" พอถึงวัดข้างหน้าพ่อก็จอดรถ พระ ท่านก็ลงไปทำพิธีสักพักแล้วก็ขึ้นมานั่งที่เดิม พ่อขับรถไปได้สักพักก็ ถามพระท่านว่า "มีอะไรหรือครับ" ท่านตอบว่า "เราไปทำบุญกันมาพอ ผ่านมาตามถนนผีที่ตายก็เลยมาขอส่วนบุญ พอขับรถมาถึงวัดก็เป็นเวลา 2 ทุ่ม ผมกับพ่อและป้าขอตัวกลับแต่ท่านรั้งตัวเอาไว้จนถึง 3 ทุ่ม ท่านจึง บอกว่ากลับได้ พอขับรถกลับมาระหว่างทางก็เจอรถประสบอุบัติเหตุอยู่ ข้างทางหลายคัน พระท่านคงทราบเลยรั้งตัวไว้ยังไม่ให้กลับ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>ชุดแต่งงานสยองงงง
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>นี่เปนเรื่องจิงๆของเพื่อนชายเราเลยนะคะ*-* เรื่องมีอยู่ว่า..............วันนั้นเปนวันที่เพื่อนชายของเราแต่งงาน(ทั้งที่ยังอายุ 15 อ่ะนะ) ก้อเลยไปเลือกชุดเจ้าสาวห้ายแฟนของเพื่อนชายของเรา พอดูไปดูมา ก้อไม่มีชุดที่ถูกใจ พอดีเหลือบไปเห็น ชุดเจ้าสาวที่หุ่นสวมอยู่ก้อเลยบอกว่า เอาชุดนี้แหละ สวยดี........เพื่อนชายเราก้อเลย ให้แฟนใส่ชุด ออกมาก้อ สวยมั่กๆเลย (เราเห็นงัย ก้อเลยบอกว่าสวยมั่กๆ) แร้วก้อปายถ่ายรูปกาน พอถ่ายรูปเสร็จ ก้อเรยดิ่งมาที่งานแต่งงานทันที พองานเสร็จสิ้นแร้ว ก้อกินเลี้ยงกานจนดึก แร้วก้อพาเจ้าบ่าว-เจ้าสาวเข้าห้องหอ พอทั้ง 2 คนเข้าห้องปายแร้ว ราวก้อกลับบ้านปายเรยยยย เพื่อนเราก้อเล่าห้ายฟังว่า เข้าไป แฟนของเพื่อนเราก้อเงียบๆไป ทำหน้าดุๆ แล้วก้อวิ่งมาบีบคอเพื่อนของเรา จนเกือบจาตายอยู่แล้ว แฟนเพื่อนเราก้อพูดออกมาว่า ทีหลังมึงอย่ามาให้เมียมึงใส่ชุดนี้อีก ไม่งั้นมึงจาตาย พอพูดจบ แฟนเพื่อนเราก้อสลบไป แล้วตื่นขึ้นมา เปนดังเดิม พอไปถามเจ้าของเสื้อ เค้าก้อบอกว่า เมื่อก่อนเคยมีผู้หญิงจาแต่งงาน แต่ว่าสามีของหล่อนเปนคนเจ้าชู้ ไม่ยอมมางานแต่งงาน หล่อนก้อเลยน้อยใจ ผูกคอตายไปเรย ทั้งที่ใส่ชุดเจ้าสาวตัวนั้นอ่ะนะ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>ผีในห้องดนตรีไทย
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>ดิฉันอ่านเรื่องของคนอื่นมามากแล้ว เลยอยากลองส่งดูเองบ้าง แตเรื่องนี้ม่ได้เกิดกับตัวดิฉันเองหรอกนะคะ มีคนเข้าเล่าให้ฟังอีกทีหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา (ขออนุญาติไม่เอ่ยนาม) ซึ่งตัวดิฉันเองก็เป็นนักเรียนที่นั่น จะมีอาคารอยู่อาคารหนึ่งเป็นอาคารไม้ ใต้ถุนโล่ง และบนนั้นจะมีห้องซ้อมดนตรีของชุมนุมดนตรีอยู่ มีทั้งเครื่องดนตรีไทยและสากลรวมกันอยู่(ตอนนั้นยังไม่มีงบสร้างตึกใหม่) มีรุ่นพี่เล่าให้ฟังว่า บางวัน ขณะนั่งซ้อมดนตรีอยู่ จะได้ยินเสียงดนตรีไทยดังขึ้นเอง และไม่ใช่เพลงที่ตัวเองเล่น และในบางครั้งในเวลากลางคืน จะได้ยินเสียงดนตรีไทยดังออกมาจากห้องนี้ ซึ่งรับประกันได้ว่าไม่ไช่คนเล่นแน่นอน คงไม่มีนักเรียนที่ไหนซ้อมกันจนถึงเวลา4-5ทุ่มหรอก จริงไหมค่ะ ว่ากันว่าโรงเรียนนี้เมื่อก่อนเป็นที่ของวัด และอาจเคยเป็นป่าช้าเก่าแล้วผู้ก่อตั้งไปขอมาทำเป็นโรงเรียน อันนี้ก็ไม่ยืนยันนะคะเพราะได้ยินเขาเล่ามาอีกทีหนึ่ง ตอนนี้ดิฉันได้จบการศึกษาจากโรงเรียนนั้นแล้วจึงไม่ทราบว่าห้องดนตรีห้องนั้นยังคงเปิดให้นักเรียนซ้อมอยู่หรือเปล่า เพราะตั้งแต่ดิฉันจบมายังไม่มีโอกาศกลับไปเยี่ยมโรงเรียนอีกเลย เอาไว้ได้กลับไปเมื่อไหร่คงได้มีเรื่องาเล่าให้ฟังอีกนะคะ เพราะโรงเรียนนี้มีเรื่องผีๆ เยอะแยะไปหมดเลย ขอขอบคุณนะคะที่เข้ามาอ่านกัน เรื่องอาจไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>ดูหนังในป่าช้า
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเราเองเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง ที่หมู่บ้านเรามีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ พิม ท้องแก่ใกล้คลอดแล้ว ช่วงนั้นหน้าฝนแถวบ้านเราเขาทำนากัน และวันนั้นพี่พิมแกปวดท้องจะคลอดลูกแกอยู่บ้านคนเดียว แฟนแกไม่อยู่ออกไปทำนากับพ่อตาและแม่ยาย แกเลยร้องให้คนข้างบ้านช่วยพาส่งโรงพยาบาล ระยะทางจากหมู่บ้านเราไปตัวจังหวัดก็26 กิโลเมตร กว่าจะไปถึงพี่พิมก็อาการแย่ หมอเอาเข้าห้องคลอดรีบผ่าตัด แต่กรรมอะไรของแกไม่รู้แกสิ้นใจก่อนจะคลอดลูก และลูกของแกตายต้งแต่มาไม่ถึงโรงพยาบาล หมอก็เลยรอให้ญาติมาแล้วแจ้งให้ทราบว่าจะเอายังไง จะผ่าศพเด็กแยกจากแม่หรือเปล่า แถวบ้านเราเขาถือถ้าตายท้องกลมก็รู้ว่าเฮี้ยนแค่ไหน ก็เลยผ่าแยกกัน และแถวบ้านเราเขาถือว่าแม่กับลูกต้องแยกกันฝังคนละที่ไม่งั้นเฮี้ยน (ลืมบอว่าหมู่บ้านเราแยกออกเป็น 3 หมู่ เราอยู่หมู่ 7 คนชื่อพิมอยู่หมู่ 6แต่ชื่อหมู่บ้านเป็นชื่อเดียวกัน)ทางญาติเลยนำศพลูกมาฝังที่ป่าช้าบ้านเรา ส่วนศพแม่นั้นฝังไว้ที่นาของเขาเอง(เมื่อก่อนบ้านเราวัดยังไม่มีเมรุสำหรับเผาศพ) ตายยังไม่ถึง 3 วันก็เฮี้ยนได้เรื่อง คนที่มีบ้านอยู่ติดทางที่จะไปป่าช้าต่างพากันสยองไปตามๆกัน เพราะตอนกลางคืนจะมีเสียงผู้หญิงร้องไห้เดินถามหาลูกตอนกลางคืน เสียงหมาหอนกระหนำมาจากทางไปป่าช้า เช้าขึ้นมาคนก็ลือไปต่างๆนานา ญาติๆฟังแล้วสงสารก็เลยไปทำพิธีขุดศพเด็กมาฝังไว้กับแม่ ตั้งแต่นั้นก็ไม่มีใครเห็นอีกเลยผ่านมา 2ปีที่บ้านเรามีคนไม่ค่อยเต็มคนหนึ่งชื่อ น้อย อายุเท่ากันกัยพี่ชายเรา คือ 22 ปี เขาชอบมาเล่นกับพวกพี่ๆเรา วันนั้นหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้านเรามีหนังกลางแปลงพี่เราก็เลยชวนเพื่อนไปดูกัน คนชื่อน้อยได้ยินก็อยากไปด้วย พวกพี่ๆเราเลยแกล้งบอก 2 ทุ่มมารอที่นี่นะ แต่พวกพี่ๆเราไปตั้งแต่ 1 ทุ่มเพราะนัดสาวไว้ พอคนชื่อน้อยมาถามเราก็บอกว่าไปหมดแล้วเราก็เข้านอน ตื่นเช้าทาวันนั้นเป็นวันเสาร์เรานั่งอยู่ใต้ร่มมะยมหน้าบ้านกับพี่เราและเพื่อนเขาอีก 2 คน เห็นคนชื่อน้อยเดินมาพี่เราก็เรียกมานั่งคุย แล้วก็ขอโทษที่ไม่รอ แต่คนชื่อน้อยบอกว่าไม่เป็นไรเพราะเมื่อคืนก็ไปดูหนังเหมือนกันไม่เห็นสนุกเลย พี่เราบอกว่าไม่สนุกอะไร ขำจะตาย น้อยก็บอกมีแต่หนังผี ไม่หนุกเลย พี่เรางงมากเพราะไม่มีหนังผีสักเรื่อง เลยถามว่ามึงไปดูที่ไหน คนชื่อน้อยเล่าให้ฟังว่า หลังจากมาถามเราแล้วเขาก็เดินไปหาพี่เราที่ไปดูหนัง เขาไม่มีรถมอเตอร์ไซเลยต้องเดิน แต่ถ้าเดินไปตามถนนใหญ่ก็ไกลพอสมควรเขาเลยตัดสินใจเดินลัดผ่านป่าช้า พอเดินผ่านถึงป่าช้าเหนื่อยเลยหยุดพัก ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาถามว่าจะไปไหน น้อยบอกว่าจะไปดูหนัง ผู้หญิงคนนนั้นยิ้มแล้วบอกว่า อยากดูหนังไหมจะฉายให้ดูไม่คิดตังค์หรอก แล้วผู้หญิงคนนั้นก็แวกท้องของตัวเองแล้วมีเด็กตาโบ๋ออกมา แล้วยืดคอมาถามน้อยว่า สนุกไหม น้อยก็บอกว่า ไม่เท่าไหร่มีให้ดูแค่นี้เหรอ สักพักก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาสมทบแล้วถามว่าเล่นอะไรเล่นด้วนสิจากนั้นก็ยิ้อย่างเยือกเย็นก้มมาที่หน้าของน้อย แล้วน้อยก็บอกเขาว่า น้าๆทำหัวหลุดเก็บไปหน่อยมันทับเท้าผมมันหนัก น้อยถามว่ามีแค่นี้หรือหนัง ทันใดนั้นผู้ชายคนนั้นก็เอามือมาบีบที่คอน้อย น้อยโมโหเลยพูดว่าพอแล้วเล่นแรงไปแล้วนะไม่หนุกเลย เดี๋ยวกลับบ้านไปฟ้องแม่เลย แล้วน้อยก็เดินกลับบ้านไม่ไปดูหนัง พอน้อยเล่าจบพวกเรามองหน้ากัน ขนงี้ลุกเลย ขนาดผีเจอน้อยยังจ๋อยเลย ถ้าเป็นเรานะ ช๊อคตายคาป่าช้าไปแล้ว บรื๋อๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆแล้วคุณหละเคยเจอหรือเปล่า </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>เสาตกน้ำมัน
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>เรื่องมีอยู่ว่า...... เมื่อปีที่ผ่านมาเห็นจะได้ พวกเราได้ไปเที่ยวที่พัทยา ไปกันประมาณ 4-5 คน เราเที่ยวจนถึงประมาณ ตีสอง ก็เริ่มง่วง จึงตัดสินใจหาที่พัก ซึ่งส่วนใหญ่ก็เต็มหมดแล้ว จนกระทั้งไปเจอบังกะโลหลังนึง ว่างอยู่ เจ้าของก็คิดราคาไม่แพง เลยพาไปดูห้องเราเปิดประตูเค้าไป ปรากฎว่าที่กลางห้องมีเสาต้นใหญ่ต้นนึง มีลักษณะของน้ำมันเหนียวเยิ้มไหลลงมาอยู่กลางต้น แต่ด้วยความอ่อนล้าและเพลียเต็มที พวกเราก็เลยตัดสินใจอยู่พักสักคืนก่อนจะนอน เราก็ทำการแบ่งเอาผลไม้และขนมที่พก ติดตัวมาด้วย เอามากราบไว้บูชาไว้ที่โคนเสา คืนนั้นดูชั่งยาวนานเสียจริง ๆ พวกเรานอนหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่ตลอดเวลา สายตาก็มักจะเหลือบมองไปที่เสาอยู่เรื่อย ๆ เหมือนคอยจะระแวงว่า จะมีอะไรผิดปรกติ เกิดขึ้น อากาศเริ่มเย็นลงทุกที จนยะเยือก พวกเราเริ่มเขยิบมานอนใกล้ ๆ กัน ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น! กรี๊ด... เราร้องพร้อมกัน แล้วร่วมรวมความกล้าทั้งหมด เดินไปเปิดประตู ปรากฎว่าเป็นคุณป้าเจ้าของบังกะโลนั่นเอง คุณป้าบอกว่า "คุณเห็นเสาต้นกลางห้องมั๊ย" "ทำไมเหรอป้า" เราเริ่มกลัวมากขึ้น ในใจคิดว่า เฮ้อดีนะที่ขอขมา เอาขนมเซ็นไหว้ไว้แล้ว "อย่าเอามือไปแตะต้องเด็ดขาดเลยนะ" พวกเราใจหายแว๊บ...โล่งใจที่ยังไม่มีใคร กล้าเค้าใกล้เสาต้นนั้นเลย "มีอะไรเหรอป้า" "ก็เมื่อวานป้าให้เด็กมาทาเชลล์ปริ้นโค๊ตไว้ยังไม่แห้งเลย ถ้าเอามือไปจับเดี๋ยวมันจะเลอะมือหลานเอาหนะ" เท่านั้นแหละ ของ</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>ยาย
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>พวกเราเรียนอยู่คณะพยาบาลศาสตร์ เมื่อประมาณเดือนกันยายนที่ผ่านมาเราและเพื่อนต้องไปฝึกงาน แต่เรากับเพื่อนฝึกคนละที่ เราฝึกที่ รพ.ชลบุรี ส่วนเพื่อนเราฝึกที่ฉะเชิงเทรา ก่อนอื่นขอบอกชื่อเพื่อนเราที่โดนก่อนชื่อ ตู๊กตา เพื่อนเราก็ขึ้นฝึกงานตามปกติได้ดูแลยายแก่ๆคนหนึ่งแต่ยังไม่ทันได้ดูแลแกก็ตายเสียก่อนตุ๊กตาจึงพูดว่า "โธ่ยายยังไม่น่าตายเลยน่าจะให้ตุ๊กตาดูแลก่อน" "แกเดี๋ยวก็เจอดีหรอก" เพื่อนอีกคนพูดขึ้นมา ตอนดึกของคืนนั้นในขณะที่เพื่อนๆนอนกันหมดแล้วแต่ตุ๊กตายังนั่งทำการบ้านอยู่เกิดปวดฉี่จึงลุกไปเข้าห้องน้ำ พอเปิดประตูห้องน้ำตุ๊กตาถึงกับช็อคเลยทีเดียวเพราะภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นภาพของยายแก่ๆคนหนึ่งนั่งอยู่บนโถส้วมแล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาแสยะยิ้มให้ตุ๊กตาพร้อมกับพูดว่า "ตุ๊กตายายอยู่นี่"เท่านั้นแหละเพื่อนเราวิ่งพรวดเดียวถึงที่นอนเลยพอถึงก็เรียกเพื่อนๆที่นอนอยู่เสียงหลงแล้วก็ร้องไห้ยกใหญ่ตัวสั่นมาก ขณะเดียวกันก็มีเสียงหมาหอนด้วยทำให้ตุ๊กตายิ่งร้องมากขึ้นด้วยความกลัวจนเพื่นๆที่อยู่ด้วยกันต้องพาลงไปนอนห้องเพื่อนข้างล่าง และก็ได้รู้จากเพื่อนที่อยู่ข้างล่างว่ารุ่นพี่ที่มาฝึกก็เคยเจอมาแล้ว</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>ยายมาหา
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>เมื่อ 16 ปีที่แล้วตอนฉันอายุได้ 4 ขวบกว่าๆ ยายฉันไปอยู่กับฉันที่สุราษฯ แล้วก็เสียชีวิตที่นั่น เราเอาศพยายตั้งสวดที่บ้าน 3 คืน แล้วก็เอามาทำพิธีต่อที่นครปฐม พอเสร็จจากงานศพยายที่นครปฐมแม่กับฉันก็กลับมาบ้านที่ สุราษฯ วันนั้นฉันนอนอยู่ในห้องคนเดียวยังไม่ได้หลับ เพราะรอแม่ชงนมให้อยู่ ฉันก็ได้กลิ่นเหมือนน้ำยาฉีดศพ มันฉุนมากฉันเลยมองหาว่ามาจากไหน ฉันมองไปที่กำแพงห้องเห็นยายเดินทะลุกำแพงเข้ามาเหมือนในหนังเลย ฉันก็ตกใจ ร้องเรียกแม่ว่ายายมาๆแม่เข้ามาดู ฉันรู้ว่าแม่ก้เห็นเพราะแม่เงียบไป แต่แล้วแม่ก็ทำหน้าเป็นปกติ แล้วก็ว่าฉันฝันไป พอแม่ออกไปฉันก็มองไปที่กำแพงอีกครั้งยายยังอยู่แล้วก็มองมาที่ฉัน ก่อนที่จะค่อยๆ ถอยหลังเดินออกไป ฉันรู้ว่ายายรักแล้วก็เป็นห่วงฉัน เพราะหลานๆ ทุกคน เจอยายมาหาเหมือนกันหมด แต่คนอื่นยายมาถูกตัวด้วย ฉันไม่น่าร้องเลย เพราะฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่รักยายมาก <TR><TD width=450 bgColor=#cccccc>By : karinjung Date : 20 Dec 2001 E-</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>ผีสวนลุมฯ
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่งชื่อแอนเธอมีเพื่อนข้างๆบ้าน 3 คนเป็นผู้ชายหมดเลย เธอชอบขโมยปลาจากในสวนลุมมาขาย มีอยู่วันหนึ่งประมาณตีสอง เพื่อทั้งสามมาปลุกเธอไปเล่นที่สวนลุม เธอกล้าๆ กลัวๆ เพราะเธอก้อรู้ว่าข้างในสวนลุมฯมีผีอยู่ เธออยากไป เธอตัดสินในว่าจะไป เธอและเพื่อนปีนรั้วเข้าไปข้างในอย่างเคย เธอก็ตรงเข้าไปที่บ่อปลาเพื่อไป จับปลา มีเพื่อนชายคนหนึงเอาไม้แปลมๆ แทงไปตรงในบ่อน้ำ เพราะเขาเห็นปลาตัวหนึ่งยาวเท่าน่องขาเขาคิดว่าถ้าเอาไปขายคงจะได้เงินดีมาก แต่เมื่อเขาแทงลงไปปรากฎว่าเป็นก้อนหินแข็งๆ แอนเริ่มจะใจเสีย ต่อมาเพื่อนอีกคนหนึงเห็นกบตัวเท่าชามก๋วยเตี๋ยวก้อเอาไม้ปลายแหลมแทงไปหวังจะจับไปให้แม่ย่างกินแต่ต้องหมดหวังเพราะกบกลายเป็นหินก้อนโต แอนใจเสียมากกว่าเดิมนิดนึง หลังจากนั้นแอนเห็นว่าไม่ปลอดภัยจึงเรียกให้เพื่อนทุกคนกลับบ้าน หลังจากที่ปีนรั้วลงไป มีผู้หญิงคนหนึงใส่ชุดสีขาว หน้าตาดีมาก ระดับนางงามก็ว่าได้ นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ แอนคุ้นมากเหมือนเคยเห็นที่ไหน แต่พวกเฒ่าหัวงูก็เข้าไปคุยด้วย แอนเห็นว่าเพื่อนทั้งสามคุยกับกระดูกอยู่ เธอจึงรีบลงจากรั้ว แต่เธอก็ตกลงมาแล้วสลบไป เมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกทีก็เห็นหน้าแม่เธอ แม่แอนเล่าให้ฟังว่าแอนเป็นไข้ไม่สบายมาก แต่แอนสงสัยว่าที่เสื้อของตนจึงมีคราบโคลนติดอยู่ แล้วแม่แอนก็เล่าให้ฟังอีกว่า สหายทั้งสามของแอนตายหมดแล้ว มีเพื่อนคนหนึ่งจมน้ำตาย คนหนึ่งโดยไม้ปลายแหลมเสียบหลัง อีกคนหนึ่งแขวนคอตาย แล้วเธอก็เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ฉบับเมื่อวานเธอเห็นข่าวของหญิงที่หน้าเหมือนคนที่เธอเห็นแขวนคอตายตรงต้นไม้ต้นนั้นพอดี แต่เธอสงสัยว่าสิ่งที่เธอทำไปทั้งหมดนั้นเป็นความฝันหรือความจริง ให้เพื่อนๆ ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยนะคะ </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>ขอกลับด้วยคน
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>เรื่องมีอยู่ว่าประมาณปี พ.ศ. 2517 ยุคที่ไฟฟ้าเพิ่งจะเริ่มเข้ามามีบทบาทในชนบท อย่างเช่นบ้านผม สมัยนั้นความเป็นอยู่ของคนเริ่มจะมีความสะดวกสะบายขึ้นมาบ้าง ผู้มีอันจะกินก็เริ่มซื้อเครื่องไฟฟ้า บ้านมีความสว่างมากขึ้นในตอนกลางคืน ความเชื่อทางไสยศาสตร์ถูกแสงสว่างเข้ามาทำให้จางหายไปทีละน้อย แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความถึงสิ่งที่ถูกทดแทนจะจางหายไปได้ บางขณะเค้าอาจจะรอคอยใครสักคนอยู่ ณ.ที่หนึ่งที่ใดก็ได้ วันนั้นเป็นวันศุกร์ของสิ้นเดือน ราชการส่วนใหญ่ที่นั่นจะมีการจับกลุ่มสังสรรค์กันหลังจากเหนื่อยกับงานมาทั้งเดือนโดยเฉพาะครูบ้านนอกอย่างพ่อผม วันนั้นท่านได้ไปสังสรรค์กันตามปกติกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของท่านหลังจากนั้นประมาณ ตีหนึ่งกว่าๆท่านก็ขอตัวเพื่อนๆกับบ้าน ในระหว่างทางกับบ้านต้องขับมอเตอร์ไซผ่านทางสามแพ่งแห่งหนึ่ง ในขณะนั้นแสงไฟรถได้จับร่างคนในชุดสีขาวยืนโบกมืออยู่ แต่ตอนนั้นท่านมิได้คิดที่จะรับ เมื่อแสงไฟต้องหน้าของคนในชุดสีขาวนั้นท่านถึงกับเบรคทันที "เฮ้ย! อำนาจมาทำอะไรที่นี่ว่ะไม่ได้เจอกันตั้งนาน" บุคคลผู้นั้นเป็นเพื่อนพ่อนั่นเองที่หายหน้ากันไปปีกว่า "ข้าก็มารอแกอยู่นี่ ตั้งนานแล้ว" เพื่อนของท่านตอบ "มีธุระอะไรหรือเปล่า ว่ะ"พ่อถามไปทั้งๆที่ใจก็คิดว่า เพื่อนท่านรู้ได้ไงว่าท่านจะผ่านทางนี้ "ก็ข้าจะขออาศัย รถ แกไปที่บ้านสักหน่อย ว่ะ"เพื่อนท่านตอบ "ได้ข้าแวะไปส่งแก ก่อนค่อยเข้าบ้านก็ได้"เมื่อท่านขับไปก็แปลกใจว่าเพื่อนท่านไม่เห็นพูดคุยอะไรเลยแถมรถยังเบาอีกต่างหากเหมือนขับคนเดียว แต่พอเหลียวกับ ก็ยังอยู่ "คงมีเรื่องอะไรในใจ" พ่อคิดอย่างนั้น เมื่อถึงบ้านของเพื่อนท่านพบกับความแปลกใจอีกอย่างหนึ่งคือที่บ้านเหมือนมีการเตรียมงานเพื่ออะไรสักอย่าง เมื่อท่านจอดรถให้กับเพื่อนแล้วท่านก็ลาเพื่อนกับบ้านต่อเพราะห่วงนอนเต็มที ประมาณตีสองกว่าๆท่านก็ถึงบ้านโดยมีแม่ไปเปิดประตูรับ "ทำไม วันนี้กับดึกจังละค่ะ" แม่ถาม "จะถึงตั้งนานแล้วล่ะ พอดีเจอ อำนาจมันขอให้ไปส่งที่บ้านน่ะ"พ่อบอก "อำนาจไหนละค่ะ คุณ" แม่ถามอย่างตกใจ"ก็ไอ้นาจเพื่อนผมมีคนเดียวนี่ล่ะ"แม่ถึงกับอึ้งไปเลยเพราะตอนเย็นๆเพิ่งมีเพื่อนของพ่ออีกคนเข้ามาบอกว่า อาอำนาจเสียแล้วด้วยอุบัติเหตุตรงทางสามแพ่งตรงที่พ่อไปรับนั้นเอง เมื่อแม่เอาเรื่องนี้เล่าให้พ่อในตอนเช้าพ่อถึงกับเสียใจมากที่รู้ว่าเพื่อนเมื่อเสียแล้วยังมาบอกด้วยตัวเองให้ไปร่วมงานอีก......... </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>ห้องสยองขวัญ
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>เรื่องเกิดเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วตอนนั้นผมอายุประมาณ 18 ปี ได้ไปหาญาติที่บ้านอยู่แถวลาดพร้าวบ้านหลังนี้รําลือว่าผีดุแต่ผมไม่เชื่อเพราะเนบ้านญาติๆกันวันนั้นผมไปเยี่ยมญาติผมคนนี้แล้วเผอิญญาติได้ใช้ให้ไปเอาของในห้องๆหนึ่ง พอผมเปิดเข้าไปก็ต้องยืนตะลึงตัวสั่นเทา เพราะสิ่งที่เห็นเบื้องหน้าเป็นคนนั่งอยู่ในมุ้งที่กางอยู่แล้วตัวดำเป็นตอตะโก นัยน์ตาแดงฉาน พูดออกมาด้วยเสียงเยือกเย็นว่า " มึงเข้ามาทำไม กูจะเอาชีวิตมึง " พร้อมทั้งยื่นมือที่มีเล็บที่ยาวมากเข้ามาจะบีบคอผม ผมจะร้องก็ร้องไม่ออกจะวิ่งก็วิ่งไม่ได้ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงเอามือกำที่พระแล้วสวดมนต์จึงมีแรงแล้ววิ่งออกมาจากห้องนั้รอย่างไม่คิดชีวิตลงมาข้างล่างญาติถามว่าเป็นอะไร ผมบอกว่าโดนผีหลอกแต่ญาติผมบอกว่าไม่มีหรอกผีเผอที่ไหน ผมมารู้ตอนหลังว่าเป็นท่านเจ้าของบ้านที่ตายไปประมาณ 30 ปีแล้ว ตอนมีชีวิตอยู่ท่านเป็นคนหวงสมบัติชาวบ้านแถวๆนั้นโดนหลอกประจำ ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>ผีวังหลวง
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>ตอนนั้นเป็นฤกูฝนน้ำป่าใหลหลากบ้านของผมมีต้นยางใหญ่อยู่แถวบ้านและ ใกล้กับป่าช้าตอนนั้นฝนตกหนักมากตอนนั้นประมาณสี่ทุ่มกว่ามีฟ้าผ่าลงที่ต้นยางใหญ่แต่ก็ไม่มีอะไรเสียหายจนวันนั้นผมเห็นคนเดินดูที่ตรงนั้นเป็นคนใส่ ชุดเหมื่อนจะไปรำลิเกแล้วท่านเดินมาหาผมแล้วถามว่าตรงนี้เป็นที่ของใครผม ตอบว่าของตาผมครับแล้วเขาก็ยิ้มแล้วเดินหนีผมไปแล้วก็หายไปตอนนั้นผมไม่ ได้คิดอะไรนอกจากคิดว่าเขาหลงทางแล้วก็เกิดเหตุกาณขึ้นว่ามีคนถูกผีหลอก ตรงยางใหญ่ผก็เล่าเรื่องทั้งหดให้ตาผมฟังแล้วตาของเอาพระมาถอดออก แล้วพระท่านบอกว่าเขาถูกน้ำพัดมาตกที่ตรงนี้แล้วท่านก็ฟื้นตอนฟ้าผ่านี้แหละ</TD></TR></TBODY></TABLE>ประวัติท่านว่าท่านเป็นคนวังหลวงตอนนั้นตั่งแต่รัชกาลที่2 ท่านเป็นคนปกครองเมืองวังหลวงท่านว่าท่านถูกคนปองร้ายท่านเลยตายและหาคนที่ ปองร้ายท่านจนพบว่าเป็นน้องบุญธรรมท่านเองเนื่องจากท่านมีเมียสาวและ สวยชื่อว่านางสุราคนางนางงามอย่างเรื่องรือไปทั่วเมืองของท่านและท่านยังมีสมบัติอย่างนับไม่ถ้วนส่วนน้องชายท่านท่านกรุณาให้เป็นคนคุมทหารออกไป รบพูดง่ายๆเป็นนายพลแต่ยังไม่พอจัยหวังครองอำนาจแต่เพียงผู้เดียวก็เลยปองร้ายท่านและเอาภรรยาของท่านมาเป็นเมีย ท่านเป็นห่วงเมียท่านเลยยังไม่ไปไหนท่านวนเวียนอยู่ที่วังของท่าน ส่วนน้องชายบุญธรรมกลัวเลยเอาหมอผีลง อาคมสะกดวิญญาณเอาไว้เลยทำให้ท่านไม่ไปผุดไปเกิดและจนถึงทุกวันนี้และ ท่านถูกน้ำผัดมาที่ต้นยางใหญ่และถูกฟ้าผ่าลงมาท่านเลยถูกปล่อยจากการ พัณฒนาการ และ เรื่องที่ว่านี้เป็น ต .วังหลวง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด
     
  9. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>เขามาช่วย
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>เกิดขึ้นเมื่อ 8 วันก่อน ซึ่งเป็นวันที่ต้องเดินทางไปค่ายต่างจังหวัด ตัวผมเองเป็นคนที่เมารถง่ายจึงขอนั่งอยู่ด้านหน้่าใกล้ๆกับทางลงรถ ประกอบกับด้วยหน้าที่ต้องประจำอยู่คันแรก การเดินทางจึงค่อนข้างสบาย ไม่เมา ที่ทางแยกถนนหลวงที่ 366 กับ ถนนสายปะอินทร์-เดชแก้ว เป็นทางแยกที่มีต้นกกขึ้นหนาแน่น และสูงมาก ไฟก็ไม่ค่อยมี ผู้โดยสารส่วนมากก็หลับกันเกือบหมด อ้อ เป็นเวลาประมาณ 23.30 น.ประมาณเอานะครับ จู่ก็เห็นผู้ชายแต่งตัวดี ใส่เสื้อขาว และผูกไทค์ยืนยกมืออยู่กลางถนน ไม่ว่าจะบีบแตร ตบไฟสูงยังไงเขาก็ไม่ยอมหลบ คนขับเลยต้องเบรคกันตัวโก่ง คันหลังที่ตามมาอีก 5-6คันก็เหมือนกัน ผมคว้าไม้และไฟฉายได้ท่อนหนึ่งแล้วเปิดประตูลงไปดู แต่ก็ไม่เห็นใครทั้งสิ้น ทั้งใต้รถ ทั้งป่ากกข้างทาง แต่ทันทีนั้นเอง ผมเห็นรถบรรทุก 10 ล้อ 2คันขับแข่งมาบนถนนทั้งสองเลนที่ตัดผ่านทางแยก ขับอย่างเร็วมากๆพุ่งผ่านไปพอดี ตั้งสติได้แล้วก็พอจะรู้ได้ว่ามีใครมาช่วยแน่ๆ ไม่งั้นจังหวะรถพวกผมคงพอดีกับสิบล้อ ไม่คันใดก็คันหนึ่งแน่ๆ กลับกรุงเทพแล้วคงต้องแวะทำบุญผู้มีพระคุญ</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>มอร์เตอร์ไซค์มรณะ
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>นายชงหนุ่มวัยรุ่น เพี่งซื่อมอร์เตอร์ไชค์(มือสอง)มาในราคาเพียง 1,000 บาท แต่ที่น่าแปลกคือ เกือบทุกครั้งที่ใช้รถจะต้องประสบอุบัติเหตุ เเละมีอยู่ครั้งหนึ่งเกิดรถล้มโดยไม่ทราบสาเหตุ และบังเอิญวันนั้นนายชงไม่ได้ใส่หมวกกันน็อก จึงอาการสาหัสจนถึงขั้นที่เรียกกันว่า "เสียชีวิต" สภาพศพ: บริเวณหน้าถูไปกลับพื่นทำให้ดูเกือบจะไม่รู้ว่าเป็นใคร สมองทะลักออกมาเต้นอยู่นอกศรีษะ ซี่โครงหักไปหลายซี่ " ถ้าไม่ตายอยู่ไปก็ตายเปล่า " วันเผาศพแม่ของนายชงเกิดสงสัยเรื่องที่นายชงต้องประสบอุบัติอยู่บ่อยๆจึงไปหาเจ้าของเตนท์ขายรถมือสองที่ลูกชายของตนซื่อรถมาแล้วถามประวัติของรถคันนี้จึงได้ทราบว่า เดิมเจ้าของรถคนเก่าหวงรถคันนี้มากแต่แกประสบอุบัติเหตุแบบเดียวกับนายชงญาติจึงนำรถคันนี้มาขายแต่ที่เตนท์ขายรถถูกก็เพราะวิญญาณของเจ้าของรถคนเก่ามาอยู่กับรถจึงต้องรีบขายเพราะเหตุนี้จึงทำให้นายชงต้องประสบอุบัติเหตุ </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>ลาเพื่อน
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>เรื่องเกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่ความคิดมาก หรือว่ากลัวไปเอง หากใครอยู่ในเหตุการณ์ก็จะเข้าใจ เพื่อนฉันตายไปเมื่อ 3 ปี ก่อน ช่วงที่เขาตายนั้น ฉันเองทำงานอยู่ จ.ลำพูน แต่เขาตายที่เชียงใหม่ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาตาย คืนนั้นก็ที่จะได้รับข่าวว่าเขาตาย ฉันนอนกับเพื่อน แล้วตื่นขึ้นมากลางดึก ฉันมองเห็นเพื่อนที่นอนด้วยนั้น เป็นใครก็ไม่รู้มานอนทับเพื่อนคนนั้นไว้ หัวเขาเหมือนคนโดนผ่าตัดใหม่ พันผ้าสีขาวเต็มหัว เลือดไหลเต็มหน้า ฉันตกใจแต่ก็พยายามเรียกเพื่อนให้ตื่นด้วยความกลัว แล้วเช้าวันนั้นฉันก็เล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนบอกว่าคิดมากเอง พอตกเย็นทางบ้านก็โทรมาบอกว่าเพื่อนที่อยู่เชียงใหม่ตายแล้ว รถชนกันตายคาที่ ผ่าตัดสมอง แต่ช่วยไม่ทัน แล้วฉันก็เดินทางมางานศพเพื่อนที่วัด พอกลับถึงบ้านก็นอนไม่ได้เลย ฉันนอนก็ได้ยินเสียงเพื่อนที่ตายมาเรียกว่า อยู่เข้าบ้านหน่อย จะมาบอกลา ตัวฉันเองก็จะตื่นไปเปิดประตูให้โดยไม่รู้ตัว จนแม่ก็ฝันในเวลาที่ฉันจะเปิดประตู ว่าเพื่อนฉันที่ตายแล้ว โกรธที่ฉันไม่ไปเป็นเพื่อน แม่จึงตื่นมาดูฉัน ฉันเองก็กำลังจะไปเปิดประตู ตามคำที่เรียกให้เปิด พอแม่เห็นจึงเรียกบอกว่าจะไปไหน ฉันจึงรู้สึกตัว พอแม่เห็นเช่นนั้นด้วยความเป็นห่วง จึงให้ฉันไปนอนด้วย แต่แม่กับฉันก็ฝันเรื่องเดียวกันสถานที่เดียวกัน ว่าเพื่อนมาขอกินฝรั่งและโกรธที่ฉันไม่แบ่งให้กิน ซึ่งพอตื่นมาฉันกับแม่จึงเล่าให้ฟังว่าฝันเรื่องอะไร ซึ่งมีน้อยมากคนเราจะฝันตรงกันเวลาเดียวกัน แล้วหมาก็เห่า และหอนเสียงดังทั้งคืน พอเช้ามาฉันก็ไปทำบุญให้เพื่อนที่ตายและบอกว่าฉันรู้แล้วให้เขาไปสู่ที่ชอบที่ชอบเถิด อย่ามาเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย พอวันต่อมาฉันก็ไม่ฝันอีกเลย</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>ผี หรือ ชักโครก ???
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>วันนั้นในขณะที่เราได้เข้าห้องน้ำของโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่ง และกำลังจะไปอาบน้ำ พวกเราได้เดินทางมาไกลและได้พักผ่อนโดยที่พ่อ แม่ และลูกทีมของเราได้นอนหลับไปแล้ว และลืมอาบน้ำ ส่วนเราก็ลืมอาบแต่เหมือนกับว่ามีพลังหรือแสงอะไรกันแน่??? มาเข้าตาเรา และเหมือนกับมีคนมาเข้าฝันว่าให้เดินไปดูทที่ห้องน้ำ และตรงไปที่ชักโครก จากนั้นก็ช่วยนำวิญญานของหญิงสาวท้องแก่ไปฝังไว้ แต่ ((ห้ามเผา)) เรากลัวมาก เกือบร้องกรี๊ด แต่ก็ไม่กล้า เพราะห้องติดข้างๆ แต่เอ่อ!ก้อคิดว่าฝันไป แต่...พอเข้าห้องน้ำก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราก็อาบน้ำ แต่พอเราจะปัสสาวะที่ชักโครกก็มองชักโครกเป็นตัว(ู้หญิงท้องแกนั่งในท่าโค้งๆ เหมือนชักโครก ผมยาว นั่งก้มหัว ไม่ใส่เสื้อผ้า เรากลัวมากรีบวิ่งสุดชีวิต และร้องไห้ด้วยยยยย แต่ระหว่างที่เราวิ่งเหมือนกับมีเสียงหญิงสาวในฝันพูดว่า ...อย่าลืมมมมมมมมม ขอบคุณณณณณณณ... และพอรุ่งเช้าเราได้เล่าเรื่องให้พ่อ แม่และลูกทีมฟัง จากนั้นก็ไปสุสาน (หญิงที่ตายเป็นคนจีน) และไปอุทิศส่วนกุศลศพให้นางและลูก</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>ฆ่าหั่นศพ
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>เมื่อเพื่อนของฉันหายไปไม่เข้าชั้นเรียน เรื่องจึงถูกนำมาเข้าสู่กรรมการการศึกษา ในตอนแรกก็ยังไม่มีใครสนใจเท่าใดเพราะลูกศิษย์มักจะหายไปอยู่เรื่อยๆ เนื่องจากมีเหตุผลหลายประการที่จะทำให้นักศึกษาขาดเรียน แต่มีลางสังหรณ์บางอย่างที่รู้ว่าเพือนของฉันหายไปอย่างผิดปกติ จนสืบรู้ในทางลับว่า ได้พบท้ายรถของเพื่อนชายเจนจิรามีคราบเลือด โดยที่ทางพนักงานสอบสวนคิดว่าเป็นเลือดกระเพาะปลา ตามคำให้การของนายเสริม ในตอนนั้นปักใจเชื่อว่าเพื่อนของฉันตายแล้ว และแล้วเช้าวันศุกร์ต้นเดือนมีนาคม ก็มีข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ ว่านายเสริมสารภาพว่าได้ฆ่าเพื่อนของฉัน ที่โรงแรม 99 เมื่ออ่านคำสารภาพก็รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะประสพการณ์ผ่าศพของผู้เขียนนานเกือบ 20 ปี ทำให้รู้ว่าใครควรทำได้แค่ไหน ประกอบกับระยะเวลาที่อ้างและอุปกรณ์ที่ใช้ในสถานที่โรงแรม 99 นั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นไปตามคำสารภาพ อีกทั้งวันเวลาที่ผ่าานไปหนึ่งเดือน กลับไม่มีการพบหลักฐานที่หลงเหลือที่ห้องพัก หรือแม้แต่กลิ่นคาวเลือด ดังนั้นจึงเตรียมตัวเตรียมใจว่าคดีนี้ไม่ตรงไปตรงมาแน่นอน ตำรวจได้แจ้งว่าพบกะโหลกศีรษะ 2 ใบที่สถาบันนิติเวช ก็ให้ช่วยไปพิสูจน์บุคคลว่าเป็นกะโหลกศีรษะของเพื่อนของฉันหรือไม่ เมื่อได้พบเพื่อนสนิทของเพื่อนของฉันซึ่งไปดูกะโหลกมาแล้ว ก็บอกว่ากะโหลกมีฟันที่เหมือนเพื่อนของฉันมาก และที่สำคัญกะโหลกยังมีคราบเลือด และเศษเนื้อติดอยู่พอสมควรจึงได้ส่งไปทำการพิสูจน์ DNA เมื่อได้เปรียบเทียบDNA ของทางพ่อแม่กับคราบเลือดที่พบหลังท้ายรถนั้น ปรากฏว่าตรงกัน จากประสบการณ์การผ่าศพมานานยากที่คนไม่เคยเรียน หรือมีประสบการณ์มาจะผ่าศพได้เสร็จในเวลา 3 ชั่วโมง โดยไม่มีร่องรอย เมื่อต้องไปพิสูจน์หาหลักฐานที่ห้องส้วมของโรงแรมก็พบว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ดังคำสารภาพแน่นอน เพราะการวางท่อ บ่อพัก สภาพห้องน้ำไม่เอื้อต่อการฆาตกรรมแน่นอน วันที่นัดนายเสริมทำแผนประกอบการคำสารภาพ ทำให้ทีมงานพบคราบเลือดเล็กๆที่ผนังห้องน้ำ ภายหลังจากการพิสูจน์คราบเลือดที่พบ กลับกลายเป็นพยานหลักฐานชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่ง และในตอนเช้าก็ได้พบเส้นผมอีกทั้งกำซึ่งรอการตรวจวิเคราะห์ ต่อมาชาวบ้านพบถุงบางอย่างติดอยู่ที่ตอม่อเมื่อเปิดดู ก็กลายเป็นหัวคนที่มีสภาพสยดสยอง เมื่อตรวจสอบก็พบว่า คำให้การแรกของเสริมนั้นบิดเบือนจริงๆแล้ว เหตุการณ์ไม่ได้เกิดในโรงแรม แต่เปลี่ยนมาเป็นที่อพาร์ตเม้นท์ของเสริม ในตอนที่เข้าไปในห้องพักของนายเสริมก็รู้สึกว่าได้กลิ่นคาวเลือด ในที่สุดตำรวจก็พบหยดเลือดขนาดเล็กมากเพียง 0.3 เซนติเมตร ภายในห้องพักของนายเสริม และจากกะโหลกศีรษะของเจนจิราที่ถูกยิงทะลุนั้นก็สงสัย ว่าหัวกระสุนน่าจะฝังอยู่บริเวณไหนซักแห่งภายในห้อง แต่คดีเเพ่อนของฉันขาดหลักฐานที่จะเชื่อมโยงว่าเสริมเป็นผู้ฆ่าเพื่อนของฉันจริง คือปืนและกระสุนปืน ซึ่งใช้เวลาสืบพยานถึงนานเกือบ 2 ปี และเมื่อไม่นานก็พบว่า ในห้องแต่งตัวของผู้หญิงมีถุงกระดาษเก่าๆของใครก็ไม่รู้ซึ่งอยู่มาเป็นปีแล้ว เมื่อเปิดถุงดูก็พบว่าเป็นเสื้อกาวน์ที่ปักชื่อ เจนจิรา พลอยองุ่นศรี เสื้อผ้าที่พบมีสภาพค่อนข้างมอมแมม มีคราบเหลืองๆ เมื่อปะติดปะต่อดูรูปความทางคดีว่าทำไมเจนจิราจึงลืมเสื้อผ้าไว้ที่ห้องผ่าตัด ทั้งที่ตัวเองเรียนยู่ภาควิชาอื่น เมื่อวิเคราะห์ดูเริ่มสงสัยว่าเป็นเสื้อที่ใส่ตอนตายหรือไม่ ซึ่งเพื่อนของฉันถูกยิงตายน่าจะมีคราบเลือดติดอยู่ แต่สภาพเสื้อเหมือนผ่านการซักมาก่อนทำให้การหาหลักฐานกลับต้องพักไว้ก่อน จึงทำให้คดีของเพื่อนของฉันต้องพักไว้ก่อน รอการติดตามหาหลักฐานที่จะสามารถมัดตัวฆาตกรต่อไป </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>เซล์แมนเจอดี
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงณ.ตึกแถวแห่งหนึ่งแถวดาวคนอง ในวันนั้นได้มีเซล์แมนมาเสนอขายสินค้าให้แก่บ้านของข้าพเจ้าและในขณะที่เซล์แมนกำลังพูดคุยอยู่กับบิดาของข้าพเจ้านั้นมารดาของข้าพเจ้าได้สังเกตุเห็นว่าเซล์แมนคนนั้นได้มองไปที่ชั้นสองของบ้านอยู่บ่อยๆมารดาของข้าพเจ้าเลยถามว่ามองไปข้างบนทำไมเซล์แมนเลยถามว่า ทำไมพี่ไม่เรียกลูกของพี่ลงมานั่งฟังด้วยกันเขาบอกว่าเขาเห็นเด็กสองคนนั่งเกาะขอบบันไดแล้วมองมาที่เขาอยู่ที่ชั้นสอง บิดาและมารดาของข้าพเจ้ามองหน้ากันและบอกเขาไปว่า ในตอนนี้ทั้งบ้านมีแค่สองคนที่อยู่บ้านไม่มีเด็กที่ไหนอยู่เลยแต่เซล์แมนก็ยังยืนยันว่าเห็นเด็กมองเขาอยู่จากชั้นสองจริงๆ เท่านั้นเองมารดาของข้าพเจ้าก็รุ้แล้วว่าเซลแมนคนนี้เจอดีเข้าให้แล้วมารดาของข้าพเจ้าเลยบอกเขาไปว่าที่คุณเห็นนะไม่ใช่คนหรอกเพราะมารดาของข้าพเจ้าเจอประจำ พอได้ฟังแม่ข้าพเจ้าพูดแล้ว เซล์แมนก็ไม่คิดจะขายของอีกเลยเก็บของและกลับทันที</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>ผีอกหัก
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>วันที่ 5 พฤศจิกายน 2546 เราได้ทราบข่าวว่ามีคนฆ่าตัวตายโดยการผูกคอตายที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ขอบอกสถานที่นะ โดยสาเหตุเกิดจากโดนแฟนหนุ่มบ้านข้างทิ้งทำให้คิดมากและคิดสั้นในที่สุด แต่เรื่องไม่ได้มีแค่น้สิครับ มีคนเล่าว่าทุกวันพระจะมีคนเห็นผู้หญืงมายืนร้องได้อยู่หน้าบ้านผู้ชายที่เธอรักและบ้านของเธอเอง โดยเธอจะใส่ชุดสีนำตาลขาด ๆ (ชุดที่เธอตายนะแหละ) เดินวงไปวงมาแถวบ้านและบ้านแฟนตอนประมาณตี 2-3 โดยเวลาไม่แน่นอน ตอนแรกผมไม่เชื่อหลอกว่าเป็นเรื่องจริง จนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาผมเดินทางกลับบ้านหลังจากเรียนเสร็จ ผมผ่านมาทางบ้านของหญิงคนนี้ประมาณ 4 ทุ่มได้ ผมเหลือบไปเห็นผู้หยิงชุดสีน้ำตาลขาด ๆ ห้อยตัวลงมาจากผนังบ้านโดยมีเชือกผูกติดไว้ ห้อยโยกเยกไปมา และส่งยิ้มแบบเยือกเย็นให้ ประปนกลับเสียงของหมาที่หอน และไม่มีคนที่จะกล้าเปิดประตูออกมา ผมรู้เลยว่าผมเจอแน่ ผมจึงเรียลบขับรถทำให้รถไปชนกลับราวถนนอย่าแรงทำให้แขนผมเกือบหักมีรอยฟกช้ำนิดหน่อยแต่โชดดีที่ผมกระเด็นตกไปในน้ำทำให้ไม่เป็นอะไรมากื พอมีคนาช่วยผม ผมยังคงเห็นเธอยืนดูอยู่ใกล้ ๆ และยิ้มอย่างบอกไม่ถูกว่ายิ้มเพราะอะไร แต่ไม่มีใครเห็นเธอหลอกนอกจากผม เหตุการณืครั้งนั้นทำให้ผมคิดได้ว่า ถ้าไม่รักใครเราไม่ควรทำให้เธอเสียใจ ขอขอบคุณที่เยี่ยมชมและอย่าลืมบออต่อ ๆว่าคุณเคยทไห้ใครอกหักหรือเปล่า ถ้าทำอย่าให้เป็นอย่างกรณีผม </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>รถมือสอง ลองซื้อแล้วจะเข็ด
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>อืมคือว่างี้นะ..........เมื่อตอนเราเรียนอยู่ชั้นประมาณม.1 ม.2 เนี่ยแหล่ะ เพื่อนเรามันได้ซื้อรถมาใหม่แต่เป็นรถมือสอง แล้วอยู่มาวันนึงตอนกลับบ้านเพื่อนเราคนนึงหันไปมองตรงกระจกรถเห็นว่าใครซ้อนท้ายเพื่อนเราคนที่ซื้อรถมาใหม่ใสเสื้อสีขาวซ้อนประมาณ3-4คน แต่พอหันหลังไปก็ไม่เห็นมีอะไรเลย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักเพราะบอกไปใครก็ไม่เชื่อ แต่พอวันต่อมาเพื่อนอีกคนนึงก็เห็นว่ามีใครซ้อนท้าย ยายคนที่ซื้อรถมาใหม่นั่นอีกแล้ว ทีนี้เห็นไปแล้ว2คนมันจึงเริ่มบอกยายคนที่ซื้อรถใหม่นั่น เลยตกลงกันว่าในตอบเย็นตอนกลับบ้านให้เปลี่ยนกันดูกระจกรถ คันยายคนที่ซื้อมาใหม่ว่าเห็นอะไรไหม พอตกตอนเย็นพวกนั้นก็เห็นกันว่ามีใครก็ไม่รู้ซ้อนท้ายยายคนที่ซื้อรถมาใหม่นั่น ทีนี้ต่างคนต่างกลัวเลยล่ะนะ พอกลับไปถึงบ้านยายพวกนั้นไม่ยอมเล่าให้ใครเลย แต่มีชาวบ้านมาบอกว่าเห็น ยายคยที่ซื้อรถใหม่เอาใครซ้อนท้ายทำไมมันเยอะนักล่ะ ทีนี้พวกนั้นขนลุกเป็นแถวเลยต่างคนก็เล่าเรื่องนี้ให้พ่อแม่ฟัง พอตอนเช้าก็ไปวัดไปทำบุญให้เจ้าของรถคันนั้นกัน นี่แหล่ะค่ะต่อไปจะซื้ออะไรให้ดูดีดีก่อนว่ารถคันนั้นมันเป็นยังไงถึงได้ขาย</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>ผีกลางทาง
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>วันที่ 15 พฤษจิกายนทีผ่านมา เราไปเที่ยวบ้านเพื่อนและก็กลับประมาณตี 2 ได้มั่งระหว่างทางกลับบ้านเราไปเจอเพื่อนคนหนึ่งกำลังกินอาหารกันอยู่ที่ร้านอาหารในเมือง เราก็แวะคุยกันประมาณ 20 นาที่ได้มั่ง พอกินไปชักระยะเรารู้สึกปวดท้อง เราจีงของตัวไปเข้าห้องน้ำ ชึ้งห้องน้ำจะอยู่หลังร้านอาหาร ตอนแรกเราคิดว่ามีคนอยู่ในห้องน้ำ เพราะมีเสียงคนใช้ห้องน้ำอยู่เราก็เลยรอจนผ่านไปประมาณ 10 นาทีได้มั่ง ยังไม่มีแววจะมีใครออกมาเราก็เลยเรียกแต่ไม่มีใครตอบ เราจึงหาทางแอบดูเพราะมันดูดแปลก พอแอบดูนะเห็นหมดเลยว่าคุณลุงหม่มีหนจ้ากำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้องน้ำ แถมยังสูบุรี่อิกเราเลยกลัวแทบแย่ (นึกว่าสาว ๆ ) เราก็รออิกระยะคุณลุงก้ออกมา พอเราทำธุรเสร็จก็ปราเข้าไปประมาณตี 3 เราก็เลยกลับบ้าน ระหว่างทางกลับบ้านชึ่งจะเป็นทางเปลี่ยวผ่านป่า (ไม่ใช่บ้านนอกนะ) ช฿งเคยเป็นป่าช้าเก่าและจะมีโค้งอันตรายใกล็ ๆ ชึ่งจะมีอุบัติเหตุบ่อยครั้ง พอเราเหลือบไปดูที่ป่าช้าเท่านั้นแหละเราเห็นชายใส่ชุดสีขาวเดินอยู่ที่ป่าช้า และมีชายอิกคนหนึ่งนั่งตรงบริเวณศาลาใกล้ ๆ ชึ่งดูแล้วไม่หน้าจะเป็นใครไปได้ นอกจากสิ่งที่ไม่ใช่คน พอมาถึงโค้งอันตรายช฿งมีธงสีแดงปักอยู่ผมเห้นมีชายหน่มนั่งอยู่ตรงบริเวณะงนั้นพอดี ผมรู้สึกว่าใจของผมเริ่มสั่น และกลัวมาก เพื่อนลองคิดดูสิว่ากลับบ้านตอนตีสามคนเดียวผ่านป่าช้า ผ่านโงที่มีคนตายมากเพียงลำพัง มันจะมีความรู้สึกอย่างไร ถึงไม่เจอก็กลัวแล้วใช่ไม่ครับ พอผปมกลับถึงบ้านดูวันและเวลาพบว่าวันนี้เป็นวันพระ ขอขอบคุณที่ช่วยอ่านอย่าลืมโหวดนะ เดี่ยวจะหาประสบการณ์มาเล่าอิ</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>สร้างจากเรื่องจริง
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>"กุศลคุณงามความดีอันไดที่เกิดขึ้นกับเรื้องที่ข้าพเจ้าจะได้เล่าต่อไปนี้ข้าพเจ้าขอยกให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วในเหตุการณ์ที่ข้าาพเจ้าจะได้เล่าดังต่อไปนี้" เรื่องมันมีอยู่ว่า ลุงของผมไปซื้อบ้านที่ต่างจังหวัดในชนบทห่างไกลจากตัวเมือง เรื่องมันก็เริ่มจากบ้านที่ลุงผมได้ไปซื้อนั่นแหละครับ บ้านหลังที่ว่านั้นเป็นบ้านไม้สองชั้นลุงผมยังไม่มีลูกแกอยู่กับเมีย 2 คน และลุงผมก็มีวัวอยู่ 1 ฝูง ครับ....... ว่ากันว่าบ้านที่ลุงผมซื้อนั้นเป็นบ้านร้างที่เจ้าของตายเพราะว่าเกิดการแท้งลูก (ตายท้องกลม ตายทั้งกลม อะไรนี่แหละ) ลุงผมอยู่ได้มาหลายอาทิตย์ก็เริ่มรู้ว่าหมามันเห่าในตอนกลางคืนทุกคืน มันเริ่มเป็นที่น่าสงสัยว่าอาจจะมีคนมาขโมยวัวที่ลุงผมเลี้ยงไว้ และแล้วคืนที่น่าสยองมันก็เกิดขึ้นอย่างน่าโหดร้ายมาก ขณะที่ลุงของผมกำลังสอดส่องดูความเรียบร้อยจากรูข้างฝาของบ้านนั้นเอง ก็ได้เห็นเงาคนหลาย ๆ คนอยู่ที่โรงเลี้ยงวัว และลุงก็ไปคว้าปืนมาเป็นปืน (ลูกซองขนาดยาว) แล้วแกก็โมโหเหมือนว่ามีคนมาขโมยวัวไปต่อหน้าต่อตาเพราะสังเกตมาหลายวันแล้ว ทันไดนั้นเมียของลุงผมก็ออกมาจากประตูห้องนอนด้วยกันเพื่อจะมาจัดการกับโจรที่จะมาขโขมยวัว แล้วลุงผมก็เปิดประตูด้านหน้าของบ้านออกแล้วแกก็บอกเมียและพลางผลักให้เมียแกเข้าไปในห้องนอนก่อน สิ่งที่ลุงเห็นและรู้คือเมียเข้าไปในห้องแล้วและลุงก็เป็นคนผลักเข้าห้องเองกับมือ และด้านนอกก็เห็นมีคนที่เป็นแปลกหน้าที่คาดว่าจะเป็นโจรที่มาโขมยวัว ทั้นใดนั้นลุงก็เล็งปืนไปที่ด้านนอกบ้านปากกระบอกปืนหันเข้าหาโจรนั้นเต็ม ๆ โป้ง !! เสียงปืนดังสนั่น ลุงผมยิงไปหนื่งนัดและแล้วหลังจากที่ควันปืนได้จางหายไป สิ่งที่ลุงได้เห็นกลับเป็นเมียของตัวเองนอนจมอยู่กับกองเลือดหน้าบ้านหลังนั้น กระสุนทะลุเข้าทางด้านท้ายทอยเมียของลุง ไม่มีโอกาสเลยที่เมียของลุงจะพูดหรือแม้แต่จะสั่งเสีย เมียแกสิ้นใจคาอกของลุงที่เข้าไปกอดอย่างไม่น่าให้อภัยตัวเอง ..... ลงผมติดคุกอยู่ 3 เดือน เพราะการสอบสวนทางคดีเหมือนว่าเป็นอุบัติเหตุมากกว่า จึงได้รับการปล่อยตัวไปใน 3 เดือนต่อมา.... ขอบคุณครับที่ทำให้ผมมีโอกาสได้เผยแพร่ความจริงที่น่าจะเป็นอุทาหรณ์เตือนใจใครหลาย ๆ คนได้ครับ</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>เลี้ยงรุ่นสุดสยอง
    <TR><TD width=450 bgColor=#000000>เมื่อตอนป.6(ตอนนี้อยู่ม.1)ที่โรงเรียนเก่า ช่วงงานเลี้ยงรุ่นเวลาประมาณ2ทุ่ม ขณะเข้าแถวจะผูกข้อมือเพื่อนที่อยู่ข้างข้างบอกให้มองขึ้นไปบนชั้น4หน้าห้องป.6/1พอมองแล้วถึงกับหน้าซีดเพราะตรงระเบียงหน้าห้องป.6/1จู่จู่ก้อคนเอาผ้ามาผาดแต่ยังไม่คิดอะไรบอกเพื่อนว่าคงเป็นอาจารย์ แต่เพื่อนบอกว่าเขาปิดประตูตรงบันได2ข้างแล้วเท่านั้นแหละถึงกับช็อกชั่วขณะและเป็นไปไม่ได้ที่ตาจะฝาดเพราะเห็ฯกัน10กว่าคนและจนถึงตอนนี้ก้อไม่รู่ว่ามันคืออะไรกันแน่รู้แต่ว่า ผี ชัวร์แล้วเพื่อนที่เห็นคนหนึ่งบอกว่าตอนเข้าค่าย(เวลารื่นเริงรอบกองไฟ1ทุ่มได้)ก้อเหมือนมีคนยื่นขามานอกระเบียง เขาว่ากันว่าตอนสร้างตึกมีคนงานตายมั่ง ลูกคนงานตายมั่ง(อันนี้ชัวร์ถูกคานหล่นทับตาย) ที่ชัวร์โครตเลยก้อคือ ห้องป.6/4 กับ ป.6/1ที่มีผี (ร.ร.อยู่จ. นนทบุรี ต.บางไผ่ ปัจจุบันก้อยังเปิดสอนอยู่)</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD align=middle width=450 bgColor=#cccccc>หอพักอาถรรพ์<TR><TD width=450 bgColor=#000000>สวัสดีคะเรื่องมันมีอยู่ว่าฉันเรียนจบม.3ที่ร.ร.แห่งหนึ่งฉันก็ได้เรียนต่อที่ชลบุรีแล้วฉันเช่าหอพักนอนอยู่กับเพื่อน 3 คน สภาพของห้องนั้นเมื่อฉันเดินเข้าไปฉันรู้สึกมีกลิ่นอับแต่ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะตอนนั้นฉันเอาแต่ดีใจที่ได้มาอยู่หอพักกับเพื่อนและเป็นวันที่ฉันตื่นเต้นมากและฉันกับเพื่อนก็ไปทำความสะอาดห้องฉันเงยหน้าขึ้นไปเพื่อไปกวาดหยักไย่ฉันเห็นเป็นรอยคล้ายๆกับรอยเชือกเหมือนมีอะไรมาข่วนซักอย่างแต่ฉันก็ไม่ได้คิกอะไรพอทำความสะอาดเสร็จพวกเราก็ไปหาซื้ออะไรมากินกันแล้วพวกเเราก็หลับด้วยความอ่อนเพียรในคืนนั้นฉันฝันเห็นผู้หญิงใส่เสื้อสีแดงทั้งชุดยืนอยู่ที่หน้าต่างห้องจ้องมองพวกเราเหมือนว่าเค้าเกลียดพวกเราแล้วฉันก็สะดุ้งตื่นฉันเก็บความฝันนี้ไม่ได้เล่าให้เพื่อนฟังและเช้ามาพวกเราก็ไปร.ร.และหลังจากเลิดเรียนเพื่อนของฉันก็บอกให้ฉันไปล้างจานที่ค้างไว้ตั้งแต่เมื่อคืนส่วนเพื่อนๆที่เหลือจะไปซื้อกับข้าวมากินพอฉันเิดนกลับถึงหอแล้วฉันไปล้างจานขณะที่ฉันล้างจานฉันได้กลิ่นเหม็นๆเหมือนอะไรตายอยู่แถวนี้แต่ฉันก็คิดว่าคงจะเป็นกลิ่นจานมั๊งอย่าไปคิดไรมากเลยและฉันก็ได้ยินเสียงเหมือนมีใครลากเก้าอี้เดินไปเิดนมาอยู่ด้านหลังฉันฉันก็นึกว่าเพื่อนฉันฉันก็ถามว่าเอ้าทำไมกลับมาเร็วจังแต่ในขณะที่พูดฉันมัวแต่ก้มหน้าล้างจานอยู่ฉันไม่ได้ยินเสียงตอบจากเพื่อนขณะที่หันไปได้หันไปเห็นผู้หญิงชุดแดงเหมือนในฝันเมื่อคืนและฉันก็สลบไปในขณะที่ฉันสลบฉันฝันเห็นผู้หญิงร้องไหอย่างโหยหวยเหมือนว่าเธอกำลังมีความทุกข์อะไรบางอย่างในขณะที่เธอกำลังร้องไห้เธอหันหลังให้ฉันหลังจากนั้นเธอก็ลากเก้าอี้ในมือของเธอนั้นมีเชือกอยู่ด้วยเธอก็ค่อยๆแขวนเชือกตรงบริเวณที่ฉันเคยเห็นเป็นรอยเชือกที่ฉันจะกวาดหยักไย่ฉันจะห้ามเธอแต่ฉันไม่สามารถพูดและขยับตัวได้เลยแล้วตกใจมากและเธอก็แขวนคอตายในที่สุดแล้วตกใจและกรีดจนตื่นขึ้นมาพอฉันตื่นขึ้นมาฉันได้พบกับเพื่อนๆของฉันที่คอยเฝ้ามองฉันอยู่ฉันเล่าให้เพื่อนฟังและเช่าวันต่อมาฉันและเพื่อนได้ไปถามคนแถวนั้นว่าเคยมีใครมาผูกคอตายแถวนี้มั๊ยป้าคนที่ฉันถามก็ตอบว่าเดิมห้องนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งเธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากแต่เธอนั้นเป็นเมียน้อยของผู้ชายคนนึงที่เธอรักมากและในสันหนึ้งก็มีเมียของผู้ชายคนนั้นมาขู่เธอว่าให้เลิกซะไม่งั้นฉันจะฆ่าแกให้ตายอย่างทรมาน และเช้ารุ่งขึ้นทุกคนก็ได้พบว่าเธอผูกคอตายไปแล้วและในทุกๆคืนคนแถวนั้นก็มักจะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้หรือไม่ก้เสียงลากเก้าอี้ไปมา</TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...