เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 14 มิถุนายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ พวกเราก็ได้ทำบุญถวายหลวงปู่สายผู้เป็นบูรพาจารย์ของวัดท่าขนุนไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้พวกเราได้ทำต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ท่านมรณภาพ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ทำกันต่อไป

    เพราะว่าสมัยที่กระผม/อาตมภาพดูแลหลวงปู่มหาอำพัน - ท่านเจ้าคุณพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน อาภรโณ บุญ-หลง) อยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาส ท่านจัดให้มีการถวายสังฆทานให้หลวงปู่เจ้าคุณนรรัตน ธมฺมวิตกฺโก ทุกวันศุกร์ ของเราทำเดือนละครั้ง แต่ของหลวงปู่ท่านทำอาทิตย์ละครั้ง จะมีคนร่วมงานมากมีคนร่วมงานน้อย ท่านไม่ได้ใส่ใจ ท่านถือว่าท่านทำถวายครูบาอาจารย์ที่ท่านเคารพรักมาก

    พวกเราเองก็เช่นกัน ในเมื่อทำมาจนถึงขนาดนี้แล้ว ๓๐ กว่าปีผ่านไป พอถึงเวลาแจ้งญาติโยมว่าพรุ่งนี้ของดบิณฑบาต ๑ วัน ส่วนใหญ่ก็จะถามว่า "วันที่ ๑๔ อีกแล้วหรือ ?" ก็เท่ากับว่าญาติโยมรู้ในสิ่งที่เราทำ เพียงแต่ว่าปลีกตัวมาร่วมกันได้น้อยหรือได้มากนั่นเป็นเรื่องของเขา เราก็ยังคงทำของเราไปตามปกติ

    ระยะนี้ทุกวันศุกร์ กระผม/อาตมภาพต้องเข้าร่วมโครงการเพิ่มทักษะการสอนวิชาปรัชญาเบื้องต้นและวิชาศาสนาเปรียบเทียบ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งเลขาฯ พัฒน์ (พระพัฒน์ ฐิตาจาโร) หรือมหาพัฒน์บอกว่า "ผู้บริหารระดับสูงอย่างหลวงพ่อ คงมีรูปเดียวที่เข้าร่วมโครงการนี้" ซึ่งถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะแบบนี้ ก็แปลว่าบุคคลอื่นน่าจะแบกความประมาทเอาไว้มาก..!

    เนื่องเพราะว่า
    วิชาโลกเรียนเท่าไรก็ไม่รู้จบ เราหยุดอยู่กับที่เท่ากับถอยหลัง จึงต้องศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นก็ตามโลกไม่ทัน แต่คราวนี้การศึกษาหาความรู้ของกระผม/อาตมภาพนั้น วัตถุประสงค์ส่วนใหญ่ก็คือเพื่อเอามาใช้ในการเผยแผ่ธรรมให้ทันยุคทันสมัยบ้าง ไม่ใช่เป็น "ไดโนเสาร์ เต่าพันปี" คุยอะไรมาเด็กรุ่นใหม่บอกว่าไม่รู้เรื่อง

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงต้องมีการเข้าอบรมในลักษณะอย่างนี้เป็นระยะไป ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา นี่เป็นการอบรมครั้งที่ ๓ แล้ว ต้องทำต่อเนื่องกัน ๑๖ อาทิตย์ แล้วหลังจากนั้นค่อยไปเข้ากรรมฐาน ๓ วันเพื่อเป็นการปิดท้ายโครงการ แล้วถึงได้รับวุฒิบัตรผ่านการอบรม
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    จะว่าไปแล้ว บุคคลที่เป็นอาจารย์ในสังกัดของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ควรที่จะกระตือรือร้นเข้ารับการอบรมทุกคน แต่ว่าเท่าที่สังเกตมา แม้กระทั่งทางวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ก็มีกระผม/อาตมภาพที่เข้าอยู่เป็นหลัก ท่านอื่นก็เข้าบ้างไม่เข้าบ้าง ในเมื่อทำคะแนนสะสมได้ไม่ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ เขาก็ไม่ให้วุฒิบัตร อย่างน้อยกระผม/อาตมภาพก็ทำคะแนนได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่เสียชื่อตัวเองที่เคยทำแบบนี้ได้มาตลอด

    คราวนี้ในเรื่องของการศึกษานั้น ในส่วนของพระปริยัติธรรมก็คือการที่เราศึกษาแผนที่ เพื่อที่จะได้รู้คร่าว ๆ ว่าหนทางที่เราจะเดินไปนั้นเป็นอย่างไร ส่วนการที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางที่แท้จริงนั้นต้องลงมือเดิน ก็คือเอาสิ่งที่ศึกษานั้นมาปฏิบัติ แต่ก็มีบุคคลอยู่ส่วนหนึ่งที่ศึกษาแล้วติดตำรามากจนเกินไป จนทำให้กลายเป็นบุคคลเถรตรง เดินไปชนข้างฝาแล้วไปต่อไม่ได้ ไม่รู้ว่าเราเลี่ยงซ้ายนิดขวาหน่อยก็ไปต่อได้แล้ว

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าบุคคลของเรานั้นมีหลายจำพวก บุคคลที่เป็นอุคฆฏิตัญญู ส่วนใหญ่แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโปรดไปพระนิพพานจนจะหมดอยู่แล้ว

    บุคคลที่เป็นวิปจิตัญญู เมื่ออธิบายขยายความแล้วเข้าใจ สามารถที่จะเอาตัวรอดได้ก็เหลือน้อย

    ในปัจจุบันนี้เหลือแค่เนยยะ ที่จะต้องปากเปียกปากแฉะกันเป็นปกติ

    ส่วนบรรดาปทปรมะนั้น ต่อให้เราอธิบายขยายความจนตายกันไปข้างหนึ่ง เขาก็รับประโยชน์อะไรไม่ได้ เพราะว่าฉลาดเกินไป คิดว่าตัวเองเก่งอยู่ฝ่ายเดียว ไม่ยอมรับความคิดของคนอื่น ต่อให้เห็นคนอื่นมีสิ่งที่ดีกว่าก็ไม่เปลี่ยนแนวคิดของตน
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    เหมือนกับสญชัยเวลัฏฐบุตร เมื่ออุปติสสมาณพและโกลิตมาณพ ซึ่งภายหลังก็คือพระสารีบุตรเถระและพระโมคคัลลานเถระ ไปชักชวนอาจารย์ให้ไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านไม่สามารถที่จะละตัวตนลงได้ ถือว่าตนเองเป็นอาจารย์ใหญ่ มีชื่อเสียงมากกว่า ทำไมต้องลดตัวลงไปหาพระสมณโคดมด้วย ?

    ท่านจึงได้กล่าวกับอุปติสสมาณพและโกลิตมาณพว่า "ในโลกนี้บุคคลที่โง่มีมากกว่า หรือว่าบุคคลที่ฉลาดมีมากกว่า ?" อุปติสสมาณพและโกลิตมาณพตอบว่า "เป็นธรรมดาที่บุคคลผู้โง่เขลาย่อมมีมากกว่า" สญชัยเวลัฏฐบุตรจึงได้กล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้นบุคคลที่ฉลาดอย่างท่านก็จงไปหาพระสมณโคดม บุคคลผู้โง่เขลาจะมาหาเราเอง"

    เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสงสาร เพราะว่าโดยศักยภาพของบรรดาคณาจารย์ใหญ่ยุคนั้น ถึงขนาดสามารถตั้งลัทธิของตนเองมาได้ มีลูกศิษย์เป็นหมื่นเป็นแสน ย่อมสามารถที่จะเข้าถึงธรรมได้ง่าย แต่ไม่ยอมละทิฏฐิของตน พูดง่าย ๆ ก็คือใหญ่จนเล็กไม่เป็น จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายต้องสังวรระวังเอาไว้

    กระผม/อาตมภาพที่ออกจากวัดท่าซุงมา ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเหมือนกับมาเฟีย ก็คือพระยุคนั้นมีอยู่ ๔๐ กว่ารูป ถ้าหากว่าบอกซ้ายหันหรือขวาหัน กระผม/อาตมภาพมั่นใจว่ามีที่หันตามมาอย่างน้อย ๓๐ รูป..! ในเมื่ออยู่ในลักษณะอย่างนั้นเราก็ไปต่อไม่ได้แล้ว เพราะเท่ากับว่าไปยืนอยู่ในจุดที่สูงแล้ว

    วิธีเดียวที่จะไปต่อได้ก็คือต้องลงจากจุดนั้นมา เพื่อที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าได้ ดังนั้น..หลายท่านที่ถามว่าทำไมกระผม/อาตมภาพออกจากวัดท่าซุงมา ? ก็ออกมาเพื่อให้ตนเองไปต่อได้ ไม่อย่างนั้นถ้ายินดีและพอใจอยู่แค่นั้น เราจะหาความก้าวหน้าไม่ได้เลย

    ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ที่พระเราต้องออกธุดงค์ ก็เพื่อให้ความแปลกใหม่ของสถานที่นั้น กระตุ้นให้จิตใจของตนตื่นรู้ หรือว่ามีสติระมัดระวัง ถึงจะเป็นการระมัดระวังเพราะกลัวก็ตาม แต่ก็เป็นเครื่องขัดเกลาให้สภาพจิตของเราตื่นอยู่เสมอ

    แบบเดียวกับที่หลายคนพอไปนอนที่อื่นแล้วก็นอนไม่หลับ แล้วใช้คำว่า "ผิดที่ทำให้นอนไม่หลับ" ความจริงนั่นก็คือสภาพจิตของเราที่เกรงอยู่ลึก ๆ ว่าที่นั่นไม่เป็นที่คุ้นเคยของเรา ไม่สามารถที่จะปล่อยวางกำลังใจลงได้อย่างแท้จริง ต้องคอยระมัดระวังเอาไว้ว่า จะมีอันตรายหรือเปล่า ? ก็เลยทำให้นอนไม่หลับ
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    บางสิ่งบางอย่างเราก็ต้องอาศัยสถานที่ช่วย พระในสมัยก่อนจึงต้องเข้าป่าช้า อาศัยความน่ากลัวของสถานที่ กระตุ้นให้ตนเองต้องภาวนา เพราะว่าถ้าไม่ภาวนาไว้ ถึงเวลาผีมาหลอก เราก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร

    การออกธุดงค์ก็เช่นกัน ในเมื่อเจอทั้งสัตว์ร้าย เจอทั้งผี เจอทั้งเทวดาที่มากลั่นแกล้ง เราไม่มีอะไรที่จะสู้ได้ นอกจากขอบารมีพระสงเคราะห์ ป้องกันอันตรายและแผ่เมตตาให้ เมื่อผ่านพ้นอันตรายไปได้หลาย ๆ ครั้ง ความมั่นใจในคุณพระรัตนตรัยของเราจะมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ถึงในระดับที่ว่า มั่นคงต่อพระรัตนตรัยชนิดที่ "ตีก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนี"

    นั่นคือกฎเกณฑ์กติกาข้อแรกของการก้าวเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า ก็คือความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าเราท่านทั้งหลายถ้าหากว่ามีปัญญา เราใช้การตรึกในพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ระลึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า ของพระธรรม ของพระอริยสงฆ์ สภาพจิตของเราก็จะมีความเคารพเชื่อมั่นมากขึ้นไปเรื่อย ๆ

    ถ้าหากว่าปัญญาของเรามาก ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปเข้าป่าหาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ แต่ถ้าปัญญาน้อยก็ต้องให้ผีหรือว่าสัตว์ร้ายช่วยกันขัดเกลา ซึ่งขึ้นอยู่กับพวกเราเองว่าเราเป็นบุคคลประเภทไหน ถ้าหากว่าเป็นพวกเนยยะก็ยังพอที่จะอนุเคราะห์สงเคราะห์ได้ ปากเปียกปากแฉะไปก็ยังไม่เหนื่อยเปล่า แต่ถ้าเป็นปทปรมะ ฟังผ่านหูไม่พอ ยังมีการเถียงอีกต่างหาก ถ้าลักษณะอย่างนั้นโอกาสที่จะเข้าถึงธรรมก็ไม่มี เพราะว่าทำตัวเป็น "น้ำล้นแก้ว" อยู่เสมอ

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...