เรื่องเด่น UN เผย โลกอยู่ในยุคที่ภัยพิบัติเกิดขึ้นทุกสัปดาห์

blob:http://news.ch3thailand.com/a8a575dc-0b70-4bff-acff-973b5537b11c


เกิดพายุฝน และ พายุลูกเห็บ พัดถล่มบริเวณคาบสมุทร Halkidiki (ฮัล-กิ-ดิ-กิ) บริเวณชายฝั่งทางตอนเหนือของกรีซ สร้างความเสียหายทั่วบริเวณ โรงแรม , ร้านค้า และ บ้านเรือนของประชาชน ต้นไม้จำนวนมาก ถูกลมพัดล้มระเนระนาด โดยเฉพาะ บริเวณริมชายหาด ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรม และ รีสอร์ทสุดหรู

รายงานระบุว่า เมื่อวานนี้ มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 7 ราย ในจำนวนนี้ เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 6 ราย มีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 100 คน ส่งผลให้ทางการต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน และ เร่งเข้าไปยังพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยด่วน

เจ้าหน้าที่ออกแถลงว่า ก่อนหน้านี้ประเทศยังเผชิญกับปัญหาคลื่นความร้อน ที่ทำให้อุณหภูมิ สูงถึง 37 องศาเซลเซียส จึงไม่คาดคิดว่าจะเกิดพายุลักษณะนี้มาก่อน อย่างไรก็ตาม ภายหลังเหตุุการณ์เริ่มสงบ นักท่องเที่ยวได้เริ่มกลับมาทำกิจกรรม และ อาบแดด บริเวณริมชายหาดตามปกติ ท่ามกลางซากความเสียหาย กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นที่

ส่วนที่ สหรัฐอเมริกา ที่เมือง นิวออร์ลีนส์ ในรัฐลุยเซียนา กำลังเผชิญกับอุทกภัยครั้งร้ายแรง ตั้งแต่วันพุธ ส่งผลให้มีน้ำท่วมสูง และ ทะลักเข้าท่วมสถานที่ต่าง ๆ ภายในเมือง รวมถึง ถนนหลายสายต้องเป็นอัมตพาต ไม่สามารถสัญจรได้

ล่าสุด ยังคงมีฝนตกบวกกับลมกระโชกแรงในหลายพื้นที่ จนทางด้านศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติ (National Hurricane Center) รายงานว่า พายุโซนร้อน Barry กำลังก่อตัวอยู่นอกชายฝั่งบริเวณอ่าวเม็กซิโก ด้วยความเร็วลม 74 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง และคาดว่า จะเคลื่อนตัวเข้าถล่ม พื้นที่ของรัฐลุยเซียนา และ บางส่วนของรัฐเท็กซัส ภายใน 1-2 วันนี้ ซึ่งจะทำให้หลายพื้นที่ ต้องเผชิญกับฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก อีกระลอก

ขณะนี้ ทางการประกาศเตือนภาวะฉุกเฉินแล้ว แนะนำให้ประชาชนเตรียมรับมือ ด้วยการกักตุนอาหาร, น้ำดื่ม, และสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น อีกทั้ง ยังประกาศอพยพประชาชน ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สูง เนื่องจาก หวั่นที่จะเกิดเหตุการณ์ดินถล่ม รวมไปถึง เฝ้าระวังระดับน้ำในแม่น้ำ มิสซิสซิปปี ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านเมือง หลังจากที่ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และ หวั่นที่จะล้นทะลัก เข้าท่วมหลายพื้นที่ เพิ่มเติม

และถึงแม้ว่า ประชาชนในพื้นที่อื่น ๆ จะไม่ได้รับผลกระทบ จากพายุโดยตรง แต่อาจต้องรับมือกับราคาน้ำมัน ที่อาจจะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจาก บริเวณอ่าวเม็กซิโกที่พายุกำลังก่อตัว เป็นพื้นที่ของแท่นขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่ง ซึ่งได้มีการประกาศอพยพ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหลายราย ออกจากพื้นที่แล้ว

และยังมีอีกหลายพื้นที่ ที่กำลังเผชิญกับภัยพิบัติ อย่างเช่น ที่อิตาลีที่ต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติทั้ง 2 ฝั่งของประเทศ (แคว้นซิซีลี ของอิตาลี ที่เผชิญกับไฟป่า ทางชายฝั่งทะเลเอเดรียติก ได้รับความเสียหายจากพายุฝนและลูกเห็บ)

ส่วนที่มณฑล หูหนาน , เจียงซี และ เขตปกครองตนเอง กว่างซีจ้วง ล่าสุด ต้องประกาศอพยพ ประชาชนกว่า 8 หมื่นคน ออกจากพื้นที่อุทกภัย

ขณะที่ บริเวณเมือง Cox’Bazar (ค็อก บาซาร์) เมืองชายฝั่งของบังกลาเทศ ได้รับความเสียหายจากฝนตกหนัก ในฤดูมรสุม

ซึ่งก่อนหน้านี้ ก็มีเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 7.1 ที่อินโดนิเซีย เมื่อคืนวันอาทิตย์ เช่นเดียวกับที่ แคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐอเมริกา ที่เผชิญแผ่นดินไหว ขนาด 7.1 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น มีความสอดคล้องกับคำเตือนของ องค์การสหประชาชาติ ที่ระบุว่า ปัจจุบัน ทั่วโลกกำลังอยู่ในยุคที่ จะมีภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้น ทุก ๆ สัปดาห์ ซึ่งหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และ ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา จึงเรียกร้องให้นานาชาติ ตื่นตัว และ ร่วมมือกัน ที่จะแก้ไข หรือ ออกมาตรการเพื่อป้องกัน อย่างจริงจัง

เนื้อหาในรายงานยังระบุอีกว่า รัฐบาลในแต่ละประเทศ ควรมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การก่อสร้างอาคารต่าง ๆ ให้มีความแข็งแรง และ มั่นคง ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบ และ ความเสียหายจากภัยพิบัติได้ เพราะการช่วยเหลือ หลังเหตุการณ์ อาจสายเกินไป นอกจากนั้น งบประมาณที่ใช้ในการป้องกันนั้น มีจำนวนน้อยกว่างบประมาณที่ต้องใช้ในการฟื้นฟูอยู่มาก


ขอบคุณที่มา
http://news.ch3thailand.com/abroad/99237