หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ / ปิงคิยานีพราหมณ์ l "อุบาสก ผู้เผยแผ่ธรรมในวัชชี"

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,083
    _paragraph_1_188.jpg
    [ภาพถ่ายอธิษฐานของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ถ่าย ณ วัดท่าผา จ.กาญจนบุรี
    ที่คุณแม่บุญเรือนอธิษฐานไว้ว่า ไม่ว่ารูปนี้จะอัดขยายต่อไปอีกกี่พันกี่หมื่นกี่แสนครั้ง
    ทุกๆ ภาพก็จะมีความศักดิ์สิทธิ์เสมอกับรูปต้นแบบที่ถ่ายไว้ทุกประการ]


    รักษาด้วยวาจาสิทธิ์

    เป็นบันทึกของนายจำรัส สุขประเสริฐ อยู่ จ.อุดรธานี มีใจความว่า “อุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม เดินทางโดยขบวนรถไฟด่วนถึง จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2496 เวลา 07.15 น. ก่อนหน้ารถไฟด่วนจะเทียบเข้าชานสถานีประมาณ 20 นาที ได้มีหมอกลงที่สถานีรถไฟและบริเวณตัวเมืองอุดรธานีหนามืดไปหมด อยู่ห่างกันประมาณ 10 วา ยังแลไม่เห็นกันเลย รถยนต์วิ่งตามถนนต้องเปิดไฟ หมอกหนามืดเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนเลย พอรถไฟถึงสถานีประมาณ 10 นาที หมอกก็ค่อยๆ จากหายไป ชาวอุดรธานีต่างพิศวงงงงวย ต่างโจษจันกันต่างๆ นานา เมื่ออุบาสิกาบุญเรือน ลงรถไฟแล้ว มีผู้คนไปรับเป็นจำนวนมาก

    อุบาสิกาบุญเรือนได้พักที่บ้านผม ค่ำของวันนี้ได้มีผู้มาหาเป็นจำนวนมาก นายครรชิต สกลคลัง พนักงานธนาคารกสิกรไทยได้มาหา และบอกกับอุบาสิกาบุญเรือนว่า ตัวเขาป่วยเป็นโรคปวดท้องมาเป็นเวลานาน เวลานี้ก็ยังปวดอยู่ได้รักษาตัวหมดเงินมากมายแล้ว อุบาสิกาบุญเรือนได้ฟังจึงสั่งในขณะนั้นว่า “อย่าปวด ให้หายปวดเดี๋ยวนี้” แล้วอุบาสิกาบุญเรือนก็ถามนายครรชิตว่า “หายปวดหรือยัง ?” นายครรชิตตอบว่า “หายปวดแล้ว” อุบาสิกาบุญเรือนจึงสั่งว่า “คืนวันนี้อย่าปวด” (เพราะนายครรชิตบอกว่ากลางคืนปวดแทบไม่ได้นอนทุกคืน)

    ครั้นรุ่งเช้า นายครรชิตมาบอกอุบาสิกาบุญเรือนว่า เมื่อคืนนี้ไม่ปวดเลย นอนได้สบายตลอดคืน และในระหว่างที่อุบาสิกาบุญเรือนพักอยู่ที่ จ.อุดรธานี นี้ ตอนเช้าอุบาสิกาบุญเรือนได้ไปอธิษฐานจิต ให้พลังจิตแก่ประชาชนที่วัดโพธิสมภรณ์ทุกวัน มีประชาชนนำน้ำ ปูน ไพล พริกไทย สาคู มาให้อุบาสิกาบุญเรือนอธิษฐานจิตอย่างคับคั่งทุกวัน

    มีคนหลังโกงคนหนึ่ง เวลาเดินต้องใช้ไม้เท้าค้ำได้มาหาอุบาสิกาบุญเรือนขอให้รักษา อุบาสิกาบุญเรือนได้ออกคำสั่งต่อหน้าประชาชนจำนวนมากว่า “ให้ทิ้งไม้เท้า !” ชายหลังโกงคนนั้นก็ขว้างไม้เท้าทิ้ง อุบาสิกาบุญเรือนจึงสั่งต่อไปให้ยืนตรงๆ ชายหลังโกงก็ค่อยๆ ยืดตัวและยืนตัวตรงได้ แล้วอุบาสิกาบุญเรือนก็สั่งให้ออกเดินและวิ่ง ชายคนนั้นก็วิ่งได้ เลยหายเป็นปรกติ เดินกลับบ้านได้เช่นคนดีๆ นับเป็นเรื่องอัศจรรย์”
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,083
    (ต่อ)

    ___185.jpg
    รูปหล่อคุณแม่บุญเรือน ณ ศาลาคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม วัดอาวุธวิกสิตาราม


    นิ่วในถุงน้ำดี

    ม.ร.ว.ไกรเทพ เทวกุล บันทึกไว้ว่า เมื่อปี พ.ศ. 2494 ข้าพเจ้าป่วยมีอาการแน่นจุกเสียดทุกเดือน บางที 2 ถึง 3 เดือนต่อครั้ง ครั้นถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2495 รู้สึกว่าอาการเช่นนี้มีมากขึ้นจนทนแทบไม่ได้ เช่นหายใจไม่ออก ข้าพเจ้าจึงได้ไปปรึกษาแพทย์ปริญญาที่ข้างบ้าน นายแพทย์ผู้นั้นได้ฉีดยาและให้ยารับประทาน อาการก็ค่อยทุเลา ต่อมาจากนั้น 2 ถึง 3 วันก็เป็นอีก นายแพทย์ผู้นั้นแนะนำว่าควรไปเอกซเรย์ดู เพราะสงสัยในอาการนั้นคงเนื่องมาจากถุงน้ำดีอักเสบ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตาม ปรากฏตามฟิล์มเอกซเรย์โดยนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแผนกนี้ ลงความเห็นว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี แนะนำให้ทำการผ่าตัดทันที

    ข้าพเจ้าได้มาปรึกษาคุณป้าบุญเรือนถึงอาการเจ็บป่วย คุณป้าได้เอ็ดข้าพเจ้ามากมายว่า ทำไมไม่มาปรึกษาฉันตั้งแต่แรก ถ้าอยากตายก็เชิญไปผ่าได้ คุณป้าจึงให้ข้าพเจ้ารับประทานไพล และน้ำอธิษฐาน กับทั้งได้ให้ปูนอธิษฐานไปทาตามบริเวณหน้าอกและท้อง เว้นวันสองวัน ท่านก็นวดให้ข้าพเจ้าหนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด อาการก็ค่อยทุเลาและหายภายในเดือนนั้นเอง

    คุณป้าบุญเรือนให้ไปฉายเอกซเรย์ดูใหม่ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตาม กับได้นำฟิล์มทั้งเก่าและใหม่มาเทียบกันดู ปรากฏว่าในแผ่นแรกมีวงกลมสีขาวประมาณเท่าเหรียญสองสลึง ส่วนในแผ่นเอกซเรย์ทีหลังไม่มี นายแพทย์บอกว่าในบริเวณถุงน้ำดีไม่มีก้อนนิ่วแล้ว


    ยาวิเศษ

    พลตรียุทธ สมบูรณ์ บันทึกไว้ว่า บางท่านที่มาทำความรู้จักกับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม มักจะเรียกท่านว่า คุณแม่หมอ คุณยายหมอ หรือคำอื่นๆ ลงท้ายว่า “หมอ” แต่คุณแม่บุญเรือนไม่เคยรับหรืออวดอ้างว่าท่านเป็นหมอแม้แต่ครั้งเดียว อย่างไรก็ดีชื่อเสียงของคุณแม่บุญเรือนก็หอมไปทั่วประเทศไทยในฐานะผู้วิเศษ ก็เพราะท่านอธิษฐานวัตถุสิ่งของต่างๆ ให้เป็นยารักษาโรคได้อย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด

    คุณหมอปรีดา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระประแดง ทำยาผงแก้โรคผิวหนังออกจำหน่ายด้วยตัวยาที่คุณแม่บุญเรือนเป็นผู้บอกให้ ตัวยาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นชื่อภาษาอังกฤษ ไม่ทราบว่าคุณแม่บุญเรือนไปทราบมาได้อย่างไร เพราะการศึกษาของคุณแม่ก็เพียงอ่านออกเขียนได้ นอกจากนั้นคุณหมอปรีดายังได้ตำรายาอีกอย่างหนึ่งคือ น้ำมันโพธิ์งาม ซึ่งคุณหมอปรีดาได้ผสมขาย ผมสีขาวใส่น้ำมันแล้วกลายเป็นสีเทาและเข้มขึ้นทุกที

    ยาขนานที่ 3 คือ ยาสีฟันวิเศษนิยม ของโรงงานวิเศษนิยม ซึ่งเป็นยาสีฟันที่ทำรายได้อย่างดีตลอดมา...ยาสีฟันวิเศษนิยมนี้ “คุณแม่บุญเรือนก็เป็นผู้บอกตัวยาให้”
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,083
    (ต่อ)

    paragraph_142.jpg
    พระเครื่อง “พระพุทโธน้อย”


    การสร้างวัตถุมงคล

    ในวงการผู้นิยมสะสมวัตถุมงคล พระเครื่อง และเครื่องรางของขลัง คนส่วนใหญ่มักจะสนใจประวัติการสร้างวัตถุมงคลของพระเกจิอาจารย์รูปต่างๆ ขณะเดียวกัน ประวัติของฆราวาสจอมขมังเวทย์ก็เป็นที่สนใจอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าพูดถึงการสร้างวัตถุมงคลของอุบาสิกาหรือแม่ชีนั้น คนวงการพระเครื่องบางคนอาจจะรู้จักบ้าง ส่วนคนนอกวงการพระเครื่องอาจจะเกิดคำถามว่า “มีด้วยหรือ ?”

    วัตถุมงคลที่คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อธิษฐานจิตมอบให้ลูกศิษย์ คือ ปฐวีธาตุหรือศิลาน้ำ (หินหรือกรวดใต้น้ำ) เพราะเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ มีสรรพคุณครอบจักรวาล มีอานุภาพกันภัย รักษาโรคภัย ตลอดจนคุ้มครองรักษาผู้มีติดตัวไป ลูกศิษย์มักนิยมนำมาใส่ในภาชนะที่ตั้งน้ำอธิษฐานประจำวันเสาร์ และ ภาพถ่าย ซึ่งเป็นที่แสวงหาของคนวงการพระเครื่องยิ่งนัก นอกจากนี้แล้ว หนังสืออนุสรณ์ในงานบำเพ็ญกุศลฌาปนกิจศพคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ก็เป็นที่แสวงหาเช่นกัน

    ส่วน “พระพุทโธน้อย” เป็นพระเครื่องขนาดเล็กที่ท่านสร้างขึ้นและอธิษฐานจิตให้ไว้แก่วัดอาวุธวิกสิตาราม ตำบลบางพลัดนอก ฝั่งธนบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2496 เป็นพระพิมพ์แบบครึ่งซีก กรอบทรงสามเหลี่ยม ด้านหน้า องค์พระประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย เหนือฐานบัวสองชั้น พระเกศเป็นมุ่นเมาลี พระนาสิกเป็นสันนูน พระเนตรเป็นเม็ดกลมนูน และพระหัตถ์ซ้ายถือหม้อน้ำมนต์ ส่วนด้านหลังมีอักขระขอมจารึกเป็นเส้นลึกอ่านว่า “พุทโธ”

    oeparagraphparagraph__2507_513.jpg
    ภาพถ่ายที่ระลึกงานศพคุณแม่บุญเรือน ณ วัดธาตุทอง พ.ศ. 2507


    การวายชนม์ทิ้งร่าง

    คุณธรรมอันสูงส่งของ “คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม” อุบาสิกาผู้ใจบุญท่านนี้ยิ่งใหญ่ ท่านเป็นผู้เสียสละ ชอบการทำบุญ ให้ทาน ไม่ยึดติดสะสมในทรัพย์สมบัติ มีแต่เป็นผู้ให้ตลอดมา และทั้งชีวิตท่านยังได้บำเพ็ญธรรมอย่างสม่ำเสมอตราบจนวาระสุดท้ายที่ท่านได้ จากโลกนี้ไปอย่างสงบด้วยโรคหัวใจ ไต และโลหิตจาง แม้จะมีลูกศิษย์ต้องการให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อโดยการอธิษฐานขอ แต่ท่านก็ไม่ทำ

    ท่านบอกว่า “สังขาร ร่างกายและใจ หรือขันธ์ห้านี้ไม่ใช่ตัวของเรา มันเป็นเพียงเครื่องอยู่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น เป็นเรือนทุกข์ ท่านจึงต้องการออกจากเรือนทุกข์นี้”

    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ได้วายชนม์ทิ้งร่างไปเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2507 เวลา 11.20 นาฬิกา สิริอายุรวม 70 ปี และได้มีการบำเพ็ญกุศลฌาปนกิจศพ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2507 ณ วัดธาตุทอง แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ คุณแม่บุญเรือน ท่านรู้สถานที่ วันและเวลาวายชนม์ทิ้งร่างไป โดยท่านให้ตั้งเวลานาฬิกาไว้ถึง 2 เรือนล่วงหน้า คือ 11.20 น. !!! (ตรงกับเวลาวายชนม์ทิ้งร่างไปจริงๆ)

    paragraph_560.jpg
    งานทำบุญประจำปีคุณแม่บุญเรือน ณ วัดอาวุธวิกสิตาราม พ.ศ. 2549


    กว่า 40 ปี แห่งความศรัทธา

    ในปัจจุบันมีรูปหล่อของคุณแม่บุญเรือน ตั้งอยู่บนศาลาคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ในบริเวณวัดอาวุธวิกสิตาราม หรือวัดบางพลัดนอก เลขที่ 137 ถนนจรัญสนิทวงศ์ ซอย 72 แขวงและเขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นวัดที่ท่านเคยอยู่บำเพ็ญศีลสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกวันนี้ยังมีผู้คนไปสักการบูชากราบไหว้ขอพรจากรูปปั้นของท่าน อยู่เสมอมิได้ขาด โดยเฉพาะในวันอาทิตย์ เวลาหลังเที่ยง จะมีสานุศิษย์และผู้ศรัทธาของคุณแม่ต่างพร้อมใจไปชุมนุมกัน เพื่อสวดมนต์ต่อหน้ารูปหล่อของท่านที่ศาลาดังกล่าว โดยปฏิบัติติดต่อกันทุกวันอาทิตย์ เป็นเวลาอันยาวนาน ตั้งแต่คุณแม่บุญเรือนถึงแก่กรรม ซึ่งนับได้ประมาณ 40 กว่าปีมาแล้ว

    หลังจากการสวดมนต์ นั่งสมาธิแล้ว สานุศิษย์และผู้ศรัทธาจะขอรับเอาสิ่งของต่างๆ ที่นำมาสักการบูชา เช่น ผลไม้ น้ำตาลทราย เกลือ พริกไทย สาคู และปูนสีแดง ที่ใช้ทาใบพลูสำหรับรับประทาน โดยอธิษฐานขอให้สิ่งของต่างๆ เหล่านี้ให้เป็นยาแก้โรคต่างๆ ซึ่งก็แปลกที่หลายคนหายขาดโรคภัยที่เป็นอยู่อย่างน่ามหัศจรรย์

    นอกจากนี้บางคนยังเอาไพลทุกชนิดไปถวายต่อหน้ารูปปั้นของคุณแม่บุญเรือน แล้วจุดธูปเทียนกราบไหว้บูชาท่าน อธิษฐานจิตขอให้ท่านดลบันดาลให้ไพลเป็นยารักษาโรค แล้วนำไพลนั้นมาทารักษาโรค ก็หายได้เช่นกัน คุณแม่บุญเรือนเป็นผู้ที่มีพลังจิตสูง มีชื่อเสียงโด่งดังจากการใช้พลังจิตในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้คนทั่วไป รวมทั้งการนวดจับเส้น การใช้พลังจิตของคุณแม่บุญเรือนนั้น ท่านเรียกว่าเป็นการ “อธิษฐานจิต” คือ ท่านจะเข้าสมาธิให้จิตนิ่งเสียก่อน จากนั้นท่านจะอธิษฐานจิตขอให้เป็นไปตามที่ท่านปรารถนา แม้ว่าท่านจะจากไปนานแล้ว แต่คุณงามความดีและชื่อเสียงในทางธรรมที่ท่านเพียรสร้างไว้ขณะยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีผู้กล่าวถึงอยู่ตลอดไป
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,083
    (ต่อ)

    paragraph__705.jpg
    พระเทพปัญญามุนี (ทองดี ฐิตายุโก)


    พระเทพปัญญามุนี (ทองดี ฐิตายุโก) เจ้าอาวาสวัดอาวุธวิกสิตาราม (พระอารามหลวง) กล่าวว่า “ตั้งแต่คุณแม่บุญเรือนเสียชีวิตลง มีลูกศิษย์และคนที่มีจิตศรัทธาเพิ่มจำนวนมากขึ้น มากราบไหว้และสวดมนต์ต่อหน้ารูปหล่อของท่านเป็นประจำทุกวัน เหมือนกับตอนที่คุณแม่บุญเรือนยังมีชีวิตอยู่ โดยที่วันอาทิตย์จะมีมากกว่าทุกวัน เพราะเป็นวันที่ร่วมกันสวดมนต์”

    เจ้าอาวาสวัดอาวุธวิกสิตาราม ยังกล่าวอีกว่า “ในวันอาทิตย์แรกของเดือนกันยายนทุกปี เหล่าลูกศิษย์ของคุณแม่บุญเรือนจะมาสวดมนต์และทำบุญประจำปี เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันวายชนม์ของท่าน คุณแม่บุญเรือนมีความปราถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้วัดอาวุธฯ เป็นวัดที่มีคนรู้จักคนทั่วไป จึงได้อธิษฐานจิตขอพรให้สมดั่งปรารถนา และมีส่วนช่วยในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดอาวุธฯ ให้สวยงามและมีชื่อเสียงอย่างในทุกวันนี้”



    .............................................................

    b44.gif รวบรวมและเรียบเรียงมาจาก ::
    (๑) นิตยสารหญิงไทย เรื่องโดย สายทิพย์
    (๒) หนังสือพิมพ์คม ชัก ลึก - 2006/11/20
    เรื่องโดย พิสิษฐ์ จันทร์ศรี
    (๓) http://www.phuttawong.net/
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,083
    (ต่อ)
    _paragraph_11_153.jpg

    เกร็ดประวัติคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม

    จากหนังสือคนเหนือโลก
    โดย อนามิส พ.ศ. ๒๕๑๙

    ใกล้สะพานกรุงธน มีศาลาหลังหนึ่งสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของ อุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม อันที่จริงน่าจะกล่าวว่าสร้างให้เป็นที่สถิตแห่งดวงวิญญาณของท่านผู้กล่าวนามมามากว่า เพราะปัจจุบันท่านหาชีวิตไม่แล้ว ตัวศาลาที่สร้างภายหลังท่านถึงแก่กรรมแล้ว ใช้ที่ส่วนหนึ่งของวัดอาวุธวิกสิตาราม บางพลัด ธนบุรี ตัวศาลาใหญ่โตพอจะใช้เป็นที่ประชุม สวดมนต์ ทำบุญถวายทานสำหรับบุคคลคราวละนับร้อยๆ ท่าน

    อุบาสิกาบุญเรือน เคยบวชเป็นชี ภายหลังท่านชอบแต่งกายตามสบายแต่ยังโกนศีรษะ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ท่านมีลูกศิษย์เรียนธรรมะด้วยกันมาก ท่านนายพลดำเนิน เลขะกุล ผู้มีชื่อเสียงก็เป็นผู้หนึ่งที่เคารพนับถือท่าน คุณดำเนินมีประสบการณ์เกี่ยวกับอุบาสิกาบุญเรือน เชื่อว่าท่านสามารถอ่านใจคนได้ เพราะเคยไปหาครั้งแรกในยามมีทุกข์ใจ ได้รับคำแนะนำทันทีโดยที่อุบาสิกาบุญเรือนไม่ได้ไต่ถามอะไรเลยว่า “คนจะเป็นสุขได้ก็ต่อเมื่อใจสงบ”

    ศิษย์ของอุบาสิกาบุญเรือน ยังคงมีการประชุมสวดมนต์ตามแบบที่ได้รับคำแนะนำสั่งสอน ที่ศาลาทุกวันอาทิตย์ ผู้ที่เคารพนับถือมักเรียกท่านว่า “คุณแม่” เป็นส่วนมาก ป้ายสวยงามติดไว้เป็นระยะนำไปสู่ศาลา ก็เขียนว่า ศาลาคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ทุกปีที่ศาลานี้จะมีการทำบุญใหญ่ ค่าใช้จ่ายแต่ละคราวกว่าสองหมื่นบาท

    สมัยคุณแม่บุญเรือนยังไม่สละร่างมนุษย์ (ตามคำของศิษย์ ไม่ประสงค์จะเรียกการจากไปของท่านว่า ถึงแก่กรรม) มีผู้สร้างศาลาให้คุณแม่บุญเรือนใช้เป็นที่อาศัยและที่อบรมสั่งสอนหลายแห่ง เช่นที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ บางขุนพรหม, ที่ภายในบริเวณบ้านของครูเก่า คุณหลวงแจ่มวิชาสอน มหาเศรษฐีเจ้าของยาสีฟันวิเศษนิยม, ที่พระโขนง และที่บ้านนาซา ปากน้ำประแสร์ จังหวัดระยอง

    คุณแม่บุญเรือน เรียกคณะของท่านว่า สามัคคีวิสุทธิ ท่านไม่ยอมรับตำแหน่งเป็นครูอาจารย์ของใคร ผู้ที่ไปเรียนธรรมะด้วย ท่านขอให้ถือเป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งเป็นอาจารย์สอนธรรมะของท่าน

    _paragraph_8_293.jpg

    คุณหลวงแจ่มวิชาสอน กล่าวถึงคุณแม่บุญเรือนว่า “เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสำเร็จในอิทธิฤทธิ์บางอย่าง” ท่านเรียกคุณแม่บุญเรือนว่า “แม่หมอ” และได้บันทึกเหตุการณ์ที่ได้พบเห็นด้วยตนเองไว้ ดังนี้

    เมื่อเดือนมีนาคม ๘๙ คุณพี่ปลื้ม วิจิตรภัตราภรณ์ เจ้าของห้างวิวิธภูษาคาร ได้ชวนข้าพเจ้าและแม่หมอบุญเรือนไปดูสวนส้มที่จังหวัดจันทบุรีโดยรถยนต์ สวนอยู่ห่างตัวจังหวัดสิบสองกิโลเมตร ตอนกลับจากสวนขณะที่รถกำลังติดไฟ แม่หมอบุญเรือนออกเดินไปก่อน ข้าพเจ้าออกเดินตามไปภายหลังห่างกันประมาณหนึ่งเส้น ข้าพเจ้าเดินมาถึงที่เลี้ยวก็มองไม่เห็นตัวแม่บุญเรือนแล้ว เร่งฝีเท้าเดินตามไปอีกสองสามเลี้ยวก็มองไม่เห็น

    ข้าพเจ้าก็เลยหยุดคอยรถเพราะรู้สึกเมื่อย สักครู่หนึ่งรถก็ตามมาทัน ข้าพเจ้าจึงกลับขึ้นรถ ประมาณเวลานับแต่ออกเดินจนรถมาทันนั้นราวสิบห้านาที เมื่อขึ้นรถแล้ว รถแล่นมาอย่างเร็วเพราะเป็นทางลงจากเขา รถแล่นมาเป็นหลายเลี้ยวจนถึงศาลาพักร้อน ซึ่งอยู่กึ่งกลางทางระหว่างจังหวัดกับสวน ก็ไม่เห็นแม่หมอบุญเรือนคอยอยู่

    รถหยุดที่ศาลา เติมน้ำหน้าหม้ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นแล่นย่อไปจนพ้นเขตเขาทุ่งก็ยังไม่พบแม่หมอบุญเรือน ผู้อยู่ในรถต่างรู้สึกเอะใจ เพราะตามปกติธรรมดาคนเราจะเดินเร็วเช่นนี้ไม่ได้ รถคงจะแล่นผ่านมาเสียแล้ว ขณะที่พวกเราคิดจะให้รถหยุดรอ ก็พอดีเห็นแม่หมอบุญเรือนเดินเนิบๆ อยู่ข้างหน้า เมื่อขึ้นมาบนรถ สังเกตดูไม่เห็นกิริยาแสดงว่าเหน็ดเหนื่อยหรืออิดโรย

    การที่คุณแม่บุญเรือนเดินไกลถึงแปดกิโลเมตร ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงแถมไม่เหน็ดเหนื่อยเสียด้วย คุณว่าเป็นเพราะอะไร ?
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,083
    (ต่อ)
    การที่คุณแม่บุญเรือนเดินไกลถึงแปดกิโลเมตร ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงแถมไม่เหน็ดเหนื่อยเสียด้วย คุณว่าเป็นเพราะอะไร ?

    กิตติศัพท์เรื่องคุณแม่บุญเรือนมีฤทธิ์ย่นระยะทางเดินได้ พวกศิษย์รู้กันดี แต่สำหรับผู้ไม่เคยเห็นด้วยตาตนเองได้พยายามทดสอบอย่างเงียบๆ กันเสมอ คุณเลื่อน ประสานอักษรพรรณ เป็นผู้หนึ่งที่กระทำดังกล่าว

    วันหนึ่ง คุณแม่บุญเรือนไปแวะที่บ้านคุณเลื่อน ตรงสี่แยกอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ วันนั้นคุณแม่บุญเรือนตั้งปณิธานว่าจะเดิน ไม่ขึ้นรถ ตั้งแต่ออกจากบ้านที่พระโขนง ในตอนจะลาจากคุณเลื่อนไปยังสถานที่ต่อไป คือบ้านคุณเขียม วรรณยิ่ง ตรอกสารพัดช่าง บางขุนพรหม คุณแม่บุญเรือนก็เดินอีก คุณเลื่อนพอรู้ว่าคุณแม่บุญเรือนกำลังจะเดิน ก็รีบติดตามไปทันทีโดยไม่ให้รู้ตัว

    “ครั้งแรกที่ตามออกมายังไม่เห็น” คุณเลื่อนเล่า “จึงได้แวะเข้าไปในบ้านจ่านายสิบสุข ซึ่งอยู่ใกล้ สามารถมองถนนได้ถนัด ถามจ่านายสิบสุขได้ความว่า แม่หมอบุญเรือนกำลังเดินไปทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พร้อมกับชี้บอก ดิฉันมองตามมือเขาชี้ แลเห็นแม่หมอบุญเรือนกำลังเดินข้ามถนนลานอนุสาวรีย์ฯ บ่ายหน้าไปทางเสนารักษ์ พญาไท ตอนที่จะเข้าสู่ถนนตรงไปทางเสนารักษ์ พญาไทนั่นเอง แม่หมอบุญเรือนเหลียวหน้ามาทางดิฉัน แล้วทำท่าเหมือนกับจะรีบวิ่งหนีรถ หายไปตรงนั้นเอง”

    ตอนนี้คุณเลื่อนเข้าใจว่า ถนนทางนั้นมีทางเลี้ยวจึงไม่ได้ติดตามไปดูต่อ คงหยุดคุยกับจ่านายสิบสุขเสียครู่หนึ่ง ภายหลังได้เดินออกไปตรวจสถานที่ ปรากฏว่าตรงที่คุณแม่บุญเรือนหายวับไปกับตานั้น หาได้มีทางเลี้ยวแต่อย่างใดไม่ ผู้คนที่เดินอยู่จะไม่มีโอกาสลับสายตาจากผู้ที่จ้องดูไปได้เป็นอันขาด คุณเลื่อนได้สอบถามผู้ที่อยู่ด้วยกันว่าเห็นอย่างเดียวกับตนหรือไม่ ผู้ที่อยู่กับคุณเลื่อนตอบว่า เห็นหายไปทางต้นสน

    “ความจริงหากมีใครเดินเลยต้นสนไป เราก็ยังจะสามารถมองเห็นเขาได้ต่อไปอีก แต่แม่หมอบุญเรือนหายวับไปเลย !”

    ขณะที่ฝ่ายติดตามดูพฤติการณ์มีสี่นัยน์ตาด้วยกันจ้องจับอยู่นั้น เห็นเวลากลางวันแสกๆ ราวสักสิบสี่นาฬิกาเศษๆ แดดเปรี้ยงมิได้มีเมฆหมอกมืดแม้แต่น้อย

    คุณเลื่อนได้สอบถามเวลาที่คุณแม่เรือนไปถึงที่หมายปลายทางจากคุณเขียน ได้เวลาแน่นอนว่าคุณแม่บุญเรือนใช้เวลาเดินจากสี่แยกชัยสมรภูมิ ผ่านวงเวียนพญาไท สวนจิตรลดา ออกสี่เสา ไปถึงบางขุนพรหม ระยะทางนับสิบกิโลเมตรด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาที่

    เร็วยิ่งกว่ารถประจำทางวิ่งเสียอีก

    _paragraph_2_234.jpg

    ผมเชื่อว่าคุณผู้อ่านคงจะเคยได้ยินกิตติศัพท์หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด สามารถเดินบนน้ำได้มาแล้ว คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เคยไปแสดงอภินิหารเดินบนน้ำที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นที่อัศจรรย์ ไม่มีใครเห็นตอนที่ท่านกำลังเดินหรอกครับ แต่เหตุการณ์จะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากท่านต้องเดินไปบนผิวน้ำ
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,083
    (ต่อ)

    เรื่องของเรื่องมีว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๑ คุณแม่บุญเรือน ได้ขึ้นไปพักอยู่ที่บ้านคุณนายลิ้นจี่ ฤษาภิรมณ์ วัดเจดีย์หลวง หน้าบ้านคุณนายลิ้นจี่มีหนองน้ำ ห่างจากตลิ่งราวสองวา มีกอหญ้าแห้งลอยอยู่ คุณแม่บุญเรือนไปจับเต่ามาจากกอหญ้า และเอาเปลือกมะพร้าวไปวางไว้แทนอย่างเรียบร้อย

    “ดิฉันเอาไม้ลองพาดดูก็ไม่ถึงกอหญ้า” คุณนายลิ้นจี่บอก “น้ำก็ยังกระเพื่อมอยู่ ได้พิจารณาดูตามเท้าและร่างกายคุณบุญเรือน ไม่เห็นมีเปียกมีเปื้อนที่ตรงไหน น้ำตอนนั้นลึก ถ้าจะลุยไปอย่างน้อยจะต้องเปียกขึ้นมาถึงเอวเชียวค่ะ”

    “สังเกตดูที่กอหญ้า เห็นเหมือนกับรอยเท้าสองข้างเหยียบกอหญ้านั้น กอหญ้าแห้งนี้สมมุติว่าคนจะไปยืนก็คงไม่ได้ เพราะหญ้าฟูลอยน้ำขึ้นมา ขนาดกอไม่ใหญ่พอจะทานน้ำหนักเด็กๆ ได้ เพียงแต่เอาก้อนอิฐขว้างไป หญ้าก็แยกกระจาย” คุณนายแดง ชัวย่งเสง คหบดีชาวเชียงใหม่ที่อยู่ในที่เดียวกัน อธิบายเพิ่มเติม

    ถ้าจะคิดว่าอภินิหารเรื่องเดินบนน้ำยังเลือนลางไม่กระจ่างนัก ลองดูเรื่องฝนกับคุณแม่บุญเรือนกันหน่อยก็ยังได้

    คุณนายบ๊วย ศิวพฤกษ์ บ้านเลขที่ ๒๕๓ ถนนดำรงรักษ์ ป้อมปราบ ป่วยมานาน เพื่อนผู้หนึ่งแนะนำให้มาหาคุณแม่บุญเรือนช่วยรักษาจนหาย คุณนายบ๊วยรู้สึกเป็นพระคุณ จึงถือโอกาสพาคุณแม่บุญเรือนไปพักผ่อนทัศนาจรภาคใต้

    คุณนายบ๊วยเล่าถึงคุณแม่บุญเรือนเอาไว้ตอนหนึ่งดังนี้

    “พวกเราเดินทางต่อไปชุมพรโดยรถไฟถึงสถานีชุมพรเวลาสองทุ่ม นางสาวปราณีและคุณสุดใจเพื่อนของบุตรสาวดิฉันได้มารับที่สถานี คุณปราณีบอกให้ดูเสื้อผ้ากล่าวว่า

    “ดิฉันวิ่งมารับ ฝนตกถนนลื่นไปหมด จนหกล้มผ้าซิ่นเปื้อนไปแถบหนึ่ง”

    พวกเราช่วยกันลำเลียงของลงจากรถไฟ คุณแม่บุญเรือนสะพายกระเป๋าใบหนึ่ง กับหิ้วกระเป๋าเสื่อบรรจุศิลากรวดกับหนังสือแดนมธุรสและใบตั้ง (เสก) น้ำอีกใบหนึ่ง ขบวนของเราออกเดินทางไปทางหลังสถานี โดยมีคุณสุดใจเป็นผู้นำทาง ดิฉันเดินตามหลังคุณแม่บุญเรือนไปติดๆ เพราะมืดมาก คุณสุดใจจะช่วยถือกระเป๋าเสื่อให้คุณแม่บุณเรือน แต่ท่านไม่ยอม บอกให้คุณสุดใจเดินนำไปที่รถ

    ทางเดินตอนนั้นทั้งมืดทั้งแฉะ เลอะเทอะ คุณสุดใจเห็นว่าคุณแม่บุญเรือนมีอายุทั้งหิ้วของหนัก ส่งมือมาจะช่วยจูง คุณแม่ก็ปฏิเสธไม่ต้องจูงอีก พวกเราเดินไปถึงรถ ศูนย์ที่คุณปราณี คุณสุดใจจัดมาคอยรับ พอขึ้นนั่งรถเรียบร้อยแล้ว คุณแม่บุญเรือนถามว่า ใครเท้าเปื้อนบ้าง ทุกคนบอกว่าเปื้อนทั้งนั้น ของดิฉันไม่เปื้อนแต่ไม่บอกใคร

    พอถึงบ้านใครๆ ก็เขาห้องน้ำล้างเท้ากัน แต่คุณแม่บุญเรือนกับดิฉันขึ้นบนบ้านเลยทีเดียว พอถึงบนเรือนมีแสงไฟเห็นชัด ดิฉันเห็นว่าดิฉันมีโคลนเปื้อนเล็กน้อย จึงกลับลงมาล้างเท้าใหม่ พบกับคุณลำไยซึ่งมีหน้าที่ในการปฏิบัติคุณแม่บุญเรือนในการเดินทางคราวนี้ กำลังจะยกรองเท้าคุณแม่บุญเรือนนำไปล้าง เขาร้องว่า รองเท้าคุณแม่ไม่เปื้อน ดิฉันตรวจดูรองเท้าที่คุณลำไยยกให้ดู ปรากฏว่าไม่เปื้อนจริงๆ เหมือนกับว่าท่านสวมเดินมาบนถนนแห้งๆ การที่ดิฉันไม่พลอยเปื้อนเหมือนกับคนอื่น เห็นจะเพราะเดินตามคุณแม่มาติดๆ เลยพลอยได้พึ่งบารมี ไม่เปื้อนเปรอะเหมือนคนอื่น”
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,083
    (ต่อ)

    _paragraph_10_831.jpg

    คราวนี้ถึงเรื่องฝนตกไม่เปียก

    คุณนวม ลิมพานิชการ เล่าด้วยความประหลาดใจว่า เพียงแต่ดิฉันนึกถึงคุณหมอบุญเรือนแล้วบูชาพระ ไม่ต้องออกปากเชิญ คุณหมอก็มาหาดิฉันเอง เป็นอย่างนี้ถึงสามครั้ง ครั้งหนึ่งคุณหมอได้ไปหาในเวลาฝนตกมาก คุณหมอจะกลับทั้งๆ ที่ฝนยังตกหนักอยู่ ดิฉันค้านก็ไม่ฟัง จึงต้องออกไปส่งที่ประตู ฝนตกหนักมาก มองดูตัวคุณหมอก็ไม่เห็นเปียก ตอนนั้นดิฉันก็ยังสงสัยอยู่ เพราะมองดูห่างไกล ไม่ค่อยจะเชื่อนัยน์ตาดิฉันแน่นัก

    มาเมื่อแต่งงานหลานสาวดิฉันที่บ้านคุณควง อภัยวงศ์ เมื่อออกจากบ้านพี่สาว ดิฉันจะให้พ่อหนุ่มๆ ยกขันน้ำมนต์ไป คุณหมอบุญเรือนไม่ยอมให้ยก ท่านยกขันน้ำมนต์นั่งมาบนรถยนต์เอง ขันใหญ่มาก มีน้ำมนต์ค่อนขันขึ้นมาเกือบเต็ม คุณหมอยกตั้งแต่บ้านข้างวังกรมพระนครสวรรค์ (วังบางขุนพรหม) ไปจนถึงบ้านคุณควง อภัยวงศ์ ข้างสนามกีฬา น้ำไม่ได้กระฉอกหกเลยแม้แต่น้อย ท่านประคองขันชูมาตลอดเวลาไม่ได้วางบนตักเลย

    เมื่อไปถึงบ้านคุณควง รดน้ำบ่าวสาวแล้วกลับมาขึ้นรถยนต์ จอดนอกบ้านไกลประมาณสองเส้น ฝนตกเม็ดใหญ่ๆ คุณหมอบุญเรือนก็ออกไปตามรถเองโดยไม่มีร่มกาง กลับเข้ามาก็เดินมาอีก คราวนี้ดิฉันได้พิสูจน์ตามร่างกายคุณหมอ ไม่มีเปียกฝนเลย !”

    เรื่องฝนตกไม่เปียกร่างกายคุณเเม่บุญเรือน โตงบุญเติมนี้ เป็นไปหลายครั้งหลายหน ในขณะที่คนอื่นเปียกฝนกัน คุณแม่บุญเรือนร่างกายค่อนข้างร้อนผะผ่าว เสื้อผ้าแห้งสนิททีเดียว

    คราวแต่งงานรดน้ำบ่าวสาวที่บ้านคุณควง อดีตนายกฯ ผู้น่ารักท่านนั้น มีนายทหารอากาศผู้หนึ่งท้าพนันเมื่อสังเกตดินฟ้าอากาศแล้วว่า “วันนั้นจะไม่ตก” คุณแม่บุญเรือนทำนายว่า “เวลารดน้ำ ฝนจะตก”

    ไม่จำเป็นต้องบอก ก็คงทราบได้ว่าคุณแม่บุญเรือนชนะ

    ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของนางธำรุโกศา (แปลก ปานคำ) ผู้ไปช่วยจับสายสิญจน์ หล่อพระพุทธรูปพระพุทโธใหญ่ ที่วัดสัมพันธวงศ์

    “พอถูกใช้ให้จับสายสิญจน์ ดิฉันใช้ไม้ก้านร่มพันม้วนเป็นแกนสายสิญจน์เลย คุณนายบุญเรือนพูดว่า ทีนี้โปร่งละ พอจับสายสิญจน์สักประเดี๋ยวก็มีฝนตกลงมามาก พายุซัดฝนสาดมาเปียกดิฉัน คุณนายบุญเรือนออกมาเห็นเข้าก็บอกดิฉันให้กระเถิบหนีฝนเข้ามาข้างใน แต่ดิฉันไม่ยอมลุกหนีฝน คุณนายบุญเรือนจึงพูดว่า “ฝนอย่ามาเปียกแม่แปลกชี ! เขาจะจับสายสิญจน์ ไป ! ไป ! ไป !” พอว่าเท่านั้นลมพัดฝนไปทางอื่นไม่สาดดิฉัน และฝนก็เลยหายไป

    ข้อความการบอกกล่าวของนางธำรุโกศา ได้พิมพ์ไว้ในประวัติพระพุทโธใหญ่ ซึ่งเมื่อสร้างสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วัดสารนารถธรรมาราม จังหวัดระยอง

    ผมมีโอกาสไปชมความงามของพระพุทธรูปที่ถวายนามว่า พระพุทโธใหญ่ มาแล้ว สวยงามมากครับ อยู่ในโบสถ์รูปร่างแปลก ที่มุมโบสถ์จำลองพุทธเจดีย์จากอินเดียมาก่อสร้างไว้ ภายในโบสถ์หลังใหญ่ปูด้วยหินอ่อน อากาศเย็นเฉียบทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้เครื่องปรับอากาศ

    วัดสารนารถฯ เป็นวัดที่กำลังพัฒนา มีเนื้อที่กว้างขวาง นอกจากโบสถ์ที่น่าชมยังมีศาลารูปร่างแปลก ความจริงก็ก่ออิฐถือปูน แต่ทำให้ดูเหมือนกับใช้ซุงมาผ่าซีกทำบันได ฝาก็ทำเหมือนกับใช้ซุงผ่าประดับเหมือนกัน ขนาดของศาลาใหญ่โตมโหฬารทีเดียว

    คุณสุจริต ถาวรสุข ผู้เขียนประวัติของคุณแม่บุญเรือน เล่าถึงตนเองกับคุณแม่บุญเรือนว่า

    “ข้าพเจ้าได้ไปกราบทำความเคารพท่าน ท่านได้ถามถึงความประสงค์ที่มาหา ข้าพเจ้าก็เลยเล่าถึงความอยากมีโชคดีในการสอบเป็นผู้พิพากษาบ้าง (ข้าพเจ้าได้ผิดหวังในการสอบคัดเลือกเป็นผู้พิพากษาในตอนราวกลางปีนั้น) คุณแม่บุญเรือนบอกว่า เมื่อตั้งใจจริง ใฝ่การกุศลก็ต้องสอบได้ และบอกว่าคราวต่อไปก็สอบได้แล้วละ คำพูดประโยคนั้นซาบซึ้งความรู้สึกของข้าพเจ้าเป็นอันมาก ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านอธิษฐานให้หรืออวยพรให้ หรือท่านมีญาณทราบโดยทางใดหรือไม่อย่างไร เพราะปรากฏว่าในระยะต่อมาอีกไม่เกินหกเดือน นับแต่หลังสอบคราวก่อนนั้น ข้าพเจ้าก็สอบเป็นผู้พิพากษาสำเร็จ ได้คะแนนอันดับดีเป็นที่สอง”
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,083
    (ต่อ)

    _paragraph_189.jpg

    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม บำเพ็ญเพียรฝึกใจในพระพุทธศาสนา จนบรรลุจตุตถฌานและอภิญญาหก สำเร็จครั้งแรกตั้งแต่บวชเป็นแม่ชีที่วัดสัมพันธวงศ์

    ท่านผู้พิพากษาสุจริต ถาวรสุข บันทึกไว้ว่า

    “ได้ผลเป็นอิทธิฤทธิ์อันเกิดจากการอธิษฐานเป็นครั้งแรก เมื่อราววันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ. ๒๔๗๐ ในวันนั้นคุณแม่บุญเรือนได้กลับไปอยู่ที่บ้านพัก สถานีตำรวจสัมพันธวงศ์ คืนนั้นเข้านอนไม่หลับจนดึก สามีแลบุตรบุญธรรมหลับ มีอาการกัดฟันและกรน รู้สึกเกิดธรรมสังเวชนึกเบื่อ จึงตั้งจิตอธิษฐานเข้าไปในศาลา รู้สึกว่าพอสิ้นคำอธิษฐาน ตัวคุณแม่บุญเรือนก็ไปปรากฏในศาลาดังคำอธิษฐาน ทั้งนี้โดยตัวท่านเองไม่ทราบว่าได้ออกจากห้องทางไหน และเข้าไปในศาลาทางไหน

    ในครั้งนั้นเพื่อนแม่ชีไม่สู้เชื่อนัก จนต่อมาอุบาสิกาฟักขอให้อธิษฐานใหม่ และให้นางเล็ก, นางคำ, นางเทียม ซึ่งดูเหมือนเป็นเพื่อนแม่ชีดูเป็นพยาน ได้ใส่กลอนประตูหน้าต่างศาลาเสียในคืนแรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ เวลาดึกสงัดปีเดียวกันนั้นเอง คุณแม่บุญเรือนก็ได้อธิษฐานจากสถานีตำรวจสัมพันธวงศ์เข้าไปในศาลาได้เช่นคราวก่อน พวกที่คอยดูก็แปลกใจไปตามๆ กัน

    จนต่อมาคุณแม่บุญเรือนได้อธิษฐานไปเขาวงพระจันทร์ พบพระผู้วิเศษ ขอพระธาตุท่าน ท่านก็ให้มาหนึ่งองค์ และได้กลับมาตามคำอธิษฐานพร้อมด้วยพระธาตุ การสามารถทำปาฏิหาริย์ดังกล่าวที่ปรากฏขึ้นได้เป็นผลสำเร็จเป็นครั้งแรก ทำให้ท่านอธิษฐานเมื่อเข้าสมาธิผ่านที่ปิดล้อม หรือไปที่ใดไกลๆ ได้ในชั่วระยะเวลาลัดมือเดียวในเวลาต่อมา ขณะได้ฌานวิเศษนั้นท่านอายุประมาณสามสิบสามปี”


    >>>>> จบ >>>>>
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,083
    paragraph_10_133.jpg

    เกร็ดประวัติคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม

    จากประวัติของหลวงตาไสว สิวญาโณ
    ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคุณแม่บุญเรือนและท่านพุทธทาส

    สู่ทางธรรม

    แม่แดง-ครูคนแรก

    “แม่แดง” คนนี้อยู่บ้านใกล้กับอาตมาที่จังหวัดเชียงใหม่ แกเป็นคนดี ธัมมะ ธัมโม และที่บ้านแม่แดงมักมีแม่ชีมาสอนด้วย ตัวแม่แดงเองก็สอนธรรมะพื้นๆ ได้เก่ง เช่น สอนว่าวิธีที่จะไม่โกรธแม่ยายจะทำยังไง ? จะต้องมีขันติ-อดทน เป็นต้น พออาตมากลับมาบ้านที่ลำปาง ก็เอาข้อธรรมที่แม่แดงสอนนั้นมาเขียนติดไว้ในบ้าน ตามประตู หน้าต่างเต็มไปหมด แต่แล้วขันติก็แตก ทนไม่ได้ อาตมาก็โกรธแม่ยายอีก จึงกลับไปเชียงใหม่เพื่อไปหาแม่แดงอีก แต่แม่แดงไม่อยู่ คนที่บ้านบอกว่า “แม่แดงไม่อยู่ ไปกับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม (อุบาสิกาที่มีคนนับถือมากในขณะนั้น) ไปที่วัดเจดีย์หลวง” อาตมาจึงตามไป

    คุณแม่บุญเรือน

    คุณแม่บุญเรือนปกติอยู่กรุงเทพฯ แต่มีคนเชิญท่านมาที่เชียงใหม่ ตอนอาตมาได้พบคุณแม่บุญเรือนที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่นั้น ประมาณปี พ.ศ.๒๔๙๑ ขณะนั้นอาตมามีอายุราว ๔๔ ปี อาตมาได้เห็นการปฏิบัติของคุณแม่บุญเรือนแล้ว รู้สึกว่าท่านมีฤทธิ์ คือรู้ใจคน ทั้งสามารถแสดงปาฏิหาริย์ทำให้คนเดินกลางฝนได้โดยไม่เปียก หนังสือพิมพ์สมัยนั้นลงข่าวเกรียวกราวมาก

    อาตมารู้สึกศรัทธาคุณแม่บุญเรือนมาก จึงไปสมัครเป็นลูกศิษย์ ต่อมาภรรยาเมื่อไปเชียงใหม่ก็ตามไปเรียนด้วย แรกๆ ภรรยาก็เรียนกับคุณแม่บุญเรือนด้วยเล็กๆ น้อยๆ จนต่อมาก็เป็นลูกศิษย์ที่คุณแม่บุญเรือนรักใคร่ สนิทสนมกันมาก

    พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

    ขณะที่อยู่ที่เชียงใหม่ วันหนึ่งอาตมาได้ถามคุณแม่บุญเรือนว่า “พระที่มีปฏิปทาปฏิบัติชอบนั้นมีใครบ้าง ?” ท่านก็บอกว่า “มีหลวงปู่มั่น, เจ้าคุณอุบาลี และท่านอาจารย์พุทธทาส” ซึ่งอาตมาก็ฟังๆ ไปยังงั้นเอง เพราะไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักกับพระทั้งสามองค์ที่ออกนามมานี้ อีกอย่างหนึ่งอาตมาเองก็เคารพในคุณแม่บุญเรือนเป็นอาจารย์อยู่แล้ว อาตมาเป็นศิษย์ศึกษาธรรมกับคุณแม่บุญเรือนอยู่นานถึง ๑๒ ปี

    สมาธิภาวนาแบบพองหนอ-ยุบหนอ

    ขณะที่อาตมายังเป็นศิษย์ของคุณแม่บุญเรือนนั้น อาตมาก็ยังไปๆ มาๆ เชียงใหม่บ้าง ลำปางบ้าง ส่วนโรคปวดหัวและริดสีดวงทวารของอาตมาก็ยังไม่หาย แถมยังเริ่มเป็นโรคปอดเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง อาตมาจึงหันไปฝึกสมาธิภาวนาแบบพองหนอ-ยุบหนอ, ยืนหนอ-นั่งหนอ, มีการเดินจงกรมชั่วโมงหนึ่ง นั่งสมาธิหลับตาภาวนาชั่วโมงหนึ่ง ตอนนั้นเขาสอนทำตบะตัวแข็งเลย

    อาตมาเรียนอยู่ถึง ๒ เดือน เอาจริงๆ เลย ! ผลที่ได้รับคือรู้สึกว่าตัวเบา มีปีติสูงมาก อยากให้คนอื่นได้รับเหมือนเราบ้าง ในขณะนั้นครูผู้สอนยังบอกอาตมาว่า “แค่นี้ยังไม่พอ ยังมีอีก” อาตมาก็เรียนได้ดีจนครูผู้สอนยกย่อง จะให้อาตมาเป็นครูช่วยสอนให้ผู้อื่นด้วย แต่อาตมาไม่เอา เรื่องอาตมาเรียนสมาธิภาวนาแบบพองหนอ-ยุบหนอ ที่เชียงใหม่นี้ มีคนฟ้องมายังคุณแม่บุญเรือนด้วยน่ะ

    ชักชวนให้พี่สาวศรัทธาในคุณแม่บุญเรือน

    ต่อมาเมื่อคุณแม่บุญเรือนได้ลงมากรุงเทพฯ อาตมาได้มีจดหมายบอกไปยังพี่สาวแกมแก้ว ซึ่งยังอยู่ที่บ้านบางขุนพรหม ที่กรุงเทพฯ ให้ไปหาคุณแม่บุญเรือนที่บ้านของท่าน ที่ถนนวิสุทธิ์กษัตริย์ เพราะบ้านอยู่ใกล้กันแค่นั้น โดยอาตมาไปเล่าเรื่องปาฏิหาริย์ของคุณแม่บุญเรือนที่เดินกลางสายฝนได้โดยไม่เปียกให้พี่สาวฟังด้วย พี่สาวอาตมาซึ่งเรียนจบวิทยาศาสตร์จากโรงเรียนราชินี พอฟังเรื่องที่อาตมาเล่าให้ฟัง ก็ว่า “น้องชายถ้าจะเสียสติเสียแล้ว” แต่ลงท้ายพี่สาวอาตมาก็ไปหาคุณแม่บุญเรือน

    พอคุณแม่บุญเรือนพบพี่สาวอาตมา ก็พูดว่า “ฉันมีอะไรไม่ดีให้บอกฉัน” พี่สาวได้เล่าให้อาตมาฟังว่า ตัวเขาเองถึงกับสะดุ้งในตอนนั้น ต่อมาพี่สาวอาตมาก็ศรัทธาในคุณแม่บุญเรือนยิ่งกว่าอาตมาเสียอีก

    วิธีสอนของคุณแม่บุญเรือน

    วิธีสอนของคุณแม่บุญเรือน ค่อนข้างดุ รุนแรง ถึงขั้นลงไม้ลงมือเลยทีเดียว เช่นเมื่อราว พ.ศ.๒๕๐๐ ตอนนั้นอาตมามีอายุได้ราว ๕๓ ปีแล้ว เมื่ออาตมาได้เข้ามากรุงเทพฯ และได้แวะมากราบเยี่ยมคุณแม่บุญเรือนในฐานะอาจารย์ ท่านก็ถามเรื่องไปเรียนกัมมัฏฐาน เล่นตบะตัวแข็ง ว่าจริงหรือไม่ ? พออาตมารับว่าจริงเท่านั้นแหละ ท่านก็ลุกขึ้นมากระทืบอาตมา กระทืบในขณะที่อาตมายังนั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าคนทั้งหลายในที่นั้นเลย เมื่อคนกลับไปหมดแล้ว ท่านยังพูดว่า “นายไสวนี่กระดูกเหล็ก ทำเอาเท้าฉันเจ็บ” นี่ ! เป็นยังงั้น

    ต่อมาเมื่ออาตมาได้มาเยี่ยมท่านอีกที่บ้านพระโขนง ที่หลวงแจ่มวิชาสอนสร้างให้ พออาตมาไปเห็นบ้าน ซึ่งขณะนั้นถนนยังเป็นโคลน อาตมาจึงโทรศัพท์สั่งหินมาคันรถหนึ่ง ให้เขาเอามาถมและเกลี่ยถนนให้พอเดินได้ พอดีเกิดฝนตก ถนนก็เป็นหลุมเป็นบ่อ คุณแม่บุญเรือนสั่งให้อาตมาเอาจอบไปเกลี่ยหินกลบตามหลุมตามบ่อนั้น อาตมาไม่เคยจับจอบมาก่อน จึงทำไม่เป็น ท่านก็ตบเอา แล้วว่า “งานแค่นี้ก็ทำไม่เป็น” ตกตอนเช้า ขณะที่อาตมากำลังก้มลงเก็บหินที่กระจายเกลื่อนๆ อยู่ ท่านเดินมาเห็นเข้าก็เตะก้นอีกที

    อีกหนหนึ่ง อาตมาไปเยี่ยมท่าน ขณะนั้นมีคนนั่งกันเต็ม ท่านบอกให้อาตมาไปเอาดอกไม้มาให้คุณหญิงคุณนายจัดแจกัน พอดอกไม้เหลือ ท่านก็สั่งอาตมา “เอาไปไว้ที่เก่า” อาตมาก็เอาไปวางที่เก่า

    สักครู่ท่านพาคุณหญิงคุณนายผ่านไปพบเข้า ก็ดุว่าอาตมาว่า “ทำไมเอาดอกไม้มาวางไว้ตรงนี้ ?” อาตมาก็บอกท่านว่า “ที่เก่ามันอยู่ตรงนี้” เท่านั้นแหละท่านตบอาตมาทันที เห็นเขียวๆ แดงๆ ตาลายเลย พอท่านทำท่าจะตบครั้งที่ ๒, อาตมาก็เอนตัวหลบ ท่านก็ว่า “จะสู้ยังงั้นรึ ?”

    อาตมาก็นิ่งเฉยเสีย พออาตมาเดินห่างไปหน่อย ท่านก็ประกาศบอกใครๆ ว่า “ฉันสอนลูกศิษย์ของฉันยังงี้” ในตอนนั้นอาตมาไม่เข้าใจ, ต่อมาภายหลังเมื่อมาอยู่ที่สวนโมกข์แล้ว จึงเข้าใจว่า ท่านสอนแบบเซ็นด้วยวิธีฉับพลัน กล่าวคือ ขณะนั้นลูกศิษย์ที่มาหาท่าน คุยกันแซ็ดไปหมด, พอคุณแม่บุญเรือนตบอาตมาเท่านั้น เสียงเงียบกริบลงทันทีเลย, เป็นการข่มขวัญ หรือเชือดคอไก่ให้ลิงดูนั่นเอง

    ความเคารพในครูบาอาจารย์

    ขณะที่อาตมาถูกคุณแม่บุญเรือนตบตีอย่างรุนแรงนั้น อาตมาก็มิได้มีอารมณ์โกรธเคืองแต่อย่างใด เนื่องจากมีความเคารพว่าท่านเป็นอาจารย์ ท่านได้แนะนำสั่งสอนมา อาตมาได้ความรู้จากคุณแม่บุญเรือนหลายอย่าง จนตั้งตัวมาได้ถึงปานนี้

    แต่ทว่าโรคภัยไข้เจ็บก็ยังเบียดเบียน ไม่ว่าจะเป็นโรคปวดหัว ริดสีดวงทวาร โรคปอด และยังมีโรคต่อมลูกหมากโตเพิ่มเข้ามาอีกด้วย
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,083
    (ต่อ)

    _2_215.jpg
    รูปหล่อรุ่นแรกคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม


    เมื่อทำไร่มันฝรั่ง

    ต่อมาแม่แดง ซึ่งเป็นครูคนแรกของอาตมานั้น, เขาเป็นเศรษฐี ลูกเขย ๒ คนของเขาไปทำไร่มันฝรั่งที่เชียงใหม่ กิโลเมตรที่ ๓๘ มีเนื้อที่ ๒๓๔ ไร่ ขณะนั้นยังไม่มีใครปลูกมันฝรั่งในเมืองไทย ปีแรกก็ขาดทุน แม่แดงบอกว่าจะเลิกทำ อาตมาก็เลยอาสาว่า อย่าเลิกเลย อาตมาจะไปทำให้ พออาตมาไปถึงที่ไร่ ก็เห็นเจ้าของไร่คือลูกเขยแม่แดง แต่งตัวคาวบอย มีรถแทรกเตอร์ใช้ มีคนงานในไร่ ๔๐ คน พอตกเย็นก็นั่งกินเหล้ากัน อาตมาจึงมองเห็นเหตุที่มาของการขาดทุน และได้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงต่างๆ

    ในขั้นแรกก็คือการตัดคนงานออกเสีย ๒๐ คน เหลือไว้แค่ ๒๐ คน เพราะจำนวนคนเกินกว่างานมาก นี่ก็เป็นการลดต้นทุนอย่างหนึ่ง

    ส่วนเรื่องที่มีขโมยมาลักขุดมันนั้น อาตมาก็ต้องค่อยๆ แก้ไข สอบสวนดู โดยคอยสังเกตจนรู้ว่า ขโมยที่เข้ามาลักขุดมันนั้นเป็นชาวบ้านแถบนั้น เมื่อเจ้าของไร่เอาหัวมันฝังดินไว้เพื่อปลูก แล้วก็ไม่ได้เอาใจใส่ดูแล ชาวบ้านจึงมาลักขุดขนเอาหัวมันเหล่านั้นไป เจ้าของก็ไม่รู้ ผลผลิตจึงออกมาไม่สมกับที่เจ้าของคาดหมาย เพราะปลูกเท่าไร ต้นมันก็ไม่งอกเป็นต้นสักที อาตมาขุดดูจึงรู้ว่า หัวมันถูกขโมยลักขุดเอาไปหมดแล้ว

    อาตมาต้องใช้กลยุทธ์ต่างๆ ในการแก้ไข คือเริ่มเข้าไปทำความรู้จัก คุ้นเคย เข้าหาคนเฒ่าคนแก่กับเด็ก และทำความเข้าใจกับชาวบ้าน โดยบอกว่า “ถ้าจะเอาอะไร ขอให้บอก” เราปลูกอะไรก็ให้พันธุ์เขาไปปลูกบ้าง จากนั้นก็ทำตู้ยามล้อมรอบที่ไร่ มีที่พักของอาตมาเองอยู่ตรงกลางไร่ เพื่อจะได้ดูแลได้รอบทิศ

    กลางคืน พอฉายไฟไปที่ตู้ยาม ถ้ายามไม่ตอบ จะเป็นเพราะหลับหรือเมาก็ตาม อาตมาก็ลงไปที่ตู้ยาม แล้วยิงปืนออกไป ซึ่งเท่ากับขู่ชาวบ้านไปด้วย สำหรับคนงานคนไหนอยู่ยามกลางคืน รุ่งขึ้นให้หยุดพัก ๑ วัน การแก้ไขปัญหาหลายๆ อย่างนี้ ทำให้กิจการไร่มันหายจากการขาดทุนได้ เพราะการควบคุมดูแลอย่างเอาจริง และการประหยัดค่าใช้จ่าย ตลอดจนการมีมนุษยสัมพันธ์อันดีกับชาวบ้านนั่นเอง

    การพบท่านพุทธทาสเป็นครั้งแรก

    เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ ขณะที่อาตมาดูแลการปลูกมันฝรั่งนั้น วันหนึ่งคุณประสิทธิ์ พุ่มชูศรี เจ้าของกิจการไร่ชาระมิงค์ มาบอกอาตมาว่า “ท่านอาจารย์พุทธทาส จากสวนโมกข์ ไชยา มาพักที่ไร่ จะไปพบท่านไหม ?” อาตมารีบตอบว่า “ไป ไป” ก็ตามคุณประสิทธิ์ไปกราบท่าน พออาตมาเห็นท่านอาจารย์พุทธทาส ก็อยากเป็นพระอรหันต์กับเขาบ้าง อาตมาได้บอกกับท่านว่า อาตมาจะไปสวนโมกข์ ท่านก็ตอบว่า “ได้ ได้”

    หมดห่วงทางโลก

    พอดีในช่วงนั้นแม่แดง ผู้ร่วมกิจการทำไร่มันฝรั่งมาตายลง คุณแม่บุญเรือนก็บอกว่าหยุดช่วยเขาได้แล้ว ได้ตอบแทนคุณเขามามากพอแล้ว อีกทั้ง อาตมาก็ยังไม่หายจากโรคภัยไข้เจ็บ อาตมาจึงเลิกทำ ไม่อยากทำอะไรอีกต่อไป อาตมาได้เห็นทุกข์ทางกายทางใจมามากแล้ว อีกอย่างหนึ่งอาตมาก็รู้สึกหมดห่วงในเรื่องครอบครัว ลูกและภรรยา เมื่อลูกๆ ที่อาตมาได้ขอมาเลี้ยงไว้ทีแรก ๔ คนก็ไปหมด ไปมีผัวแล้วได้ลูกมาอีก ๖ คน เป็นผู้หญิง ๕ ผู้ชาย ๑ อาตมาก็ต้องเลี้ยงไว้อีก จนผู้หญิง ๕ คนได้ปริญญาเป็นครูหมดทุกคน ผู้ชายส่งให้เรียนอัสสัมชัญ ลูกๆ ทุกคนตั้งตัวได้หมด (ขณะนี้พ.ศ.๒๕๓๙ ตายไปแล้ว ๑ คน) เป็นอันว่าอาตมาหมดห่วงเรื่องลูก

    เหตุที่ไปสวนโมกข์

    เหตุที่อาตมาคิดจะไปสวนโมกข์ วัดธารน้ำไหล ไชยา เพราะคิดว่าเรียนกับคุณแม่บุญเรือนมา ๑๒ ปีแล้ว ยังไม่หมดทุกข์สักที พอพบท่านพุทธทาสก็อยากเป็นพระอรหันต์กับเขาบ้าง ดังนั้น ก่อนจะมาสวนโมกข์ อาตมาได้ไปขออนุญาตคุณแม่บุญเรือนก่อน

    ไปสวนโมกข์ครั้งแรก

    พอปี พ.ศ.๒๕๐๑ อาตมาเดินทางโดยรถไฟ มาลงสถานีไชยา จากนั้นก็เดินเท้ามายังสวนโมกข์ ระยะทางประมาณ ๔ กิโลเมตร สมัยนั้นยังไม่มีรถรับส่ง เมื่ออาตมาไปถึงสวนโมกข์ วัดธารน้ำไหล อาตมาไม่พบท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านไม่อยู่ ไปกิจที่อื่น อาตมาจึงกลับมากรุงเทพฯ

    _paragraph_12_134.jpg

    เกิดความสงสัยในคุณแม่บุญเรือน

    อาตมากลับจากสวนโมกข์ ก็ไปหาคุณแม่บุญเรือนอีก กลับไปเป็นลูกศิษย์ของคุณแม่บุญเรือนตามเดิม คุณแม่บุญเรือนดูอาการของอาตมาแล้วพูดว่า “มีอะไรให้บอกแม่” อาตมาจึงถามสวนไปว่า “ก็คุณแม่มีญาณวิเศษถึงขั้นรู้ใจคนแล้ว ทำไมจึงไม่รู้ใจผมว่าอยากมาสวนโมกข์ เพราะอะไร ?” คุณแม่บุญเรือนก็ว่า “เดี๋ยวนี้เครื่องวิทยุ ๒ เครื่องนี้ มันรับส่งกันไม่ได้อีกแล้ว เครื่องส่งส่งไป แต่เครื่องรับมันไม่ยอมรับ”

    ครั้นพออาตมาบอกท่านว่า “อยากไปหาท่านพุทธทาส” คุณแม่บุญเรือนก็ว่า “พระนิพพาน แม่ก็สอนได้ ไม่ไปได้ไหม ?” ในฐานะที่ท่านมีบุญคุณ อาตมาก็เลยคิดว่า เอาปัจจุบันไว้ก่อน คือเรียนกับคุณแม่บุญเรือนต่อไปอีกระยะหนึ่ง ก็สุดแล้วแต่ท่านจะสอนอะไร ดังนั้น ทุกวันอาตมาจะออกจากบ้านบางขุนพรหม ไปหาท่านที่บ้านพระโขนง ส่วนพี่สาวจะไปวันอาทิตย์ งานที่ไปทำก็คือ ไปรับใช้ทุกอย่างสุดแต่ท่านจะใช้

    ไปสวนโมกข์ครั้งที่สอง

    อย่างไรก็ดี โรคประจำตัวต่างๆ ที่อาตมาเป็นอยู่ก็ยังไม่หาย ทั้งความคิดอยากจะเป็นพระอรหันต์ยิ่งแรงกล้าขึ้น ดังนั้นในปี พ.ศ.๒๕๐๓ ขณะนั้นอาตมามีอายุได้ ๕๖ ปีแล้ว อาตมาจึงเดินทางจากกรุงเทพฯ มาสวนโมกข์อีกครั้งหนึ่ง โดยไม่บอกใคร แต่ก็ไม่พบท่านอาจารย์พุทธทาสอีก ท่านไปปฏิบัติศาสนกิจตามโปรแกรมของท่าน

    การมาครั้งนี้อาตมาไม่คิดจะกลับอีกแล้ว ตั้งใจจะอยู่รอจนพบท่านให้ได้ก่อน อาตมาได้พักอยู่ที่สวนโมกข์ (ปัจจุบัน) ช่วยงานเก็บกวาดวัด ปฏิบัติรับใช้พระ ส่วนอาหารนั้นยังต้องระวังเพราะโรคริดสีดวงทวารยังไม่หาย จึงต้องไปติดต่อทางโรงครัวให้ทำอาหารที่ไม่แสลงโรคให้

    เมื่อเป็นอุบาสกที่สวนโมกข์

    อาตมาอยู่ที่สวนโมกข์ไม่นาน, ท่านอาจารย์พุทธทาสก็กลับมา ท่านไม่ถามอะไรอาตมาสักคำ ว่าไปยังไงมายังไง อาตมาคิดว่าท่านอาจารย์คงจะรู้เรื่องราวของอาตมาจากคุณประสิทธิ์ พุ่มชูศรี มาบ้าง ตั้งแต่ครั้งที่ท่านขึ้นไปเชียงใหม่แล้ว ท่านบอกอาตมาเพียงว่า “ให้ปฏิบัติตนเป็นอุบาสก รับประทานมื้อเดียว กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่เหมือนตายแล้ว”
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,083
    (ต่อ)
    ต่อสู้อย่างหนักกับอาหารแสลงโรค

    พอท่านอาจารย์พุทธทาสกลับมาถึงสวนโมกข์วันแรก อาตมาก็โดนดีทีเดียว คือระหว่างที่พระฉันภัตตาหาร ท่านให้พระที่นั่งองค์สุดท้ายตักข้าวให้อาตมาจานหนึ่ง ข้าวจานนั้นมีแต่น้ำแกงเหลืองราดมาให้เท่านั้นแหละ เผ็ดแทบตาย พออาตมาตักข้าวเข้าปาก โอ้โฮ ! รู้สึกร้อนเหมือนไฟ ต้องแอบคายทิ้ง แล้วเอาข้าวไปให้ปลากิน ซึ่งแต่เดิมลำธารในวัดธารน้ำไหลมีน้ำไหลแรง มีปลาอาศัยอยู่ด้วย เป็นอันว่าอาตมาต้องอดอาหารในวันแรก

    ตอนเย็นได้ดื่มน้ำปานะ คือชาซึ่งกลิ่นเหม็นยังกะอะไรดี กับน้ำร้อน น้ำตาล ๑ ก้อน, ต้องใส่น้ำแค่ครึ่งแก้วเท่านั้นจึงจะมีรสหวาน แล้วค่อยเติมน้ำทีหลัง

    รุ่งขึ้นวันที่สองก็เจอแบบนี้อีก คือข้างราดแกงเหลืองเผ็ดจัด ก็เลยกินไม่ได้อีก เอาข้าวไปให้ปลากินแทน ตัวเองอด พอถึงวันที่สาม ชักหิวแล้วซิ ทนไม่ไหว จึงแอบไปกระซิบบอกพระที่ตักอาหารองค์สุดท้าย โดยบอกว่า “ขอแต่ปลา ไม่เอาน้ำแกง” ปรากฏว่า วันนั้นต้องกินปลากระเบน ซึ่งเป็นของแสลงต่อโรคริดสีดวงอย่างยิ่ง

    ปลากระเบนนี้ พระสวนโมกข์ตั้งชื่อว่า “ไก่ทะเล” และก็เป็นอาหารหลักของที่นี่เกือบจะเป็นประจำทุกวัน เมื่ออาตมากินเข้าไปแล้ว มันก็ไปออกอาการทางริดสีดวงทวารจนเลือดไหลทรมานมาก อาตมาต้องต่อสู้อย่างหนัก แต่ก็ไม่เคยบอกท่านอาจารย์พุทธทาสให้ทราบ คิดแต่ว่า “ต้องสู้ให้ได้” แม้จะลำบากก็ “สู้” เพราะอยากได้ธรรมะ อยู่ที่ว่าใครจะสู้ได้แค่ไหน อีกอย่างหนึ่งสมัยที่อาตมาอยู่กับคุณแม่บุญเรือนนั้น ท่านก็ใช้งานทุกอย่างเลย บางทีเรียก “ไอ้” ก็ยังมี อาตมาจึงได้ความอดทนมาจากท่าน เมื่อมาพบความยากลำบากที่สวนโมกข์ อาตมาจึงไม่รู้สึกอะไรนัก ไม่รู้สึกว่าต้องทน การมาอยู่ที่สวนโมกข์นี้ ภรรยาของอาตมาก็ไม่ว่าอะไร เพราะทรัพย์สินของอาตมาทั้งหมดก็ให้เธอเอาไป อาตมาเอาเงินติดตัวมาก้อนหนึ่งเท่านั้น

    ความกระจ่างในการปฏิบัติธรรม

    ตอนเป็นอุบาสกก่อนบวช ๓ เดือน อาตมาก็ได้ทำสมาธิจนตัวเกร็ง โดยบอกตัวเองว่า “จิตไป ดึงมาเสีย, จิตไป ดึงมาเสีย พยายามไม่นึกไม่คิด” ท่านอาจารย์พุทธทาสรู้เข้าก็ว่าทันทีเลยว่า “จิตเกิดดับ ห้ามได้รึ ? เมื่อเกิดผัสสะ อย่าให้เลยไปจนเกิดเวทนา เห็นสักว่าเห็น ได้ยินสักว่าได้ยินซิ” แค่นี้อาตมาก็เข้าใจเลย ความคิดว่า ตัวอยากเป็นพระอรหันต์ มัวหันไป หันมา อยู่นั่นแหละ ไม่เอาแล้ว !!

    งานแก้โรคภัยไข้เจ็บ

    โรคที่เป็นอยู่อาตมาก็ไม่ได้กินยาอะไร การแก้โรคของอาตมาคือการทำงานให้หนัก ช่วยงานวัด มีงานทำตลอดระหว่างเป็นอุบาสก ๓ เดือน ก็เลยลืมๆ ไป ไม่คิดว่าตัวเจ็บป่วย

    _paragraph_10_294.jpg
    ภาพถ่ายพระธาตุของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม


    แจ้งข่าวการบวชกับคุณแม่บุญเรือน

    ก่อนจะบวช อาตมาได้เขียนจดหมายไปถึงพี่สาวบอกว่า จะบวช คุณแม่บุญเรือนสั่งให้พี่สาวมาบอกอาตมาว่า “ถ้าไม่ได้เป็นพระอรหันต์อย่ากลับมาหาแม่” ท่านเล่นไม้ตายแบบนี้เลย เท่ากับบังคับให้อาตมาต้องเอาจริง

    ต่อมาอีกหลายปี คือวันที่ ๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๗ ก่อนที่คุณแม่บุญเรือนจะสิ้น (ตาย) ก็สั่งพี่สาวให้เขียนจดหมายมาบอกอาตมาว่า “ให้พระอยู่ไปนานๆ นะ” เท่านั้นแหละรู้กัน


    คัดลอกเนื้อหามาจาก ::
    http://www.dharma-gateway.com/



    * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

    แผนที่วัดอาวุธวิกสิตาราม (วัดบางพลัดนอก)
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=2032

    ประมวลภาพวัดอาวุธวิกสิตาราม (วัดบางพลัดนอก)
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=869


    * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
    :- http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=12567
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,083
    ๒๒๔. ผีดิบแห่งปางซาย ธุดงค์ป่ารัฐฉาน

    thamnu onprasert
    39,357 viewsSep 25, 2021
    เรื่องราวความเชื่อเรื่องผีดิบลี้ลับที่เมืองปางซายเหนือสุดของรัฐฉาน

    พ้นนรกเพราะพระพุทธคุณ

    thamnu onprasert
    Sep 27, 2021
    เรื่องราวของชายคนหนึ่งที่พ้นนรกได้เพราะพระพุทธคุณช่วยเหลือไว้อย่างหวุดหวิด ครั้นเมื่อไปบังเกิดเป็นเทวดาบนดาวดึงส์แล้ว พอหมดจะหมดบุญ ต้องไปเกิดในนรก พระพุทธคุณก็ยังช่วยเหลือเขาอีก จนได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน พ้นนรกโดยถาวร..

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2021
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,083
    ความมหัศจรรย์ของใจ จิต วิญญาณ

    สารคดี วัฒนธรรมประเพณีและความเชื่อ
    Sep 19, 2021
    เรื่องเล่าพระ

    ความมหัศจรรย์ของใจ จิต วิญญาณ
    ใจ มาจากคำว่า มโน
    จิต มาจากคำว่า จิตตัง
    วิญญาณ มาจากคำว่า วิญญานัง
    ทั้ง 3 ชื่อ เป็นชื่อของธาตุชนิดเดียวกัน แต่เวลาที่เราเรียกชื่อต่างกัน เพราะเรียกตามการแปรของธาตุ วัตถุธาตุที่ประกอบขึ้นเป็นมนุษย์ อยู่ใต้อำนาจของใจ เมื่อเกิดสุขเกิดทุกข์ขึ้นมา การแก้ไขสุขทุกข์ ต้องแก้ไขที่ใจ
    อาสวะ คือ สิ่งที่รอบด้านแห่งวิญญาณธาตุ อาสวะมี 4 อย่าง 1.กามาสวะ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่น่ารัก น่าใคร่
    2.ภวาสวะ คือ ความปรากฏหรือการเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่ง 3.ทิฏฐาสวะ คือ การเห็นอาการต่างๆ เหล่านั้น
    4.อวิชชาสสะ คือ ความไม่รู้ โง่ เบาปัญญา
    แรกเริ่มเดิมที วิญญาณธาตุ เป็นธาตุรู้ เป็นความรู้มหัศจรรย์ มีแสงสว่างในตัวเอง ไม่มืดมัว แต่เมื่อคลุกเคล้ากับอาสวะ คือเครื่องหมักดองกิเลส ความมืดมัวของวิญญาณธาตุ เรียกว่า อวิชชา และอวิชชานี่เองเป็นต้นเหตุแห่งการเกิด คำว่า อวิชชา แปลว่า ไม่มีกระแสแห่งความรู้ อันหมายถึง วิญญาณธาตุ ที่ถูกห่อหุ้มด้วย อวิชชา นั่นเอง
    จิตขันธ์ คือ ดวงจิต มี 4 อย่าง
    1.เวทนา หมายถึง รู้-เสวยอารมณ์สุข-ทุกข์
    2.สัญญา หมายถึง รู้ จำ กล่าวโดยรวมคือ จำได้หมายรู้ทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในกระแสของตน
    3.เจตนา หมายถึง มีความจงใจ ตั้งใจทำ คิด นึก ในสิ่งนั้นๆ 4.วิญญาณ หมายถึง อาการที่มีความรู้สึก ในทุกสิ่ง

    ใจ จิต วิญญาณ และวัตถุธาตุทั้งหมด ก็เป็น สักแต่ว่า ของประจำโลก แต่จิตจะไม่หมุนเวียนไม่มึนเมา ลุ่มหลง จนมีกำลังเหนืออาสวะ อันเป็นเหตุให้รู้แจ้ง สิ้นอวิชชา เป็นอิสระจากสิ่งร้อยรัดคือสังโยชน์ทั้ง10 เข้าถึงธรรมวิเศษ เป็นอริยบุคคลองค์อรหันต์ หลุดพ้นจากวัฏสงสาร เข้าแดนบรมสุข สงบเย็น คือแดนแห่งพระนิพพานนั่นเอง
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,083
    พุทธาภินิหารพระศาสดา

    สารคดี วัฒนธรรมประเพณีและความเชื่อ
    Sep 25, 2021
    เรื่องเล่าพระ พุทธาภินิหารพระศาสดา

    กล่าวถึงหลังจากที่องค์ศาสดาโปรดเวไนยสัตว์ครั้งแรกแก่คณะปัญจวัคคีย์ทั้ง5 สำเร็จเป็นองค์อรหันต์ชุดแรกของโลก หลักธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้น หากฟังอย่างตั้งใจแล้วปฏิบัติตามอย่างจริงจัง ครบถ้วนด้วยหลักอิทธิบาท 4 คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อย่างแรงกล้า ก็สามารถบรรลุธรรมได้ตั้งแต่ขั้น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์ พระศาสดาได้ทรงอาศัยพุทธญาณทัศนะ ตรวจดูว่าผู้ใดจะเข้าข่ายที่สมควรเสด็จไปโปรด ก็ทรงหยั่งทราบว่า ยสะกุลบุตร บุตรชายคนเดียวของเศรษฐี ผู้ได้รับการเลี้ยงดูจากบิดาอย่างเอาใจใส่ดีเลิศ ให้ได้รับความสุขสบาย ความอุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง สร้างปราสาทให้อยู่สบาย 3 หลัง เมื่อเติบโตเข้าวัยหนุ่มก็จัดหา สตรีรูปโฉมงดงามมาค่อยปรนนิบัติ เมื่อถึงเวลามีครอบครัว บิดาก็จัดหาสตรีงามที่สุดมาให้ คืนหนึ่ง ยสะกุลบุตรได้ลุุกขึ้นมาพบภาพที่ไม่สวยงามของเหล่าสตรีงามทั้งหลาย ยามนอนหลับไหลไม่ได้สติ ก็เกิดความเบื่อหน่ายปราสาทอันใหญ่โตมโหฬาร ผู้คนที่อยู่แวดล้อม จิตใจร้อนรุ่มไม่สงบ จนรำพึงกับตนเองว่า "ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ" ขณะนั้นองค์ศาสดาได้ตรวจดูด้วยญานทัศนะอดีตชาติของยสะกุลบุตรว่า ยสะกุลบุตร กับ54สหาย นิยมชมชอบเก็บศพคนตายไร้ญาติขาดมิตร ช่วยกันนำไปฌาปนกิจ คือเผาศพเป็นประจำ ทั้ง55สหาย รวมยสะกุลบุตร ต่างเจริญ อสุภสัญญา อยู่เป็นนิจ ยังให้เกิดการละ หน่าย คลายวาง จากความติดใจในรูปสังขาร มาตั้งแต่ชาตินั้น ครั้นถึงชาติปัจจุบัน ผลกุศลนั้น รวมถึงจิตที่เบื่อหน่ายต่อร่างกาย เพราะเห็นความจริงว่าไม่สวยไม่งาม เป็นศพตายเมื่อไหร่ จะน่าเกลียด น่ากลัวเมื่อนั้น พระศาสดาจึงตรัสกับยสะกุลบุตรว่า "นี่แน่ะ ยสะมาณพหนุ่ม ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง เชิญเธอมานั่ง ตถาคตจักแสดงธรรมให้ฟัง" ท่านเริ่มแสดงธรรมเบื้องต้น ที่เรียกว่า อนุปุพพิกถา อันประกอบด้วยกถา 5 ประการเพื่อซักฟอกย้อมใจก่อน
    1. ทานกถา หมายถึงการให้ทาน การบริจาคทานให้ได้โดยยาก
    2.ศีลกถา หายถึง ศีลทั้ง 5 ข้อ ที่เหมาะกับปุถุชน
    3.สัคคกถา หมายถึง พรรณาถึงความสุขบนสวรรค์
    4.กามาทีนวกถา หมายถึง พรรณาโทษของกาม
    5.เนกขัมมานิสังสกถา หมายถึง พรรณาคุณประโยชน์ของการออกจากกาม คือการออกบวช
    พร้อมทรงโปรด บิดาผู้เป็นเศรษฐี และได้ไปโปรดมารดา กับภรรยา ของยสะกุลบุตร จนได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุมรรคผล เป็นโสดาบัน ส่วนยสะกุลบุตรบรรลุเป็นอรหันต์ ด้วยการแสดงพุทธาภินิหาร
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,083
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,083
    ๒๒๕. เปรตวัดตึง ธุดงค์ป่ารัฐฉาน

    thamnu onprasert
    Oct 6, 2021
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,083
    lpBoonchinawngso.jpg
    ประวัติและปฏิปทา
    พระครูวิมลญาณวิจิตร
    (หลวงปู่บุญ ชินวํโส)


    วัดป่าศรีสว่างแดนดิน
    ต.สว่างแดนดิน อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    ๏ บรรพบุรุษ

    เดิมปู่ย่าของท่านเป็นคนท้องถิ่นในอำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี (จังหวัดหนองบัวลำภู ในปัจจุบัน) แล้วได้อพยพย้ายถิ่นฐานจากอำเภอหนองบัวลำภู มาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนใหม่อยู่ที่อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ปู่ย่าของท่านได้เสียชีวิตลงที่นี่ จากนั้นไม่นานนัก บุตรชายของปู่ก็ได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวอำเภอเขื่องใน แล้วช่วยกันทำมาหากินประกอบอาชีพชาวไร่ชาวนาตลอดมา
    ๏ ชาติภูมิ

    ท่านหลวงปู่ ชินวํโส (นามเดิมของท่าน บุญตา) เกิดในตระกูลสายกัณณ์ ที่อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๕๕ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๗ เป็นบุตรของนายวงศ์สา และนางใคร่ สายกัณณ์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๔ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๔ มีชื่อตามลำดับดังนี้

    (๑) นายพิมพา สายกัณณ์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
    (๒) นายสุดชา สายกัณณ์ (พระอาจารย์พร สุมโน มรณภาพแล้ว)
    (๓) นายจันทา สายกัณณ์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
    (๔) นายบุญตา สายกัณณ์ (หลวงปู่บุญ ชินวํโส มรณภาพแล้ว)

    ก่อนที่เด็กชายบุญตาจะถือกำเนิดมานั้น มีเรื่องเล่าว่า โยมมารดาของท่านไปทำนา ซึ่งตอนนั้นกำลังท้องแก่จวนจะคลอดแล้ว พอขึ้นจากดำนากินข้าวเสร็จ โยมมารดาของท่านก็รู้สึกปวดท้อง จึงได้บอกกับโยมบิดาของท่านว่าจะกลับบ้านก่อน โยมมารดาของท่านได้เดินกลับบ้านเพียงลำพัง พอไปถึงระหว่างทางได้หยุดพักที่เนินต้นตาล รู้สึกปวดท้อง จึงเดินไปหาหนองน้ำในบริเวณนั้น เอาน้ำมาลูบท้อง โยมมารดาของท่านจึงได้คลอดท่านที่หนองน้ำแห่งนั้นด้วยความง่ายดาย ไม่เจ็บปวดทรมานแต่อย่างใด แล้วโยมมารดาของท่านจึงได้เอาผ้าห่อท่านใส่ตะกร้ากลับบ้าน แล้วท่านก็ก่อไฟผิง ต่อมาไม่นานนัก โยมบิดาของท่านก็ได้กลับมาบ้านแล้วตัดสายรกให้ท่าน ตอนคลอดนั้นตัวของท่านเล็กมาก ตัวแดงๆ เหมือนกับพริก โยมบิดามารดาเลยตั้งชื่อให้ท่านว่า บุญตา

    ท่านหลวงปู่บุญเป็นน้องคนสุดท้อง รูปร่างเล็ก ว่องไว ใจเร็ว และขยันหมั่นเพียร เป็นนิสัยมาตั้งแต่เด็ก พออายุครบที่จะเข้าโรงเรียนได้แล้ว โยมบิดาของท่านก็เอาไปฝากเข้าโรงเรียนประถม ที่บ้านเขื่องใน จนจบ ป.๔ พออ่านออกเขียนได้

    ครั้นเด็กชายบุญตาย่างเข้า ๑๑ ปี โยมมารดาก็เสียชีวิต เด็กชายบุญตาก็ได้อยู่กับโยมบิดาเรื่อยมา พี่ชายคนที่ชื่อพิมพา ได้แต่งงานเอาเมียมาเลี้ยงบิดาได้ไม่นานนัก พี่ชายที่ชื่อพิมพาก็เสียชีวิตลง พี่ชายที่ชื่อสุดชาก็บวช ส่วนพี่ชายที่ชื่อจันทาก็บวช ได้ไม่นานก็สึก

    เมื่อท่านอายุย่างเข้า ๑๓-๑๔ ปี พระอาจารย์พร สุมโน ซึ่งเป็นพี่ชายได้บวชเป็นพระ แล้วได้กลับมาเยี่ยมบ้านและพักอยู่ที่บ้านเขื่องใน ได้ถามความประสงค์ของน้องชายว่า อยากบวชไหม เด็กชายบุญตาจึงตอบพระพี่ชายว่า ถ้าบิดาให้บวชก็บวช ท่านอาจารย์พรจึงได้ไปขออนุญาตจากโยมบิดาว่าจะเอาน้องคนเล็กไปบวช โยมบิดาบอกให้ไปถามน้องก่อน ถ้าเขาอยากบวชก็ไม่ขัดข้อง เป็นอันว่าเด็กชายบุญตาไม่มีอะไรขัดข้อง
    ๏ ชีวิตผ้าขาว

    เมื่อได้รับอนุญาตโยมบิดาแล้ว เด็กชายบุญตาก็ได้ติดตามท่านอาจารย์พรไปเพื่อหวังจะได้บรรพชา อุปสมบท ท่านอาจารย์พรก็ให้บวชเป็นผ้าขาว ถือศีล ๘ ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติในเพศผ้าขาวไปก่อน ประมาณ ๑๐ เดือนที่อยู่ในเพศผ้าขาวนั้น ท่านอาจารย์พรได้พาไปฝึกภาวนาในสถานที่ต่างๆ ซึ่งเป็นที่เปลี่ยวไกลจากหมู่บ้าน สมัยนั้นสัตว์ป่ามีมาก ท่านอาจารย์พรได้พาไปพักอยู่ตามถ้ำต่างๆ ตามเงื้อมผา ป่าช้าป่าชัฏ และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งผู้คนเกรงขาม เพื่อเป็นการทดสอบดูว่าผ้าขาวบุญตานี้จะอยู่ได้สมกับที่อยากบวชหรือไม่ ท่านอาจารย์พรให้เหตุผลกับผ้าขาวบุญตาว่า ธรรมดาสิ่งทั้งปวงที่จะเป็นประโยชน์ และคงทนถาวรได้นานต้องมีการทุบตีหล่อหลอมเสียก่อน จึงจะรู้ว่าจะเป็นของดีหรือของเก๊ เมื่อเป็นของดีก็จะทนอยู่ได้ เมื่อเป็นของเก๊ก็กลับบ้านเสีย ไม่หาญไปกับเราได้ แต่ผ้าขาวบุญตาก็ทนอยู่ได้ ถึงจะเกิดความกลัวจนตัวสั่นก็ไม่คิดจะกลับไปในเพศผ้าขาว ท่านได้ประคับประคองตัวเองให้มีความอดทนอดกลั้นในการฝึกหัดภาวนา ตลอดทั้งข้อวัตรปฏิบัติทุกกรณีที่เป็นหน้าที่ของผ้าขาวจะพึงกระทำ ท่านก็ได้ทำอย่างสมบูรณ์ไม่บกพร่อง

    paragraph__2_105.jpg
    หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,083
    (ต่อ)
    ๏ ภายใต้ร่มกาสาวพัตร์

    หลังจากที่ออกจากบ้านได้บวชเป็นผ้าขาว และติดตามท่านอาจารย์พรไปตามสถานที่ต่างๆ ราว ๑๐เดือน ผ้าขาวบุญตาจึงได้พากลับมาบ้านที่อำเภอเขื่องใน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน พักอยู่ที่วัดป่าศิลาลักษณ์ โยมบิดาตลอดทั้งญาติๆ พอพากันทราบข่าว ก็ได้พร้อมใจกันมาหาและอยากจะให้ท่านบวชเป็นพระ แต่อายุท่านยังไม่ครบ ๒๐ ปี ท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณรในปี พ.ศ.๒๔๗๔ ต่อมาในวันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๕ จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดบูรพาราม ซึ่งสมัยนั้นอยู่ในเขตอำเภอวารินชำราบ (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี) โดยมี พระศาสนดิลก เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระเพ็ง เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    ในพรรษาแรก ท่านได้จำพรรษาที่วัดบูรพาราม พอออกพรรษาแล้วได้เที่ยววิเวกไปกับท่านอาจารย์พรทางจังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ ข้ามไปประเทศเขมร พอใกล้เข้าพรรษาที่ ๒ ก็กลับมาทางจังหวัดอุบลราชธานี จำพรรษาที่วัดเลียบ ครั้นออกพรรษาก็ได้เที่ยววิเวกไปทางอำเภออำนาจเจริญ อำเภอมุกดาหาร เที่ยววนเวียนอยู่ตามป่าเขาแถบนั้น พอใกล้เข้าพรรษาก็กลับมาวัดเลียบอีก ออกพรรษาแล้วก็เที่ยววิเวกไปทางสกลนคร อุดรธานี แล้วกลับไปจำพรรษาที่วัดบ้านบ่อเสนง อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี

    ในปี พ.ศ.๒๔๗๘ พรรษานี้ ท่านบอกว่าประกอบความเพียรอย่างหนัก ตลอดไตรมาสสามเดือนอยู่ด้วยอริยบถ ๓ คือ ยืน เดิน นั่ง ออกพรรษาแล้วก็เที่ยววิเวกกลับไปยังอำเภอเขื่องใน พักอยู่ที่วัดป่าศิลาลักษณ์ ๓ เดือน พอถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๑ ก็เข้าไปอยู่กับ ท่านหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ที่วัดบูรพาราม จังหวัดอุบลราชธานี จนถึงปี พ.ศ.๒๔๘๕ ได้ติดตามปฏิบัติถือนิสัยอยู่กับท่านหลวงปู่เสาร์ตลอดมาจนกระทั่งท่านมรณภาพ

    หลังจากเสร็จงานฌาปนกิจศพท่านหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ที่วัดบูรพาราม จังหวัดอุบลราชธานี แล้วท่านก็เที่ยววิเวกขึ้นไปทางจังหวัดอุดรธานี เข้าไปปฏิบัติถือนิสัยอยู่กับ ท่านหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ขณะนั้นท่านพักอยู่โนนนิเวศน์ พอใกล้เข้าพรรษา ญาติโยมทางบ้านหนองหลวง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ไปขอพระนักปฏิบัติจากท่านหลวงปู่มั่น ท่านหลวงปู่มั่นจึงสั่งให้ไปอยู่กับ ท่านอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ที่วัดป่าประชานิยม บ้านหนองหลวง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร จากนั้นท่านได้จำพรรษาในที่ต่างๆ อีกหลายแห่ง จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๑๔ ท่านได้มาจำพรรษาที่วัดศรีสว่างแดนดิน อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ต่อมาภายหลังท่านได้เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีสว่างแดนดินเรื่อยมาจนกระทั่งมรณภาพ
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,083
    (ต่อ)
    ๏ ปฏิปทาและประสบการณ์

    เมื่อท่านหลวงปู่บุญ ชินวํโส อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ก็ได้เข้าไปปฏิบัติถือนิสัยอยู่กับท่านอาจารย์พร สุมโน นานพอสมควร จากนั้นท่านก็ได้ติดตามศึกษาปฏิบัติอยู่กับท่านหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล อีกเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งท่านหลวงปู่เสาร์ได้มรณภาพ ท่านหลวงปู่บุญได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ท่านได้รับความองอาจกล้าหาญในปฏิปทาที่ครูบาอาจารย์ดำเนินมาตั้งแต่พรรษาที่ ๔ เชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย หายสงสัยในคุณพระรัตนตรัย ปฏิปทาที่ได้จากครูบาอาจารย์นั้น ท่านก็ได้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด

    ท่านกล่าวว่า ครั้งแรกที่ได้เข้าไปศึกษาอยู่กับครูบาอาจารย์ ท่านได้ศึกษาปฏิบัติจริงๆ จนได้รับความร่มเย็นในจิตใจ ท่านมิได้ประมาทนิ่งนอนใจ ขยันหมั่นเพียรในทุกกรณีที่เป็นหน้าที่ของพระที่พึงกระทำ ท่านได้บำเพ็ญความเพียรจนเต็มสติกำลังความสามารถของท่าน จนท่านรู้วิถีแห่งการปฏิบัติทั้งภายในและภายนอกที่ครูบาอาจารย์ได้พาดำเนินมาแล้ว เมื่อท่านได้ปฏิบัติบำเพ็ญอยู่เพียงรูปเดียวซึ่งห่างไกลจากครูบาอาจารย์ ก็ได้รับความองอาจกล้าหาญมากขึ้นเป็นทวี

    ฉะนั้น การเที่ยวบำเพ็ญธรรมของท่านหลวงปู่บุญ ชินวํโส ตามสถานที่ต่างๆ ที่เป็นป่าเขาก็เพื่อสะดวกแก่การภาวนา นอกจากเขตไทยแล้วท่านยังได้ข้ามไปเสาะแสวงหาสถานที่บำเพ็ญทางจิตทั้งในเขมรและลาว บางครั้งท่านก็ไปกับครูบาอาจารย์ บางครั้งก็ไปกับหมู่คณะ บางครั้งก็ไปเฉพาะท่านเพียงรูปเดียว

    ในระหว่างปี พ.ศ.๒๔๘๐ ซึ่งเป็นพรรษาที่ ๖ ท่านได้ปลีกจากครูบาอาจารย์และหมู่คณะ ข้ามไปภาวนาอยู่ตามป่าเขาในประเทศลาวเพียงรูปเดียว ได้เที่ยวจาริกบำเพ็ญอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ที่ไหนสะดวกแก่การบำเพ็ญจิต สมาธิเจริญขึ้นก็พักอยู่ที่นั้นนานๆ การเที่ยวภาวนาอยู่ตามป่าเขานี้ ท่านบอกว่าไม่ได้สนใจกับภัยที่จะเกิดขึ้นกับตนเองเท่าไร สนใจแต่ธรรมที่กำลังปฏิบัติอยู่ อีกอย่างหนึ่งท่านเชื่อมั่นในปฏิปทาของตัวเองที่ได้มาจากครูบาอาจารย์ ท่านคิดว่าถ้าหากเสือจะกินก็คงจะกินครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาก่อนเรา แต่ไม่เคยได้ยินข่าวว่า ท่านองค์นั้นองค์นี้เข้าป่าไปภาวนาแล้วถูกเสือกัดตาย นับประสาอะไรกับเราซึ่งเป็นผู้เกิดมาทีหลังครูบาอาจารย์จะมากลัวแม้กระทั่งเสียงสัตว์ร้อง อย่างนี้จะไม่เสียเพศซึ่งหมายถึงเพศแห่งการเสียสละชีวิตเพื่อธรรมหรือ เพราะความคิดของท่านอย่างนี้ ท่านจึงไม่ท้อถอยแม้ได้ยินเสียงเสือร้องกระหึ่มเข้ามาใกล้ๆ ขณะเดินทางขึ้นไปบนภูเขาควายเพียงรูปเดียว ยังไม่ทันถึงตะวันก็ตกดินเสียก่อน มีเสียงเสือร้องออกมาต้อนรับตามเส้นทางที่เดินไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...